จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 749 โง่
“เรียกเทพมังกรงั้นหรือ?” เทียนขุยตกใจพูดออกมา “บนโลกนี้ยังมีเทพมังกรอยู่จริงๆ งั้นหรือ?”
ฟางเหยียนกลับมีใบหน้านิ่งๆ เขาจำได้ว่าตอนนั้นที่จักรพรรดิชิงตี้มาแย่งขลุ่ยวิเศษนั้น ก็ได้เอ่ยถึงหน้าที่ของขลุ่ยวิเศษแล้ว เพียงแต่มาได้ยินคนของสำนักฉิวหลงพูดถึงเรื่องนี้อีก ในใจเขาก็เลยตกใจพอสมควร
ฟางเหยียนปิดปากนิ่งไม่ตกใจอะไร แต่กลับยิ่งทำให้ซ่งอู่ฮุยจะต้องมองจอมพลโผ้จวินผู้ที่ไม่เผยสีหน้าอารมณ์ผู้นี้ใหม่ มีจิตใจที่มั่นคงกว่าคนในวัยเดียวกันจริงๆ แม้แต่เขาเองก็ยังต้องยอมรับ พอนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ตนเองได้ยินว่าสำนักฉิวหลงมีเทพมังกรตัวหนึ่งถูกปิดผนึกอยู่ที่นี่ ท่าทางตกใจของเขานั้น มันมากเสียจนน่าตกใจด้วยซ้ำ แต่ว่าท่าทางจอมพลคนนี้กลับสงบนิ่งมาก
ไม่ธรรมดาจริงๆ เก่งกว่าคนทั่วๆ ไป
ฟางเหยียนก็พูดนิ่งๆ ว่า “บนโลกนี้ยังมีเรื่องแปลกที่อธิบายไม่ได้อีกมากมาย คุณไม่เข้าใจมัน ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่จริง”
เทียนขุยพยักหน้า “ผมความรู้น้อยไปครับจอมพลโผ้จวิน”
“ไม่หรอก มังกรเป็นสัตว์ในเทพนิยายของประเทศหวา คนส่วนมากคิดว่ามังกรอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์หรือในตำนานปรัมปรา แต่มีคนรู้น้อยมากกว่า มังกรนั้นมีอยู่จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องมังกรที่หยิงโข่ว เรื่องนี้ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้เพียงพอว่ามีเทพมังกรอยู่จริงๆ”
เทียนขุยก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันที ปีนั้นเรื่องมังกรที่หยิงโข่วดังมาก เรียกได้ว่าข่างแพร่กระจายไปทั่ว แต่เรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกเล่นๆ กันหลังกินข้าวดื่มชาเท่านั้น
“จอมพลสมกับที่เป็นจอมพล มีความรู้กว้างขวาง ผมนับถือจริงๆ”
ฟางเหยียนยิ้มไม่พูดอะไร เขาก็ฟังออกว่าซ่งอู่ฮุยกำลังเยินยอประจบประแจง
ซ่งอู่ฮุยฉลาดมาทั้งชีวิต มีหรือจะไม่รู้ว่าฟางเหยียนมองความต้องการของตนเองออก แต่ก็ไม่สนใจอะไร แล้วยิ้มพูดออกไปว่า “สหายท่านนี้ สำหรับพวกคุณนั้น เทพมังกรอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง แต่มันมีตัวตนอยู่จริงๆ ได้ยินมาว่าเทพมังกรตัวนี้อยู่มาเป็นพันปีแล้ว เป็นมังกรที่สำนักฉิวหลงของพวกเราเลี้ยงไว้และเหลือมาตัวเดียว มันเป็นมังกรจริงๆ”
เทียนขุยก็เริ่มสนใจขึ้นมา แล้วพูดออกมาว่า “งั้นให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”
ซ่งอู่ฮุยก็ยิ้มๆ แล้วพูดว่า “ดาวทั้งเก้าเรียงตัวกัน เทพเจ้ามาจุติ ปีศาจอาละวาด ใต้หล้าอลหม่าน เริ่มปรากฏ สำนักต่างๆ ไม่สงบ มีสำนักมังกร เป็นปฏิปักษ์กับเพลิงเสวน!”
เทียนขุยก็หันขวับไปมองฟางเหยียน “จอมพลโผ้จวิน ประโยคนี้อีกแล้ว!”
ซ่งอู่ฮุยนิ่งไป แล้วพูดว่า “จอมพล ประโยคนี้พี่ใหญ่ของผมมักจะพูดติดปากอยู่บ่อยๆ หลังจากที่ขลุ่ยวิเศษถูกฉู่หยางเอาไปแล้ว พี่ใหญ่ของผมก็ได้ออกตามหาขลุ่ยวิเศษทั่วแผ่นดิน แต่สุดท้ายก็ต้องมาตายโดยที่หัวกับตัวแยกกันไปคนทาง”
พูดถึงจุดนี้ เขาก็มองฟางเหยียน แล้วแกล้งๆ ถามลองใจว่า “ได้ยินมาว่าขลุ่ยวิเศษอยู่ในมือจอมพล ไม่ทราบว่า….”
“ถูกต้องแล้ว” ฟางเหยียนไมได้ปฏิเสธ แต่ยอมรับไปเลย
เทียนขุยก็สังเกตเห็นแววตาเย็นยะเยือกที่หางตาของซ่งอู่ฮุย แล้วก็ถามว่า “ตาแก่ คิดจะให้พวกเราเอาขลุ่ยวิเศษคืนให้งั้นใช่ไหม?”
“เปล่าๆๆ” ซ่งอู่ฮุยแกล้งหัวเราะไปด้วย “ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ผมอาจจะให้พวกคุณเอาขลุ่ยวิเศษมาคืน แต่ตอนนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว ถ้าเพราะมีของล้ำค่าแล้วตัวต้องตาย สำนักฉิวหลงของพวกเราก็ไม่อาจจะรับการโจมตีแบบนี้ได้อีกแล้ว”
“เพราะเพลิงเสวนใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” ซ่งอู่ฮุยยิ้มๆ “จอมพล สำนักฉิวหลงเป็นหยินเหมินที่ดีมาตลอด ให้พวกเราไปช่วยคนชั่วทำชั่ว พวกเราก็จะเป็นคนผิดของสำนักฉิวหลง แต่พวกเพลิงเสวนอยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสำนักฉิวหลงทั้งทางอ้อมทางตรง แต่กลับถูกพวกเราปฏิเสธไปตรงๆ บ้างอ้อมๆ บ้าง แต่ไม่คิดถึงว่า จิตใจคนมันจะชั่วช้า คิดไม่ถึงว่าจะถูกเพลิงเสวนมาแทรกซึมในสำนักจนได้”
พูดถึงจุดนี้ ซ่งอู่ฮุยก็มีท่าทางเคารพ แล้วพูดด้วยสีหน้าปกติว่า “จอมพล ไม่ใช่เพราะสำนักฉิวหลงของพวกเรากลัวตาย แต่มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายภายในแบบนี้ อำนาจทั้งหลายมันไม่ใช่สิ่งที่สำนักฉิวหลงต้องการ ขอให้จอมพลโปรดเข้าใจด้วย”
เห็นได้ชัดว่า ซ่งอู่ฮุยคิดจะออกห่าง ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย
การไม่บังคับใจใคร นี่คือการทำงานของเขา เขาเข้าใจความหมายที่ซ่งอู่ฮุยพูดออกมาเป็นอย่างดี
“ตอนที่หิมะมันถล่มลงมา ไม่มีหิมะก้อนไหนไม่มีความผิดหรอก”
ซ่งอู่ฮุยสีหน้านิ่งไป เขามีหรือจะฟังไม่ออกว่าฟางเหยียนพูดเชิงข่มขู่ออกมา!
ก็จิรงอยู่!
หลินชื่อเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักฉิวหลง ก็ยังถูกเพลิงเสวนเป่าหูให้หักหลังได้ แล้วยังมีอะไรเป็นไปไม่ได้อีก ไม่มีใครต้านทานขอเสนอที่น่าสนใจได้ นอกเสียจากผลประโยชน์มันจะไม่เพียงพอ
บางครั้ง ท่าทีก็เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง
“จอมพลวางใจได้เลย สำนักฉิวหลงไม่มีใจคิดจะสู้ ยิ่งไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย และพวกเราก็ยิ่งไม่มีทางเป็นหมากของเพลิงเสวน จนต้องกลายเป็นคนบาปที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก”
“ไม่ครัล ท่านผู้อาวุโส คุณเข้าใจผมผิดแล้ว” ฟางเหยียนยิ้มพูดนิ่งๆ “เพลิงเสวนมันใช้ทุกวิถีทาง สำนักไร้หน้าเองก็มีจุดจบที่ต้องสิ้นสำนักไป ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย”
“ครับ” ซ่งอู่ฮุยคิดๆ ดูแล้วก็พูดว่า “จอมพลวางใจได้เลย สำนักฉิวหลงยังคงเคารพเชิดชูซ่งหยิงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน”
ซ่งอู่ฮุยแสดงท่าทีของตนเองออกมา
“คุณก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ผมสื่อออกไป”
“แล้วจอมพลหมายความว่าอย่างไรครับ?”
“สำนักฉิวหลงเกิดเรื่องของหลินชื่อแบบนี้ เพลิงเสวนก็ถือว่าแผนการล้มเหลวหมด ครั้งหน้าก็คงจะไม่ง่ายแบบนี้แล้ว”
ซ่งอู่ฮุยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เพลิงเสวนทำเรื่องอะไร มักจะชวนให้คนโมโหลุกเป็นไฟ เรื่องที่หลินชื่อหักหลังสำนักแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ขอเพียงยังมีสำนักฉิวหลงอยู่ เพลิงเสวนก็คงจะพยายามเข้ามาแทรกแซงภายให้จนได้
“จอมพลก็ชี้แนะด้วยครับ”
“คุณบอกว่าตัวเองซื่อสัตย์มีคุณธรรม ผมคิดว่าคุณเป็นคนฉลาด เพลิงเสวนมันจะใช้ทุกวิถีทาง งั้นพวกเราก็ยอมมันไปตามน้ำเป็นไง? แต่ผมหวังว่า ความซื่อสัตย์มีคุณธรรมจะเป็นขีดจำกัดสุดท้ายของพวกคุณ”
“จอมพลหมายความว่า……แอบลงมือลับๆ แกล้งยอมจำนน แล้วก็ใช้แผนซ้อนแผนใช่ไหม?”
“บางที่แบบนี้อาจจะเป็นสิ่งที่สามารถปกป้องให้สำนักฉิวหลงปลอดภัย และไม่ถูกโจมตีจนต้องสิ้นสำนัก ในความวุ่นวายครั้งนี้”
“จอมพล ผมเข้าใจแล้ว ตาแก่อย่างผมโง่ไปเอง คงเป็นเพราะเคยถูกโจมตีแบบนี้ ใจก็เลยกลัวอะไรไปหมด”
“ท่านผู้อาวุโส ผมยังต้องใช้ขลุ่ยวิเศษ ดังนั้นก็เลยยังไม่สามารถเอาคืนให้กับสำนักฉิวหลงได้ ทางหนึ่งจะได้เป็นตัวดึงความสนใจของเพลิงเสวนได้ อีกทางหนึ่ง จะได้เป็นการช่วยให้สำนักฉิวหลงไม่ต้องมารับกรรมเพราะของล้ำค่าในมือตัวเอง แล้วก็ หลังจากที่ผมออกจากประตูนี้ไป คุณจะต้องเผยแพร่ข่าวออกไป ว่ากำลังตามหาขลุ่ยวิเศษคืนมา เข้าใจไหมครับ?”
ซ่งอู่ฮุยขมวดคิ้ว แล้วก็พูดออกมาอย่างไม่หลอกลวง “งั้นจอมพลก็กลายเป็นจุดสนใจที่ทุกคนจะบุกโจมสิครับ?”
ฟางเหยียนก็ยิ้มนิ่งๆ “มันขาดไม่ได้อยู่แล้ว แบบนี้”
ถึงแม้ซ่งอู่ฮุยจะอยู่ในป่าลึกมานาน แต่ก็ได้ข่าวคราวมาตลอด รู้อยู่แล้วว่าเพลิงเสวนได้ทำผิดมหันต์ไว้ โดยเฉพาะมาโจมตีจอมพลโผ้จวินคนนี้ ถือได้ว่าใช้ทุกวิถีทางกันเลยทีเดียว
“ผมเข้าใจแล้ว จอมพล” ซ่งอู่ฮุยยิ้มๆ “สำนักฉิวหลงมีคุณคอยช่วยเหลือ ถือว่าเป็นบุญมากเลย”
ซ่งอู่ฮุยก็มองซ่งหยิง แล้วยิ้มพูดว่า “เอ่อ จอมพล เดี๋ยวผมจะรีบไปจัดการเรื่องนี้เลย ก็จะไม่รบกวนต่อไปแล้วล่ะครับ”
พอเดินตามซ่งอู่ฮุยออกไปจากห้องหลงเหมิน ซ่งหัวหลินก็รีบถามขึ้นมาทันทีว่า “พ่อครับ จอมพลจะให้พวกเรากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาหรือครับ? นี่มันเป็นการเสียมารยาทมากเลยนะครับ”
“เลือะเลือนไปแล้วหรือไงกัน” ซ่งอู่ฮุยก็หันไปมองห้องหลงเหมินด้านหลัง “จอมพลนั้นกำลังปูทางให้พวกเรา ทางที่ทำให้พวกเราไม่ต้องถูกกวาดล้างสำนัก”
ซ่งหัวหลินก็พูดอย่างสงสัยว่า “ปูทางงั้นหรือครับ?”
“ถูกต้อง ทางเส้นนี้เป็นเส้นทางที่ไปยังเพลิงเสวน!”
“เพลิงเสวนหรือครับ?” ซ่งหัวหลินตกใจอีกครั้ง “จอมพลจะให้พวกเราไปเข้าร่วมกับเพลิงเสวนหรือครับ? ให้สำนักฉิวหลงของเรากลายเป็นคนบาปงั้นหรือครับ? นี่จอมพลกำลังจะทำให้พวกเรากลายเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ไร้คุณธรรมเลยนะ!”
“บ้า!พูดระวังหน่อย!” ซ่งอู่ฮุยตบหัวไป “ทำไมเอ็งถึงได้สมองเลอะเลือนขนาดนี้ ไม่แปลกที่ถูกหลินเทียนเหยียบหัวได้ตลอด ว่างๆ ก็อ่านหนังสือเยอะๆ อย่าให้พูดออกมา แล้วทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเอา”
ซ่งหัวหลินเอามือจับหัวตัวเอง พูดว่า “พ่อ อย่าเอาแต่ตบหัวผมสิ ตบจนผมจะโง่หมดแล้ว”
“เฮ้อ พ่อฉลาดแบบนี้ ทำไมเอ็งถึงโง่ได้” ซ่งอู่ฮุยพูดอย่างปวดใจ “จอมพลจะให้พวกเราโจมตีเพลิงเสวนในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เข้าใจหรือยัง?”
ซ่งหัวหลินก็เหมือนถูกจับกรอกยาให้ฉลาดขึ้นมาได้ทันที “ที่แท้จอมพลก็จะให้เราไปเป็นไส้ศึกนี่เอง พ่อบอกมาตามตรงเลยก็จบแล้ว จะต้องพูดให้มันล้ำลึกเข้าใจยากไปทำไม พ่อ พ่อแสดงให้ใครดูอะ? ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”
ซ่งอู่ฮุย “……”
ซ่งอู่ฮุยคิดจะฆ่าลูกทิ้งเพื่อเชิดชูคุณธรรม!
เป็นคนเหมือนกัน แต่ทำไมถึงแตกต่างกันแบบนี้? เมื่อเทียบกับหลินเทียน ซ่งหัวหลินไม่ใช่แค่ห่างกันเล็กน้อยเท่านั้น มีพลังไม่พอก็ว่าไปอย่าง แม้แต่สมองก็ยังสู้อะไรไม่ได้เลย!
“จำได้แล้วครับ เรื่องนี้จะต้องทำเงียบๆ พ่อให้ผมไปจัดการเองแล้วกัน” พอคิดๆ ดู ด้วยระดับสองของซ่งหัวหลิน เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แล้วก็ส่ายหัวพูดว่า “ช่างเถอะ เดี๋ยวพ่อไปจัดการเอง เดี๋ยวเอ็งจะทำเสียเรื่องเปล่าๆ”
ที่นี้ก็ถึงคราวที่ซ่งหัวหลิน พูดไม่ออกบ้างแล้ว!