จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 737 หลินชื่อผู้อวดดี
ผู้อาวุโสใหญ่หลินชื่อส่ายหน้าเล็กน้อย ยัยนี่ยโสโอหังเกินไปแล้วมั้ง? เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ก็คิดจะเริ่มแก้แค้นเลยเหรอ? ว่าไปแล้วก็เพราะอายุยังน้อยเกินไปนั่นแหละ ความเกลียดแค้นเป็นเรื่องสิ่งที่ดีจริง ๆ มันสามารถทำให้คนคนหนึ่งเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าสำนักครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องค่อย ๆ คิดนะครับ สิ่งที่พวกเราต้องทำอย่างเร่งด่วนคือการตรวจสอบ แต่ไม่ใช่การเปิดศึกทันทีอย่างนี้ อีกอย่าง ขลุ่ยวิเศษยังอยู่ในมือของจอมพลโผ้จวิน พวกเราก็แค่วางตาข่ายดักคนร้ายรอให้มันมาถึงที่ก็พอแล้ว”
ซ่งหยิงรู้สึกว่าที่พูดมาก็มีเหตุผล “งั้นผู้อาวุโสใหญ่คิดว่า พวกเราควรทำยังไง?”
“ง่ายมากครับเจ้าสำนัก คือต้องยืนยันความมุ่งมั่นขององครักษ์เจ้าตระกูล” หลินชื่อครุ่นคิดแล้วพูดเสริมว่า : “ใครก็ไม่กล้ารับประกัน ว่าองครักษ์เจ้าตระกูลทั้งยี่สิบคน จะมีใครเป็นเหมือนซ่งอู่ฮุยบ้าง!”
งูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไปสิบปี
ซ่งอู่ฮุยเป็นถึงอารองของตัวเอง เขายังสามารถสมคบคิดกับเพลิงเสวน คิดจะแยกสำนักฉิวหลง ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าองครักษ์เจ้าตระกูลจะมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน? ซ่งหยิงไม่อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายของอารองซ่งอู่ฮุยเกิดขึ้นซ้ำสอง!
“แล้วผู้อาวุโสใหญ่คิดว่าควรทำยังไง?”
หลินชื่อเข้ามากระซิบที่ข้างหู ซ่งหยิงฟังจบก็ตกใจมาก “ผู้อาวุโสใหญ่ จะต้องทำอย่างนี้จริง ๆ เหรอ?”
“ครับผม ไม่เพียงแต่สามารถทดสอบความซื่อสัตย์จงรักภักดีของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถทดสอบได้ว่าพวกเขามีใจคิดเหมือนพวกเราหรือไม่ จุดนี้สำคัญมากนะครับ เจ้าสำนัก”
ซ่งหยิงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็เอ่ยพูด : “ที่ผู้อาวุโสใหญ่พูดมาก็ไม่ผิด งั้นก็ให้พวกเขาไปทำตั้งแต่ตอนนี้เลยเถอะ”
“เจ้าสำนักฉลาดหลักแหลม สำนักฉิวหลงภายใต้การนำของเจ้าสำนักจะต้องยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์มากขึ้น”
“ผู้อาวุโสใหญ่พูดเกินไปแล้ว” ซ่งหยิงพูดจบ ก็หันไปมองทุกคนที่อยู่ในห้องหลงเหมินทันที แล้วเอ่ยพูดเสียงราบเรียบว่า : “องครักษ์เจ้าตระกูลอยู่ไหน?”
เพียงชั่วครู่ ทั้งยี่สิบคนก็มาอยู่ในห้องหลงเหมิน แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยพลัง สีหน้าดูเคร่งขรึม ราวกับไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนสีหน้าของพวกเขาได้ เมื่อทั้งยี่สิบคนปรากฏตัวในห้องหลงเหมิน ทุกคนในห้องโถงก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ใบหน้าของทุกคนแสดงถึงความเคารพยำเกรง องครักษ์เจ้าตระกูลมีพละกำลังไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าสามารถโค่นล้มสำนักฉิวหลงทั้งสำนักลงได้ พวกเขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพียงอยู่ภายใต้อาณัติของเจ้าสำนักเท่านั้น และยังอยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งสี่คนด้วย
“เจ้าสำนัก มีอะไรให้รับใช้ครับ”
ซ่งหยิงเดิมทีจะพูดออกมา แต่เธอกลับกลืนมันลงไป ไม่รู้ว่าทำไม สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่แนะนำนั้นถูกต้อง ให้องครักษ์เจ้าตระกูลไปตามหาขลุ่ยวิเศษจากนั้นฉวยโอกาสนี้กำจัดจอมโผ้จวินทิ้งซะ ข้อเสนอแนะนี้มีข้อดีจนไม่อาจตำหนิได้ แต่เมื่อเธอต้องพูดมันออกมา กลับรู้สึกอึดอัดรำคาญใจอยู่บ้าง เหมือนมีของอะไรตกหล่นยังไงยังงั้น
หลินชื่อนัยน์ตาดุดัน เอ่ยพูดเสียงต่ำ : “ความรวดเร็วและเด็ดขาดเป็นสิ่งที่ต้องทำนะครับ เจ้าสำนัก!”
ซ่งหยิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยพูด : “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้พวกท่านลงเขาไปทันที นอกจากตามหาขลุ่ยวิเศษแล้ว ต้องกำจัดจอมพลโผ้จวินด้วย เข้าใจไหม?”
ชายคนที่เป็นหัวหน้าขององครักษ์เจ้าสำนักได้พูดเสียงเย็นชาว่า : “เจ้าสำนักครับ โปรดให้อภัยด้วยที่พวกเราไม่อาจทำตามคำสั่งได้ หน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเราคือรักษาความปลอดภัยและรักษาผลประโยชน์ของเจ้าสำนัก เรื่องตามหาขลุ่ยวิเศษรวมถึงการแก้แค้นไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของพวกเรา”
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อถูกองครักษ์เจ้าตระกูลปฏิเสธ ซ่งหยิงกลับไม่รู้สึกโกรธ ซ้ำยังรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำ
หลินชื่อตวาดอย่างโมโห : “บังอาจ แม้แต่คำสั่งของเจ้าสำนักก็กล้าขัดขืน!”
ชายคนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยพูดด้วยท่าทางน่ากลัวและน่าเกรงขาม : “เจ้าสำนักได้โปรดให้อภัย ไม่ใช่พวกเรารักตัวกลัวตาย แต่เป็นเพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเรา หากพวกเราไม่สามารถทำตามคำสั่งได้ รบกวนผู้อาวุโสใหญ่อย่าได้ยัดเยียดเจตนารมณ์มาให้พวกเราเลย”
เห็นได้ชัดว่า องครักษ์เจ้าตระกูลปฏิเสธตรง ๆ!
หลินชื่อสีหน้าดูดุดันร้ายกาจขึ้นมาทันที มุมตามีรังสีอำมหิตแวบขึ้นมาด้วย เขาคิดไม่ถึงว่าองครักษ์เจ้าตระกูลจะกล้าขัดขืนคำสั่งของเจ้าสำนัก สิ่งที่ทำให้หลินชื่อจนปัญญามากที่สุดก็คือ เขาไม่อำนาจโดยตรงที่จะไปควบคุมองครักษ์เจ้าตระกูล ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองไปทางเจ้าสำนัก แต่กลับพบว่าซ่งหยิงไม่ได้มีทีท่ามองมาทางเขาเลย
ในเมื่อถอนหนามยอกอกออกไม่ได้ งั้นเขาก็ตัดสินใจดำเนินตามแผนที่สอง!
นั่นก็คือยึดอำนาจของซ่งหยิง!
“เจ้าสำนัก ในเมื่อองครักษ์เจ้าตระกูลยืนยันหนักแน่นอย่างนี้ เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันวันหลังเถอะ คุณยังมีเรื่องอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีกระผมขอตัวก่อน”
ไม่รอให้ซ่งหยิงเอ่ยปากพูด ทุกคนก็ได้ถอยออกไปหมด
เสี่ยวหยู่เอ่ยพูดเสียงต่ำ : “คุณหนู อ้อไม่สิ เจ้าสำนัก พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ”
ซ่งหยิงหันไปมองเสี่ยวหยู่ : “เสี่ยวหยู่ เธอว่าเป็นเพราะฉันไม่หนักแน่นหรือเปล่าผู้อาวุโสใหญ่เลยโมโห?”
เสี่ยวหยู่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ยอมปริปากพูด
ขณะที่ซ่งหยิงกำลังลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกหัวหมุน หนักหัวเท้าไร้เรี่ยวแรง หากไม่มีเสี่ยวหยู่ประคองไว้ เธออาจจะล้มลงไปกับพื้นอย่างจังแล้ว “เจ้าสำนักคะ คุณเป็นอะไรไปคะ?”
“เสี่ยวหยู่ ฉันรู้สึกหน้ามืดตาลาย แขนขาไร้เรี่ยวแรง น้ำ ในน้ำต้องมีอะไรแน่ เขา……”
ยังพูดไม่ทันจบ ซ่งหยิงก็หมดสติไป เสี่ยวหยู่ตกใจจนหน้าถอดสี อดไม่ได้ที่จะหันไปมองแก้วชาที่เธอชี้ หัวคิ้วขมวดขึ้นมา ต้องเป็นเขาลงมือแล้วแน่นอน!
เธอไม่กล้าเรียกให้คนช่วย ได้แต่ฝืนลากซ่งหยิงเดินออกไปด้านนอก เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ก็เห็นหลินชื่อจ้องมองเธอด้วยใบหน้าแสยะยิ้ม “เสี่ยวหยู่ เธอคิดจะพาเจ้าสำนักไปไหนงั้นเหรอ?”
เสี่ยวหยู่ตัวสั่นเหมือนถูกฟ้าผ่า พูดด้วยท่าทางตัวสั่นงันงก : “ผู้อาวุโสใหญ่คะ เจ้าสำนักสลบไป ฉันเลยจะพาเธอไปพักผ่อนค่ะ”
“งั้นเหรอ?” หลินชื่อเอ่ยพูดด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม : “ทำไมเมื่อกี้นี้ฉันได้ยินว่าเธอคิดจะลอบฆ่าเจ้าสำนักล่ะ? พวกแกได้ยินกันหรือเปล่า?”
ผู้คนที่อยู่ด้านหลังหลินชื่อตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า : “ได้ยินครับ!”
เสี่ยวหยู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ตัวสั่นเหมือนตะแกรงร่อนข้าวเปลือก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ : “ผู้อาวุโสใหญ่ ฉันจะไม่พูดอะไรจริง ๆ ค่ะ ฉันรับปากคุณ จริง ๆ นะคะ ฉันอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ฉันไม่อยากตาย”
“ขอร้องฉันงั้นเหรอ?” หลินชื่อชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง แล้วกดเสียงพูดให้ต่ำลง : “มีแต่คนตายเท่านั้นที่จะรักษาความลับไว้ได้ตลอดไป!”
“ใครก็ได้เข้ามานี่!” หลินชื่อตะโกนออกมากะทันหัน : “ประกาศออกไปว่า สาวรับใช้ชั่วเสี่ยวหยู่เป็นพวกเดียวกับซ่งอู่ฮุย คิดลอบฆ่าเจ้าสำนักด้วยน้ำชา แต่ถูกฉันจับได้ เพื่อกำจัดพวกที่ไม่เห็นด้วย ช่วยเหลือเจ้าสำนักจากอันตราย ฉันจะดำเนินโทษประหารชีวิตแทนเจ้าสำนักเอง สั่งประหารเสี่ยวหยู่ทันที ดำเนินการเดี๋ยวนี้!”
“ไม่นะ ผู้อาวุโสใหญ่ ฉันสาบานฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น คุณเชื่อฉันเถอะนะคะ ขอร้องล่ะไว้ชีวิตฉันสักครั้งเถอะ มีฉันคอยอยู่ข้างกายเจ้าสำนัก ฉันสามารถโน้มน้าวเจ้าสำนักได้ ให้หล่อนกลายเป็นหุ่นเชิดของคุณ จริง ๆ นะคะ”
“สารเลว!” หลินชือสะบัดมือฟาดไปหนึ่งครั้ง ตบเสี่ยวหยู่จนล้มกลิ้งลงไปบนพื้น “สาวใช้ชั่วกล้าดีนัก จนถึงตอนนี้ยังพูดจาให้คนอื่นเข้าใจผิด มีเจตนาชั่วร้าย มาจับตัวไปประหารเดี๋ยวนี้!”
“ไม่นะ……” เสี่ยวหยู่ตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง : “ผู้อาวุโสใหญ่ ฉันจะไม่พูดอะไรจริง ๆ นะคะ จริง ๆ นะ ไว้ชีวิตฉันได้ไหมคะ……”
จากนั้นเสี่ยวหยูได้ถูกมัดคอมัดแขนไขว้หลังแล้วถูกพาตัวออกไป หลินชื่อถึงได้ถอนหายใจออกมายาว ๆ
ตอนนี้เหลือเพียงคนของตัวเองเท่านั้น พูดได้ว่า ตั้งแต่นี้ไป สำนักฉิวหลงอยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมดแล้ว นอกจากพวกองครักษ์เจ้าตระกูลที่ดื้อดึงพวกนั้น เขาก็ได้กลายเป็นคนควบคุมสำนักฉิวหลงแล้วจริง ๆ
เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ หลินชื่อจึงเอ่ยเสียงต่ำ : “เทียนเอ๋อร์ เรื่องฆ่าเสี่ยวหยู่แกไปจัดการด้วยตัวเอง และจำไว้ด้วยว่า ต้องประกาศให้รู้กันไปทั่ว เพื่อข่มขวัญคนพวกนั้น ไอ้พวกที่ตัวอยู่ที่หนึ่งแต่ใจกลับอยู่อีกที่หนึ่ง ให้พวกมันได้รู้ว่า สำนักฉิวหลงได้เปลี่ยนผู้นำแล้ว ถึงแม้ตอนนี้พวกมันยอมจำนนต่อพวกเรา แต่ยังไม่สามารถมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จำไว้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามต้องควบคุมให้เด็ดขาด”
“ครับพ่อ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“ไปเถอะ ต่อไปพวกเราก็จะได้ควบคุมทั้งสำนักฉิวหลงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า……” หลังจากหัวเราะเสียงดังแล้ว น้ำเสียงของหลินชื่อได้เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที สีหน้าดุร้ายเป็นอย่างมาก : “ซ่งอู่ฮุยเรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน พวกแกสองพ่อลูกอยู่ในกำมือของฉันแล้ว แกอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปนักล่ะ เดี๋ยวลูกสาวแกจะตายตามไปไม่ทัน!”