จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 695 วินัย
หนานหลิง บ้านพักแห่งหนึ่ง
เทียนขุยจ้องมองอารมณ์ของฟางเหยียนอย่างไม่ละสายตา ขมวดคิ้วหนักขึ้น กำลังจะเอ่ยปากถาม ไม่คิดว่าฟางเหยียนจะเอ่ยปากกล่าวออกมาก่อนว่า “หลินถงได้ข่าวมาแล้ว”
“หลินถง?” เทียนขุยส่งเสียงตกใจ จู่ๆก็นึกถึงหญิงสาวคนนั้นขึ้นมา ปล่อยวางอารมณ์เคร่งเครียดทันที เปลี่ยนเป็นอารมณ์ที่อยากจะช่วยแต่ช่วยไม่ได้ อดที่จะพึมพำในใจไม่ได้ว่า “จอมพลโผ้จวินไม่เพียงฝีมือต่อสู้ไร้เทียมทาน เรื่องผู้หญิงก็ไม่แย่เลยนะเนี่ย ก่อนอื่นก็เวินหลาน แล้วยังจักรพรรดิชิงตี้ สุดท้ายยังมีหลินถงแม่หม้ายเย็นชาที่ชื่อเสียงโด่งดัง ใครจะไปรู้ว่าต่อไปจะมีใครๆๆอีกมั้ย?”
จอมพลโผ้จวินที่ใบหน้าเฉยเมยอย่างเย็นชา หรือผู้หญิงที่ประชิดตัวเขาชอบความเย็นชาของเขางั้นเหรอ?
กำลังครุ่นคิด ฟางเหยียนเอ่ยปากกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “เทียนขุย ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย ที่หลินถงต้องการเจอผมน่าจะมีเรื่องสำคัญ ผมจะไปเขตคฤหาสน์หุบดอกพีช”
ไปจากจอมพลโผ้จวินหนึ่งเดือน เทียนขุยพบว่าจอมพลโผ้จวินเปลี่ยนไปแล้ว!
ใช่!
เขาเริ่มกลายเป็นชอบ‘ปั้นน้ำเป็นตัว’ เขายังจำได้ว่าหลินถงผู้หญิงคนนั้นชอบฟางเหยียน แทบจะอยากได้เขาทันที แต่ตอนนี้ แค่หลินถงโทรมาสายเดียว ฟางเหยียนก็รีบไปอย่างไม่รีรอ เรื่องนี้ทำให้คนอดที่จะคิดไปไกลไม่ได้
เขาเทียนขุยก็เคยได้ยินคฤหาสน์หุบดอกพีช นั่นเป็นสถานที่นัดเดท ต่อให้คุณนัดเดท ใครก็ไม่มีทางรู้ได้ แม้แต่พี่สะใภ้ก็เช่นเดียวกัน พรรคพวกจะหักหลังพรรคพวกได้อย่างไรกันเล่า?
“ไปเถอะครับ จอมพลโผ้จวิน เดี๋ยวทางพี่สะใภ้ผมจะปิดปากเงียบเลยครับ” พูดจบ เทียนขุยส่งสายตาผู้ชายรู้กันให้ฟางเหยียน
“เทียนขุย!” ฟางเหยียนตะคอก
เสียงตะโกนกะทันหันทำให้เทียนขุยตัวสั่นขึ้นมา รีบยืดตัวตรงทันที ก้มหน้าอย่างหวาดกลัว เกิดสับสนไม่รู้จะทำยังไงขึ้นมา
“หายไปหนึ่งเดือน จึงลืมวินัยของสำนักเจ็ดพิฆาตแล้วใช่มั้ย?”
เทียนขุยช็อกขึ้นมา กล่าวอย่างตัวสั่นว่า “ห้ามสงสัยคำสั่งของจอมพลโผ้จวิน และห้ามคาดเดามั่วๆถคงเจตนาของจอมพลโผ้จวิน ผู้ทำผิดต้องรับโทษของสำนักเจ็ดพิฆาต!”
“ผมไม่สนว่าก่อนหน้านี้คุณเจอเรื่องอะไรมา ถึงขั้นนิสัยเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ผมหวังว่าคุณจะจำคำพูดที่คุณพูดไว้ มีชีวิตเพื่อจอมพลโผ้จวิน ตายเพื่อจอมพลโผ้จวิน แต่ไม่ใช่คาดเดาเจตนาของจอมพลโผ้จวินลอยๆ”
เพี่ยะ!
เทียนขุยตะเบ๊ะ ส่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ครับ!”
“เอาล่ะ เท่านี้ก็แล้วกัน”
ฟางเหยียนไม่ได้อยากทำโทษเทียนขุย ในฐานะที่เป็นคนของสำนักเจ็ดพิฆาต อยู่กับเทพเจ้าแห่งความตายจนเป็นนิจ นิสัยเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปนานแล้ว นี่เป็นนิสัยที่เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย คนมากมายที่มีชีวิตอยู่กับความเลวร้ายของการสู้รบตลอดไปจนถอนตัวไม่ได้ แต่สำนักเจ็ดพิฆาตตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงตอนนี้ การตายยากที่จะหลีกหนีได้ มากไปกว่านั้นสร้างนิสัยให้กับนักรบของสำนักเจ็ดพิฆาตอีกด้วย
จิตใจแข็งแรง ไม่มีอะไรทำลายได้
หรือเทียนขุยไม่เลือดร้อนเหรอ?
ไม่!
สภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตอีกทั้งสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของคนสามารถเปลี่ยนคนๆหนึ่งได้ บางทีเสี่ยวหงเปลี่ยนชายที่ร่างกายกำยำจิตใจอ่อนไหวคนนี้ และทำให้เขารู้จักความสำคัญของความรัก นิสัยจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อยเป็นธรรมดา เพราะทางธรรมไม่ใช่สำนักเจ็ดพิฆาต ไม่มีวันที่ฆ่าแกงกันทั้งวันทั้งคืน
เขาฟางเหยียนหวังให้พรรคพวกของตัวเองสงบสุขมีความสุข ดังนั้นเขาจึงดีใจมาก เทียนขุยเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่เทียนขุย เขาหวังเป็นอย่างมากว่าสำนักเจ็ดพิฆาตและแม้กระทั่งสหายร่วมรบทั้งหมดล้วนสงบสุขมีความสุข เพราะนี่คือกลุ่มคนที่คุ้มค่าต่อการให้เกียรติและความรัก เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่น่ารัก
ดูเหมือน ฟางเหยียนจัดการการละเมิดของเทียนขุยอย่างชิลล์ๆ ทำให้เทียนขุยมึนงง ยังคิดจะ‘ตกอยู่ในภวังค์’ความคิดต่อไป ฟางเหยียนเอ่ยปากอีกว่า
“ความมุ่งมาดเดิมที่ปกป้องประเทศเพื่ออะไร? ก็เพื่อรอยยิ้มอันมีความสุขบนใบหน้า ของประชาชน และผมก็หวังว่าพี่น้องของตัวเองจะมีความสุข ไม่ต้องแสดงสีหน้าเย็นชาเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตลอดทั้งวัน แต่เทียนขุย คุณคือพี่น้องของผม และเป็นนักรบของประเทศหวา ทุ่มให้กับประเทศ จึงจะช่วยใต้หล้า จึงจะทำให้ทุกคนมีความสุขได้
เทียนขุยชะงักก่อนแล้วจึงตกใจตามมา เขารู้ดีมาก ว่าฟางเหยียนมั่นใจได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนิสัยเขา และคำพูดนี้ของฟางเหยียนจี้ปัญหาของเทียนขุยทางอ้อม และกำลังเตือนเขา ไม่ว่านิสัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร ในฐานะเลือดร้อนของนักรบจะลืมไปไม่ได้ มีเพียงประชาชนอยู่เย็น เป็นสุข ไม่มีศัตรูรุกราน นักรบทุกคนจะยิ้มเบิกบาน ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ในภัยอันตรายที่เต็มไปด้วยเลือด ถึงตอนนั้น ชายที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ก็จะมีมุมที่จิตใจอ่อนไหวได้
“อ้อ มีเรื่องหนึ่งที่คุณต้องรีบไปจัดการ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
เทียนขุยยืนตรงทันใด แล้วถาม “จอมพลโผ้จวิน เชิญพูดได้เลยครับ”
“ช่วงนี้บางทีเพลิงเสวนจะครอบงำตระกูลที่พึ่งอาศัย และพวกเราจะนิ่งเฉยไม่ได้ สิ่งที่คุณต้องทำคือใช้ประโยชน์ตากพรรคพวกของสำนักเจ็ดพิฆาต สืบให้แน่ชัดว่าตระกูลไหนบ้างที่เข้าร่วมกับเพลิงเสวน และตระกูลไหนบ้างที่กำลังลังเลไม่ตัดสินใจ ให้ดีที่สุดคือโน้มน้าวพวกเขาให้ออกห่าง จะได้ไม่บาดเจ็บอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่”
เทียนขุยขมวดคิ้ว แล้วถาม “จอมพลโผ้จวินครับ ท่านตัดสินใจจะแก้ปัญหาที่ต้นตอ?”
“คนที่เป็นปรปักษ์กับเราพบจุดจบยังไง? ผมว่าคุณน่าจะรู้นะ” ฟางเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัย ดูแคลนออกมาว่า “ให้พวกมันจูงจมูกตลอดไม่ได้ และพวกเราต้องโจมตีก่อน แยกกันทำลายเป้าหมายของเพลิงเสวน บางทีเพลิงเสวนที่จนตรอกอาจจะเผยไต๋ออกมา เพียงแค่เพลิงเสวนปรากฏออกมาให้เห็น ก็เป็นโอกาสให้เราล้างบางพวกมัน”
พูดจบ ฟางเหยียนยืนขึ้น มองลำธารที่น้ำไหลแว็บนึง หันหลังแล้วจากไป
เทียนขุยทำหน้าตื่นเต้น จะเปิดศึกกับเพลิงเสวนแล้วเหรอ?
ก่อนไป เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้เมฆ พึมพำว่า “เสี่ยวหง คุณสบายใจได้ครับ อีกไม่นานเพลิงเสวนจะไปอยู่กับคุณแล้ว”
เขตคฤหาสน์หุบดอกพีช
หลินถงที่วางสายไปไม่แช่น้ำต่อแล้ว เพราะคำพูดประโยคเดียวของฟางเหยียนความง่วงงัวเงียจึงหายไปอย่างไม่เหลือ เธอรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมาหาเธอ ต้องมาแน่ๆ สำหรับจิตใจที่เพ้อรำพันทั้งวันทั้งคืน ให้เธอผ่านความโหดร้ายทุกอย่างมาได้ และเป็นผู้ชายที่ทำให้เธอเป็นผู่เป็นคน เธอไม่เชื่องช้าอยู่แล้ว
ข้ามจุดนี้ไป ก็เป็นผู้ชายที่ทำให้จิตใจของเธอจุดประกายความรักขึ้นมาอีกครั้ง การเจอกันครั้งนี้ ไม่ได้ต่างไปจากการเจอกันหลายครั้งก่อนหน้านี้ ช่วงหลายครั้งนั้นเธอมีเป้าหมายไม่มากก็น้อยใกล้ชิดฟางเหยียน แต่ครั้งนี้ เธอใช้สถานะตัวเอง ตัวเองจริงๆต้อนรับผู้ชายที่เฝ้ารำพันหา
ชายคนนี้ให้ชีวิตใหม่เธอ ให้เธอทุกอย่าง ตอนปฏิบัติต่อชายคนนี้ เธอต้องแสดงความเป็นตัวเองในด้านที่สวยงามที่สุด
ออกมาจากอ่างอาบน้ำทันที เคลื่อนไหวร่างกายได้รูปที่งามชดช้อย ฮัมเพลง เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำข้างๆ ตั้งใจล้างตัวอย่างประณีต เริ่มแต่งหน้าตัวเองอย่างเร่งด่วน เดิมเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ต้องแต่งหน้า รักษาความสวยงามของผู้หญิงอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นช่วงปกติ เธอแต่งหน้าบางๆก็เห็นได้ถึงความงามของเธอแล้ว
แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม เธอจะเป็นผู้หญิงที่เป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
การแต่งหน้าที่ง่ายที่สุดกลับงดงามที่สุด เวลาเพียงแป๊บเดียวเธอได้แต่งหน้าที่ประณีตเสร็จ แต่งเนียนจนมองไม่เห็นริ้วรอย ราวกับหยกขาวฮั่นที่ผ่านการแกะสลักประณีตมา งดงามชดช้อย แต่เมื่อแต่งกายยากที่จะเลือกได้ นี่เป็นชุดที่ห้าที่เธอเปลี่ยนแล้ว
“ชุดนี้เซ็กซี่มาก โชว์สรีระมาก เขาน่าจะไม่ชอบผู้เหญิงที่โชว์ความสวยขนาดนี้มั้ง” พูดพลาง หลินถงได้วางชุดเดรสสีขาวที่อยู่ในมือลงด้วยสีหน้าท้อใจ “ควรจะใส่ชุดไหนดีเนี่ย?”
เธอหาชุดใหม่อีกครั้ง อย่างจำใจ หาไปสามตู้ ยังคงหาชุดที่ตัวเองชอบไม่ได้
มีคนมักจะพูดว่า คนที่ไม่ได้เจอกันนาน เมื่อเจอกันจะต้องแสดงภาพพจน์ที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา
ยิ่งอยู่ หลินถงยิ่งโมโห โมโหตัวเองไม่เป็นตัวของตัวเองแม้แต่นาทีเดียว ใส่หน้ากากดำรงชีวิตตลอดเวลา ส่งผลให้สูญเสียสิ่งที่ตัวเองมีไป
ทันใดนั้น จู่ๆเธอก็คิดอะไรออก ตาเป็นประกาย สายตามองไปยังในตู้ชั้นล่างของตู้เสื้อผ้า ยิ้มอย่างสวยงาม