จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 659 คุณชายเจิ้งโมโห
โจวซานอึ้งไป จะต่อสู้? พวกเขาไม่ได้จริงๆ หากจะบอกว่าเป็นพวกขี้เมาหยำเปก็ไม่เกินไป คนเหล่านี้เป็นคุณชายลูกเศรษฐีมีหน้าตาในสังคมทั้งนั้น เคยลงมือต่อสู้จริงๆ เมื่อไร? พวกเขาแค่ขยับปากเท่านั้น ไม่เคยขยับมือ ต่อให้จะมีร่างกายใหญ่โตกำยำ แต่ก็เป็นเพียงภายนอกที่ใช้การไม่ได้เท่านั้น
เพียงแต่โจวซานไม่เข้าใจเล็กน้อย แม้แต่คุณชายลูกเศรษฐีสามคนที่เหลือก็เป็นไปด้วย นอกจากซูฉางคาย หลัวเจี๋ยและหลินเซียวได้ล้วงโทรศัพท์ออกมา เตรียมที่จะเรียกพวกพ้อง เจิ้งชงเตะเขาทันที จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด “แกจะบ้าหรือไง กะอีแค่คนไร้น้ำยาคนหนึ่ง จำเป็นต้องโทรเรียกพวกมาด้วยเหรอ? ในหัวของแกมีแต่ขี้หรือไง? ฮะ!”
คำพูดสุดท้าย เจิ้งชงตะคอกราวกับใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ น้ำลายกระเด็นโดนใบหน้าของหลัวเจี๋ยและหลินเซียวทั้งหมด
ทั้งสองคนสบตากัน สองคนมองหน้ากันจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
โจวซานสูดหายใจเข้าลึก เริ่มเอ่ยปลุกใจคน “พี่ๆ ตอนนี้เป็นเวลาพิสูจน์เราแล้วพอดี เราจะทำให้คุณชายเจิ้งต้องถูกรังแกไม่ได้ พวกพี่ว่าถูกต้องไหม พวกเราทั้งสี่คนจะสู้คนคนไร้น้ำยาอย่างเจ้าฟางเหยียนคนเดียวไม่ได้เลยหรือไง? จัดการก็สิ้นเรื่อง ถูกไหมพวกๆ ?”
คำตอบแผ่วเบา ราวกับไม่ได้ทานข้าวอย่างไรอย่างนั้น ทว่าจากนั้นเจิ้งชงก็กวาดสายตามองทุกคนด้วยความดุดัน เสียงอันดังก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องวีไอพี เสียงแหลมและเสียดหู เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มอันเย็นชาขึ้นมา
เขาเจ้าเล่ห์และฉลาดมาก แน่นอนว่าเขาต้องทราบ ว่าตอนนี้เป็นเวลาประจบเจิ้งชงที่ดีที่สุดแล้ว ทว่าไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีสองด้านเสมอ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ขอเพียงทำตามจุดประสงค์ของเจิ้งชง พวกเขามีแต่จะได้รับผลประโยชน์ ทว่าหากปลีกตัวหลีกหนีไปยามนี้ เจิ้งชงมีวิธีเดียวที่จะทำให้ทั้งสี่คนไม่แผ่นหนีไปฟรีๆ
อีกทั้ง!
นี่คือการค้าขายที่มีแต่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แถมยังลงทุนน้อยอีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่หามาได้ยากมากจริงๆ โจวซานไม่อยากให้โอกาสต้องหลุดลอยไปดื้อๆ เขาจึงได้รวบรวมผู้คนมาจัดการกับฟางเหยียน และถือว่าทำเพื่อให้ตัวเองกล้าขึ้นมาด้วย
เจิ้งชงราวกับมองเห็นฉากที่ฟางเหยียนถูกอัดล้มลงแล้วร้องขอชีวิตแล้ว เขากำลังคิดปัญหาหนึ่งอยู่ การที่ฟางเหยียนร้องขอชีวิตแล้วเขาจะใจอ่อนปล่อยเขาไปหรือไม่นะ? จะทำหรือไม่? คำตอบคือแน่นอน แน่นอนว่าไม่มีทาง ไม่เพียงแต่จะไม่มีทางปล่อยไป แถมยังจะฆ่าฟางเหยียนทิ้งทันที ทำให้เขาได้รู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะยั่วยุได้ทุกคน มีบางคนเขาก็ไม่สามารถที่จะดูถูกดูแคลนและครอบครองได้!
รู้สึกสะใจอย่างยิ่ง!
ทว่า!
อยู่ๆ เขาก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าจึงแข็งทื่อทันที หากฟางฟังร้องขอชีวิตให้ฟางเหยียน ตนจะใจอ่อนปล่อยเขาไปหรือไม่?
ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากัน!
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเฝ้ารอเห็น ใบหน้าอันออดอ้อนที่ฟางฟังร้องขอให้ไว้ชีวิตแล้วสิ!
โจวซานและทั้งสี่คน ยกหมัดกำไว้ ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ จากนั้นก็เข้าล้อมฟางเหยียนและอีกสองคนเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าไม่มีผู้ใดลงมือเลย
เมื่อเห็นภาพนี้ ฟางฟังจึงยิ้มขมขื่นส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “เจิ้งชง นายจะต้องนึกเสียใจในสิ่งที่นายทำในวันนี้ทั้งหมด!”
“นึกเสียใจ? ฉันเจิ้งชงทำอะไรเคยนึกเสียใจตอนไหน? แต่เป็นเธอนั่นแหละ…” เจิ้งชงยิ้มแฉ่ง เผยให้เห็นฝันสีดำที่ถูกควันรม เขายิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา เอ่ยว่า “อีกสักครู่ เธออย่าเพิ่งรีบร้อนร้องขอชีวิตล่ะ ฉันจะต้องทรมานไอ้เจ้าหนูนี่ให้ดีๆ เสียหน่อย จะต้องให้มันได้รู้ ว่าอะไรเรียกว่าเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตอยู่!”
ฟางฟังได้ยินดังนั้นก็ขำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อยากจะไปสนใจเจ้าคนปัญญาอ่อนนี่ ไม่อย่างนั้นสติปัญญาของตนเองคงจะต้องลดลงตามด้วยเป็นแน่
“พี่เหยียน ขอโทษด้วยนะ พี่ไม่ต้องปกป้องฉัน หรือแคร์ความรู้สึกฉันหรอก สำหรับคนที่ปัญญาอ่อนไม่มีศีลธรรมเหล่านี้ ฉันสีซอให้ควายฟังจริงๆ เลย เชิญพี่ตามสบายเลย ฉันทนดูต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ”
“มดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ รนหาเรื่องเอง!” ฟางเหยียนทิ้งประโยคนี้ไว้ จากนั้นก็กลับหลังหันเปิดประตูใหญ่ห้องวีไอพีอย่างสบายๆ หลังจากที่เขาออกไปจากห้องวีไอพี ทั้งห้องวีไอพีก็มีเสียงร้องอันเจ็บปวดดังขึ้นมา
“อ๊าก…”
ทุกคนเพิ่งจะมองเห็นชัดเจนว่า ข้อมือของทั้งห้าคนมีตะเกียบเสียบอยู่!
เพียงพริบตาเดียว เลือดพุ่งกระฉูด
ความกลัว กระส่ายกระสับเข้าปกคลุมเจิ้งชงและคนอื่นๆ ทันที ทุกคนล้วนไม่ได้มองตะเกียบอย่างชัดเจน ว่ามันเข้ามาปักอยู่บนมือของพวกเขาได้อย่างไร ทว่าพวกเขากลับทราบว่า นี่จะต้องเป็นฝีมือของเจ้าคนไร้น้ำยานั่นแน่นอน
“คุณชายเจิ้ง ผมจะตายแล้วใช่ไหม!” หลินเซียวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หลินเซียวคือผู้ที่ขี้ขลาดที่สุดในบรรดาผู้ติดตาม ในขณะที่มองเห็นเลือดสดๆ ไหลออกมาจากข้อมือไม่หยุดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกขาดอากาศหายใจ ราวกับว่าความตายกำลังจะมาเยือน
เพียะ!
คำตอบของเขา ก็คือตบบ้องหู
ใบหน้าของเจิ้งชงเขียวปั๊ด ไม่มีเวลาสนใจเลือดสดๆ ที่อยู่บนข้อมือเลย เขาตะคอกขึ้นว่า “ไล่ตามมันไปเดี๋ยวนี้ คืนนี้ถ้าไม่ฆ่าไอ้ฟางเหยียนให้ได้ ฉันไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่!”
ขณะที่พูด เขาก็วิ่งพุ่งออกไปก่อน นอกจากโจวซานแล้ว ทุกคนต่างก็ตามไป
เมื่อเทียบกับเลือดตรงข้อมือที่ไหลทะลักไม่หยุด ใจของเขาได้แหลกกลายเป็นเศษเล็กๆ แล้ว ขณะที่ฟางเหยียนเอ่ยคำพูดเหล่านั้น เขาและหลินเซียวล้วนสัมผัสได้แล้วว่า ความตายกำลังจะมาเยือน นั่นเป็นถึงความตายอันแท้จริง
เป็นดั่งคำพูดที่ว่าคนที่อยู่ในเกมหรือสถานการณ์จะมองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกเกมหรือนอกสถานการณ์จะมองได้ทะลุปรุโปร่ง เมื่อดูดีๆ แล้ว ฟางเหยียนเป็นคนที่พวกเขาไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ ทว่าเจิ้งชงผู้ไม่มีแวว กลับอยากจะรนหาเรื่องราวกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้นอยู่เรื่อย โจวซานกลับไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย เจิ้งชงมีแต่ทำให้ดูแย่ ส่งผลให้อาจสูญเสียชีวิตไปเนื่องด้วยเหตุนี้ได้
ถูกต้อง เขาเตรียมที่จะเผ่นแล้ว!
เมื่อเทียบกับการที่ตระกูลสามารถเลื่อนตำแหน่งพรวดพราดโดยไม่เปลืองแรงแล้วนั้น ชีวิตของตนเองสำคัญยิ่งกว่า มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้อย่างดีว่า “โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างโลกมนุษย์ก็คือ ‘คนตายไปแล้ว แต่เงินยังอยู่’”
ทว่าเพิ่งจะเผ่นออกจากห้องวีไอพีมาได้ เจิ้งชงกลับจ้องเขาตาเขม็งด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ ยิ้มขึ้นอย่างเสแสร้ง เอ่ยว่า “โจวซานนะโจวซาน เสียแรงที่ฉันเห็นหัวแกมากที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะอยากเผ่นหนี? แกช่างทำให้ฉันอึ้งจริงๆ เลย นะ!”
โจวซานที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาประคองร่างกายอันสั่นเทาเอาไว้ สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “คุณชายเจิ้ง ในเมื่อถูกคุณจับได้แล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ถูกต้อง ผมคิดจะเผ่นหนี จะเล่นต่อไปยังไงกัน คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่? ฟางเหยียนเป็นคนที่เราไปมีเรื่องด้วยได้เหรอ?”
ความโมโหที่กะทันหันของโจวซานทำให้เจิ้งชงต้องอึ้งไป เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไม่ได้คิดว่าโจวซานทำไมถึงทำเช่นนี้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้มีเพียงจุดเดียว นั่นคือ โจวซานผู้ที่เมื่อก่อนเคยก้มหัวประจบประแจงอย่างไม่ละอายให้กับเขา ราวกับสุนัข จะกล้าตะคอกเขาเช่นนี้
ทันใดนั้นเองเขาก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาอย่างรุนแรง ตบใบหน้าของเขาด้วยหลังมือ
เพียะ!
โจวซานเซไปเล็กน้อย ต่อมาค่อยประคองร่างกายตนไว้ เจิ้งชงใช้เท้าเตะอีกครั้ง
ผัวะ!
โจวซานล้มลงไปกองที่พื้น เลือกทะลักออกจากปาก ร่างกายสั่นเทารุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับถูกไฟดูด
เจิ้งชงยังคงโมโหอยู่ ยังคิดที่จะพุ่งเข้าไปอัดโจวซานอีกครั้ง ครั้นกลับถูกซูฉางคายหลัวเจี๋ย รวมถึงหลินเซียวรั้งไว้ แม้จะถูกรั้งไว้ ทว่าเขายังคงขัดขืน ตะคอกเอ่ยว่า “ไอ้โจวซานแกที่ทำฉันผิดหวังเกินไปแล้ว ฉันเคยคิดว่าจะมีคนหักหลังฉัน แต่คิดไม่ถึงว่าแกจะเป็นคนแรกที่หักหลังฉัน เวรเอ๊ย!”
โจวซานประคองตัวเองขึ้นมายืน เช็ดเลือดสดๆ ที่มุมปาก “คุณชายเจิ้ง วันนี้คุณซ้อมผมให้ตาย ผมก็ไม่มีทางหักหลังคุณ แต่ว่าผมจะบอกคุณให้ ฟางเหยียนเป็นคนที่พวกเราไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ พวกเราวางมือเถอะ”
ผัวะ!
เตะไปอีกครั้ง โจวซานกระแทกเข้ากับโต๊ะอาหารทันที กระจกทั้งแผ่นแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ปล่อยฉัน!” เจิ้งชงตะโกน “โจวซาน ฉันจะบอกแกให้นะ แกขึ้นเรือลำเดียวกับฉันคิดจะลงไป มีแค่รอชาติหน้าเท่านั้น ฉันจะบอกแกอีกว่า คืนนี้ฟางเหยียนจะต้องตายสถานเดียว อีกทั้งแกก็จะต้องเป็นคนที่ลงมือเป็นคนแรกด้วย เขาตายแกก็รอด แกคิดหาวิธีเอาเอง!”
“ไป!”
โจวซานอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ประคองตัวเองลุกขึ้นมา เดินกะเผลกออกไป
คนทั้งหกออกจากประตู สตาร์ทรถยนต์เตรียมที่จะออกไป และเห็นรถเก๋งธงแดงขับออกมาจากลานจอดรถพอดี เขาดีใจจนเกือบจะพุ่งเข้าไปเจรจาตีสนิทด้วยกับเจ้าของรถธงแดงคันนั้นทันที กลับพบว่าฟางเหยียนและอีกสองคนกำลังยืนรอรถอยู่ข้างทาง ท่ามกลางลมยามค่ำคืน
เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็โมโหขึ้นมา!