จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 657 มารับลูกบุญธรรมอย่างฉัน
“ถ้าฟางเหยียนพูดคำนี้ ฉันจะต้องตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สำหรับคุณ…หึหึ ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเลยว่าตัวเองเป็นใคร กล้าจะมาเลี้ยงฉัน คุณอยากให้ฉันขำตายเลยหรือไง?”
กลัวที่สุดก็คืออยู่ๆ อากาศก็เงียบสงัด!
ไร้ปรานี! เย็นชา!
ราวกับกำลังเอ่ยเรื่องที่ควรค่าสำหรับการพูดถึงอยู่ ทว่าช่วงที่หันหน้ามานั้น ก็คืนรอยยิ้มแต่เดิมคืน ตั้งใจคีบอาหารให้ฟางเหยียนต่อ ฝ่ายนั้นมีความรำคาญเล็กน้อยแล้ว
ปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่า เจิ้งชงโมโหจนถึงที่สุด!
เขาพบแล้วว่า เวินหลานจงใจที่จะมาก็เพราะฟางเหยียน และเช่นนี้ทั้งไม่ผิดเจตจำนงของสัญญา เธอทั้งสามารถเอาใจฟางเหยียน อยู่ใกล้ชิดกับฟางเหยียนได้ด้วย ทันใดนั้นเขาก็มีความผลีผลามที่ราวกับจะวอนหาเรื่องเข้าตัว!
เจิ้งชงถูกผู้อื่นดูถูกอีกครั้ง!
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เจิ้งชงที่โมโหหน้าแดงถูงหลิวเจี๋ยลากมานั่งอยู่บนที่นั่ง เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “คุณชายเจิ้ง คุณนี่เลอะเลือนจริงๆ นะ ผมไม่ได้ให้คำแนะนำคุณแบบนี้นะ ถ้าจะเรียกร้องความสนใจจากฟางฟัง ก็ไม่เห็นต้องพูดว่าจะรับเลี้ยงเวินหลานเลยนี่ แต่ว่าต้องใช้ความรักใคร่ที่คุณมีต่อเวินหลานมาทำให้ฟางฟังรับรู้ถึงภัยอันตราย คุณไปพูดว่าจะเลี้ยงเขาแบบนั้นได้ยังไง ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่ใจแคบ คุณทำแบบนี้เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ ”
เจิ้งชงใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น เมื่อนึกดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา หลังจากที่ได้เจอกับฟางเหยียนแล้ว ตนเองก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอด เมื่อเทียบกันดูแล้วตนเองกลับถูกตำหนิจนราบคาบ ทุกครั้งที่เจรจา ตนเองล้วนถูกกดขี่เอาไว้อย่างแรง ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยได้รับความฉุนเฉียวนี้เมื่อใดกัน?
อีกทั้งเขาจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลิวเจี๋ยได้อย่างไร ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทิ้งภาพลักษณ์ที่ไม่ได้ต่อหน้าฟางฟัง แม่แต่เวินหลาน ผู้หญิงคนนี้ก็ยังพูดจาทำให้เขาดูต่ำต้อยหลายครั้งด้วยเช่นกัน ช่างเป็นการลงโทษที่ผลีผลามเสียจริง
บรรยากาศค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงสองคนที่นั่งรับประทานอาหารไปราวกับไม่มีคนอยู่ข้างๆ ราวกับเรื่องทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา สองคนนี้ก็คือฟางเหยียนและเวินหลาน คนอื่นๆ มองดูแล้ว ก็ราวกับทั้งสองเป็นคู่รักที่รักกันมากอย่างไรอย่างนั้น หวานหยาดเยิ้มจนทำให้คนอื่นกระวนกระวาย ส่วนฟางฟังก็อึ้งไปชั่วครู่ เข้าไปนั่งใกล้เวินหลานเล็กน้อย จากนั้นก็ถามคำถามต่างๆ ส่วนเวินหลานนั้นก็ถามคำตอบคำ
หกคนที่เหลือใบหน้าดูไม่ได้จนถึงที่สุด
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ดีมาก ขอแค่คุณไม่รู้สึกว่าพะอืดพะอม ผู้ที่พะอืดพะอมนั้นก็จะเป็นคนอื่น
สามคนนั้นราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก คึกคักกันเป็นพิเศษ แถมยังมีเสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้นเป็นระยะๆ อีกด้วย แบ่งแยกหกคนที่เหลือทิ้งไปทันที
โจวซานเกาศีรษะด้วยความทำตัวไม่ถูก “คุณชายเจิ้งเรากินกันต่อเถอะ จริงสิ คุณชายเจิ้งยังจำรถเก๋งธงแดงคันนั้นที่อยู่ศูนย์การค้านานาชาติหวนไท่เมื่อตอนบ่ายวันนี้ได้ไหม? ได้ยินคนอื่นพูดว่าก็อยู่โรงแรมนี้เหมือนกันนะ? จริงสิ คนที่โรงแรมบอกว่าเจ้าของรถเก๋งธงแดงคันนี้กำลังหาใครอยู่สักอย่างนี่แหละ คงไม่ใช่ว่ามาหาคุณหรอกนะ?”
เจิ้งชงที่อารมณ์ขุ่นมัว เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ก็ตาสว่างวาบขึ้นมา เกิดความสนใจขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่า เจ้าหัวไวโจวซานคนนี้กำลังสร้างโอกาสให้เขาแสดงผลงานอยู่แท้ๆ โดยเฉพาะสามคนที่กำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่ หยุดชะงักแล้วมองหน้าเจิ้งชงทันที สิ่งนี้ทำให้เขารับรู้ได้แล้วว่าโอกาสมาถึงแล้ว
ถูกต้อง!
เขาจะเสแสร้งอีกแล้ว!
“แค่กแค่กแค่ก…” เจิ้งชงไอสองสามครั้ง ทำสายตาส่งสัญญาณให้โจวซานให้ความร่วมมือ โจวซานกลับมีความเฉลียวฉลาดมาก เข้าใจทันทีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงได้เอ่ยขึ้นมา “คุณชายเจิ้ง นี่มีอะไรพูดไม่ได้กัน รถเก๋งธงแดงคันนั้นยังมีป้ายทะเบียนรถเบอร์หนึ่งอีกด้วย ตำแหน่งของเจ้าของรถไม่ธรรมดา หรือว่า…”
สีหน้าของโจวซานแสดงออกเกินจริงอย่างถึงที่สุด พออ้าปากออกมาก็สามารถยัดไข่ไก่ลงไปได้ เขาเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่าเจ้าของรถคันนั้นจะสนิทสนมกับคุณชายเจิ้ง?”
หลิวเจี๋ยจ้องมองสองคนที่เสริมทัพเข้ากันดีด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด สีหน้ามีความดูไม่จืด
“สนิทสนม?” เจิ้งชงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก “ฉันก็ไม่กลัวหรอกนะที่จะบอกพวกนายน่ะ เจ้าของรถธงแดงคันนั้นคือพ่อบุญธรรมที่พ่อของฉันหาให้ฉันในช่วงนี้น่ะ อีกทั้งคืนนี้เขายังตั้งใจมา ก็เพื่อมารับลูกบุญธรรมอย่างฉันนี่แหละ!”
คุยโวโอ้อวด อย่างไรเสียก็ไม่คิดภาษี อีกอย่างพ่อของเขาก็ตามหาพ่อบุญธรรมให้เขาจริงๆ นั่นเป็นถึงข้าราชการสูงที่ออกมาจากกองทัพเชียว แม้จะเทียบกับเจ้าของรถเก๋งธงแดงที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะให้ตนเองคุยโว!
“พรวด…”
ฟางเหยียนอดไม่ได้ พ่นข้าวออกมา!
เวินหลานเช็ดให้เขาจนสะอาดอย่างใส่ใจ ส่วนฟางฟังมองหน้าฟางเหยียนพร้อมด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
อาหารถูกพ่นเต็มโต๊ะอาหาร เจิ้งชงตบโต๊ะทันที เอ่ยตำหนิอย่างโมโหว่า “ไอ้บ้านี่ ฉันทนแกมานานแล้วนะ นี่แกหมายความว่ายังไง!”
ฟางเหยียนกลั้นหัวเราะเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ขอโทษที อดไว้ไม่ได้น่ะ!”
เขาอดไม่ได้จริงๆ คล้ายกับจำได้ว่าครั้งที่แล้วเหมือนจะมีคนที่ชื่อตู้หมิงล่าง มาเป็นลูกชายบุญธรรมของตนอย่างแน่วแน่ ตนเป็นที่น่าต้องการขนาดนี้เลยหรือ? ตอนนี้ก็มีเจิ้งชงต้องการมาเป็นลูกชายบุญธรรมของตนอีกคนแล้ว? อดไม่ไหว อดไม่ไหวจริงๆ
เมื่อเห็นฟางเหยียนเอ่ยขอโทษอย่างทันท่วงทีเช่นนี้ เจิ้งชงก็งุนงงเช่นเดียวกัน เจ้าหมอนี่ไม่ได้ว่าง่ายขนาดนี้นี่? คิดไม่ตกก็เลยไม่คิด ถึงอย่างไรความอวดเบ่งก็เอาออกมาแล้ว หากไม่เสแสร้งสักวันคงต้องทุกข์ไปทั้งตัว
“คุณชายเจิ้ง ทำไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยินคุณพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย?” ซูฉางคายเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา
หลัวเจี๋ยก็เอ่ยประจบขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “คุณชายเจิ้ง พ่อบุญธรรมของคุณนั่งรถป้ายทะเบียนสีแดงเบอร์หนึ่ง ถ้างั้นตระกูลเจิ้งของพวกคุณไม่ใช่ว่าตำแหน่งสูงขึ้นพรวดพราด พุ่งไปยังตำแหน่งของตระกูลอันดับหนึ่งโดยตรงเลยเหรอ ?”
หลินเซียวเพิ่งจะเอ่ยขึ้นมา หลังจากเห็นการส่งสัญญาณทางสายตาของคนที่เหลือ “คุณชายเจิ้งๆ จากนี้ไปรุ่งแล้ว ห้ามลืมลูกน้องอย่างพวกเราเชียวนะ ตระกูลหลินเราจะต้องเคารพเชื่อฟังคุณชายเจิ้งแน่นอน”
ทั้งสี่คนล้วนประจบสอพลอ มีเพียงหลิวเจี๋ยเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าควรพูดอันใด
“วางใจเถอะพวกๆ รอให้พ่อบุญธรรมมารับฉันแล้ว ฉันจะต้องดูแลพวกนายอย่างดีแน่นอน โดยเฉพาะฟางเหยียน ฉันจะต้องดูแลเขาให้ดีๆ แน่นอน!”
เจิ้งชงจงใจที่จะเน้นย้ำสองคำท้ายประโยคนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงอะไร
กลับเป็นฟางฟังที่ไม่ได้เอ่ยอันใดมาตลอด เอ่ยขึ้นมาว่า “นายแน่ใจนะว่าเจ้าของรถธงแดงเป็นพ่อบุญธรรมของนาย?”
เมื่อเห็นฟางฟังมีความจริงจังเช่นนี้ เจิ้งชงจึงทราบทันทีว่า โอกาสในการแสดงออกมาถึงแล้ว!
“ใช่!” เจิ้งชงตอบกลับเสร็จ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความลำพองใจ
“คิกคิก…” ฟางฟันเองก็อดไม่ได้เช่นกัน หัวเราะขึ้นมาทันที
เจิ้งชนปลื้มใจเกิดคาด ตามที่เขามอง โอกาสในการโชว์ออฟสำเร็จแล้ว ฟางฟังหลงกลแล้ว “ฟางฟัง ตื่นเต้นก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่าเธอไม่ต้องแสดงออกมาหรอกนะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนเขาหาว่าฉันอวดเบ่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อื่นได้!”
หลิวเจี๋ยวที่ไม่ได้เอ่ยอันใดตลอดราวกับสัมผัสลางสังหรณ์อะไรบางอย่างได้ ทว่าไม่กล้าเชื่อ กลับกลายเป็นเวินหลานที่สีหน้าคับแค้นใจขึ้นมา ท่าทางนั้นราวกับกำลังบอกว่า: นายชั่วขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน
“อวดเบ่ง? ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อื่น?” ฟางฟังหัวเราะหึหึ “พี่เหยียน มีคนอยากจะอาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่ง?”
ฟางเหยียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เธอคิดว่าควรทำยังไงดี?”
ฟางฟังเงยหน้าขึ้นมา พร้อมครุ่นคิดอย่างหนัก เจิ้งชงขมวดคิ้วขึ้นมา ราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ โดยเฉพาะการที่ฟางฟังและฟางเหยียนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้เขาขาดความมั่นใจขึ้นมา และคิดไปถึงเรื่องหนึ่งตามสันชาตญาณ “หรือว่าจะถูกฉีกหน้าอีกแล้วเหรอ?”
ไม่!
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ต่อให้ตระกูลของฟางฟังจะมีตำแหน่งที่ใหญ่โต ร่ำรวยเงินทอง แต่จะรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นท่านนั้นได้อย่างไร? คนใหญ่คนโตผู้นั้นเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่จะไปคบค้ากับตระกูลฟางอย่าโอ่อ่าได้แน่นอน สำหรับฟางเหยียนชายธรรมดาคนนั้นยิ่งไม่มีทางรู้จักคนใหญ่คนโตเช่นนั้นได้ คนเช่นนั้นจะมารู้จักกับฟางเหยียนคนธรรมดาคนนี้ได้อย่างไร? เช่นนั้นมันเป็นการลดคุณค่าของตนเองลงไม่ใช่หรือ?
ทว่า ตามที่เขาเข้าใจฟางฟัง เธอไม่ชอบการโกหก แล้วตรงไหนกันแน่ที่ผิดไปนะ?
“โธ่เอ๊ย คิดยากจริงๆ พี่เหยียนพี่ลองคิดหาวิธีทำดูก็แล้วกัน” ฟางฟังปวดหัวขึ้นมายกใหญ่ ส่ายหัวอย่างแรง และโยนไปให้ฟางเหยียนแทน
ทุกคนล้วนสัมผัสไม่ได้ ว่าหลังจากที่ฟางฟังพูดจบแล้ว บนใบหน้าของเจิ้งชงก็มีความผ่อนคลายขึ้นมาทันที ตามที่เขาคิด ฟางฟังและฟางเหยียนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้เพียงแค่ต้องการเหยียบย่ำเขา มิใช่ว่าต้องการเปิดโปงเขา
ขณะที่เขาต้องการที่จะเอ่ยขึ้นนั้น ฟางเหยียนก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะส่งเธอกลับมหาลัย”