จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 750 เพลงปลุกมังกร
ด้านในห้องหลงเหมิน พอสองพ่อลูกซ่งอู่ฮุยออกไปแล้ว ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีก โดยเฉพาะซ่งหยิง เธอพบว่าตอนนี้ที่ได้พบกัยฟางเหยียนอีกครั้งนั้น มีความเกร็งๆ และห่างเหินมากขึ้น ก็เห็นอยู่ว่ามีชายที่ใฝ่ฝันมายืนตรงหน้า แต่เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากันอย่างไร เสียดายที่เธอเรียนวิชาอ่านใจคน แต่ตอนนี้กลับเป็นตัวของตัวเองไม่ได้
“ครู ครูฟางคะ คุณจะอยู่ช่วยฉันได้ไหม?” ซ่งหยิงพูดออกมาแปลกๆ พูดจบก็นิ่งไป อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ เหมือนกัน ในใจก็บ่นพึมพำว่า “ตัวเองเป็นใครกัน ที่จะให้เขายอมอยู่ช่วยเหลือที่นี่? ขายขำหรือไง!”
เทียนขุยก็เดินออกไปอย่างรู้งาน ด้านในก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน
“ซ่งหยิง คุณไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก ตอนนี้สำนักฉิวหลงกำจัดความวุ่นวายไปหมดแล้ว ตอนนี้สำนักฉิวหลงไม่ได้มีไส้ศึกรู้นอกรู้ในแบบเมื่อก่อนแล้ว สำนักฉิวหลงที่มีความวุ่นวายภายในไม่จบสิ้นนั้น ขอเพียงขลุ่ยวิเศษอยู่ในมือผม สำนักฉิวหลงจะปลอดภัย อีกอย่าง ถ้าอารองของคุณได้รับความเชื่อใจจากเพลิงเสวน สำนักฉิวหลงก็จะปลอดภัย ดังนั้น จะให้ผมอยู่ช่วยเหลือนั้น มันไม่จำเป็นแล้ว”
เมื่อเทียบกับปฏิเสธไปตรงๆ พูดแบบนี้มันเจ็บมากกว่าเดิม
ซ่งหยิงก็ยิ้มแหยๆ พูดว่า “ครูฟางคะ ฉันขอมากไปหรือเปล่าคะ ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณลำบากใจ”
เห็นเธอแกล้งทำเป็นนิ่ง พยายามฉีกยิ้มออกมา ในใจของฟางเหยียนก็เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ความเจ็บปวดที่ใจถูกแทง มันลุกลามไปทั้งหัวใจ ช่วงนั้นเขาก็นึกถึงหลินถงขึ้นมา ผู้หญิงที่ยอมทำเพื่อเขาทุกอย่าง ฟางเหยียนไม่ได้เป็นไร้ความรู้สึก และเล่นกับความรู้สึกคนอื่น แต่เขาไม่อยากจะติดค้างใคร และไม่อยากให้ใครทิ้งความรู้สึกผิดไว้ในใจเขาได้
“ซ่งหยิง คุณกับผมไม่เหมาะสมกัน”
ซ่งหยิงยิ้ม ภายในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ยิ้มๆ ไปก็ร้องไห้ออกมา
การปฏิเสธที่เจ็บปวด การปฏิเสธที่ไม่เหลือเยื่อใยอะไรเลย
ซ่งหยิงเป็นคนฉลาด ฟางเหยียนเหมือนจะตัดรักไป แต่จริงๆ แล้วกำลังช่วยเธออยู่ เพราะว่าด้านนอกยังมีเพลิงเสวนที่คอยจับจ้องอยู่ ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องของเพลิงเสวน แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้อาวุโสใหญ่แล้วนั้น เธอก็พอจะเข้าใจเพลิงเสวนมากพอสมควร และการเข้าใจคร่าวๆ นี้ เธอก็สามารถแยกแยะได้ว่า เพลิงเสวนเป็นองค์กรชั่ว
ครั้งนี้ฟางเหยียนดูเหมือนจะตัดทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วกำลังปกป้องสำนักฉิวหลง ไม่ให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจและการต่อสู้ต่างๆ แล้วกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับอำนาจพวกนั้น บางทีอาจจะมีความรู้สึกดีๆ อยู่ในนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นตอนที่เขามาถึงสำนักฉิวหลงนั้น ก็คงจะฆ่าล้างสำนักไปหมดแล้ว คงไม่ต้องมาอดกลั้นความโกรธแบบนี้หรอก
สรุปแล้ว ฟางเหยียนก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้เธอ เพียงแต่เขาไม่พูดให้ชัดเจน แต่แค่หยุดมันไว้เท่านี้
จากนั้น เธอก็ปาดน้ำตา แล้วยิ้มพูดอย่างจริงใจว่า “ครูฟางคะ ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
ฟางเหยียนก็ยิ้ม จนเผยฟันขาวๆ ออกมาให้เห็น
“ครูฟาง คุณยิ้มออกมาดูหล่อมากเลยค่ะ”
เทียนขุยรีบหันไปมอง ก็อึ้งไปราวกับโคลัมบัสพบทวีปแผ่นดินใหม่ ตั้งแต่ที่เขารู้จักกับจอมพลโผ้จวิน ก็ไม่เคยเห็นจอมพลโผ้จวินยิ้มมาก่อน อารมณ์จะนิ่งตลอด แต่ตอนนี้ เขายิ้มออกมาเฉยเลย ต้องบอกเลยว่า ยิ้มได้หล่อมาก
อย่างว่า ผู้กล้ามักจะผ่านด่านสาวงามยาก ไม่ใช่ผ่านไปไม่ได้ แต่ไม่มีทางมัดใจของเขาได้
เทียนขุยก็บ่นในใจตัวเอง “บางทีคงจะมีแต่ผู้หญิงเท่านั้น ถึงจะทำให้จอมพลโผ้จวินยิ้มได้!”
แน่นอน ประโยคนี้ไม่กล้าพูดอกมาแน่ เดี๋ยวจะโดนเตะเอาเปล่าๆ !
ระหว่างปากที่แดงๆ กับฟันขาวๆ นั้น เป็นรอยยิ้มที่เผยความจริงใจออกมา ราวกับสามารถช่วยเยียวยาทุกสิ่งในโลกนี้ได้ทั้งหมด
“ครูฟางคะ ฉันจะทำหน้าที่ที่พ่อของฉันทิ้งไว้ให้สำเร็จ ดูแลสำนักฉิวหลงให้ดี แล้วก็คอยช่วยเหลือคุณอยู่ลับๆ”
ฟางเหยียนก็ยิ้มไม่พูดอะไร เขาพบว่าคุยกับคนฉลาดนั้น มันง่ายมาก
“ไปกันเถอะ เทียนขุย ที่นี่ปลอดภัยดีแล้ว”
“เอ่อ ครูฟางคะ คุณจะกลับแล้วหรือคะ?” ซ่งหยิงเอ่ยปากเรียกไว้ พบว่ามีอะไรแปลกๆ แล้วก็อธิบายอย่างหน้าแดงๆ ว่า “คือฉัน ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่นนะ และไม่ได้คิดจะให้นอนพักที่นี่ด้วย เพียงแต่……เพียงแต่ อ๋อใช่ นี่มันก็เริ่มมืดแล้ว เส้นทางบนเขาก็เดินทางลำบาก เช้าพรุ่งนี้ค่อยเดินทางก็ได้นะคะ”
พอพูดจบ ซ่งหยิงก็หน้าแดงไปจนถึงใบหู
ฟางเหยียนกำลังจะปฏิเสธ แต่เทียนขุยก็หัวเราะตอบไปว่า “จะทำลายความปรารถนาดีของคนอื่นได้อย่างไรกัน จอมพลโผ้จวิน พวกเราก็พักที่นี่สักคืนเถอะ”
“เทียนขุย!”
เทียนขุยก็รีบหุบใบหน้ายิ้มๆ ของตนเอง แล้วก็รีบยืนอยู่ข้างหน้าอย่างกลัวๆ พูดอย่างสั่นๆ ว่า “จอมพลโผ้จวิน ผมสำนึกผิดแล้วครับ”
“พวกเรามาที่นี่ ไม่ได้มาเที่ยว รู้ใช่ไหม?”
“รู้ครับ พวกเรามาสำนักฉิวหลง เพื่อทำลายแผนชั่วของเพลิงเสวน ตอนนี้ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป”
บรรยากาศนี้ทำให้ซ่งหยิงทำตัวไม่ถูก คำพูดเดียวของเธอ ก็ทำให้บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ แล้วเธอก็พูดขัดทั้งสองคนไปอย่างเกรงใจว่า “ครูฟางคะ ฉันพูดผิดไปเอง ไม่ต้องโมโหไปนะ”
“ช่างเถอะ คุณมีความปรารถนาดี แต่ผมไม่เข้าใจเองแหละ”
จากนั้นฟางเหยียนก็เดินออกห้องหลงเหมินไป เทียนขุยก็รีบตามออกไป
ซ่งหยิงมองด้านหลังของฟางเหยียน แล้วก็บ่นว่า “ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย!”
พอคิดถึงจุดนี้ เธอก็รีบตามเข้าไป แล้วตะโกนไปว่า “ครูฟาง ในเมื่อขลุ่ยวิเศษอยู่ในมือคุณ แล้วทำไมไม่ลองไปที่ที่บูชามังกรดูล่ะ? ไปเรียกเทพมังกรออกมา จะได้ช่วยเหลือคุณอีกแรง?”
ฟางเหยียนก็หยุดฝีเท้าลงทันที ต้องบอกเลยว่า คำพูดนี้ของซ่งหยิง ช่างดึงดูดใจดีเลยทีเดียว!
ตอนนี้พลังของเขายังไม่ฟื้นตัว เอาชนะเพลิงเสวนไม่ได้ แต่ถ้าเพิ่มเทพมังกรไปตัวหนึ่งล่ะก็ ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นมากเลย!
สำนักฉิวหลงเป็นที่เลี้ยงมังกร แล้วหลังจากเรียกมันขึ้นมาล่ะ?
พอคิดๆ ฟางเหยียนก็หันไปถามว่า “พอเรียกเทพมังกรมา จะมีผลอะไรกับสำนักฉิวหลงของพวกคุณไหม?”
ซ่งหยิงกำลังจะเอ่ยปาก ซ่งอู่ฮุยก็รีบเดินเข้ามา เดินไปพูดไปว่า “จะมีผลอะไรล่ะครับ? สำนักฉิวหลงแค่เลี้ยงมังกรอย่างเดียว แต่พวกเราไม่ได้เลี้ยงมังกรมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีผลอะไรมากหรอก”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฟางเหยียนก็ไม่กังวล และตัดสินใจไปเรียกเทพมังกร!
ทุกคนมายังที่หุบเขาคำราม ช่องเขาขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน ทำให้คนเอ่ยปากตกใจกับความยิ่งใหญ่ และใต้หุบเขาคำรามนั้น ก็มีเวทีใหญ่อันหนึ่ง ที่นี่ก็คือที่บูชามังกร!
ที่บูชามังกรคือลานพิธีเซ่นไหว้ของสำนักฉิวหลง รอบๆ ยังคงมีร่องรอยของเครื่องบูชาและธงวิญญาณที่ใช้สังเวยครั้งก่อน และที่บูชามังกรก็สูงประมาณตึก8ชั้น เผยให้เห็นรูปร่างของบันไดสวรรค์ ด้านล่างเป็นฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ พอสูงขึ้นไปก็เล็กลงเรื่อยๆ จนถึงยอดบนสุด และบนสุดนั้นมีที่ให้ยืนได้เพียงคนเดียว
นี่ก็คือที่บูชามังกร
งดงาม ยิ่งใหญ่ ดูขลัง ทำให้คนเหมือนถูกบีบให้เล็กลง
แรงกดดันนี้มันไร้รูปลักษณ์ ทำให้คนที่มา จะต้องเคารพ โดยไม่อาจจะต้านทานมันได้ แต่มีคนหนึ่งต่างออกไป คนนั้นก็คือฟางเหยียน เห็นว่าเขามีสีหน้าไร้ความรู้สึก ยืนตรงหน้าที่บูชามังกร ต้านทานพลังที่บีบออกมานั้น
ซ่งอู่ฮุยตกใจสั่นไปอีกครั้ง จอมพลโผ้จวินคงจะไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว เป็นคนแรกที่มายังที่บูชามังกรแล้วไม่ถูกพลังกดดันใส่!
ซ่งหยิงก็พูดอย่างตกใจว่า “อารอง ครูฟาง คุณสุดยอดมากเลย พลังของที่บูชามังกรทำอะไรคุณไม่ได้เลย!”
ซ่งอู่ฮุยก็ส่ายหัวเบาๆ “จอมพลเป็นคนธรรมดาที่ไหน ในเมื่อเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเหมือนใคร แค่พลังแค่นี้ จะสามารถทำอะไรกับจอมพลได้?”
สองคนคุยกันทำให้ดึงดูดความสนใจของเทียนขุย ในใจก็บ่นขึ้นว่า “ที่แท้ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่รู้สึกที่ได้พลังที่กดมาหาตัว คนของสำนักฉิวหลงเองก็เหมือนกัน ที่นี้ก็ไม่ต้องอายแล้ว!”
มองไปที่ที่บูชามังกร ฟางเหยียนก็หันมาพูดว่า “ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อ?”
ซ่งอู่ฮุยก็หยิบคัมภีร์โบราณที่เก่าจนออกสีเหลืองออกมาอย่างระวัง แล้วพูดว่า “จอมพล นี่คือบทเพลงที่เอาไว้บรรเลงเรียกเทพมังกร มีชื่อว่า เพลงปลุกมังกร เชิญเอาไปดูเลยครับ”
ฟางเหยียนมองดูก็จำได้ แล้วก็เริ่มใช้ขลุ่ยวิเศษเป่าเป็นเพลงปลุกมังกรออกมา เสียงดนตรีช้าๆ ราวกับฝูงม้านับหมื่นวิ่งไป ดังเป็นจังหวะ ดังไปทั้งฟ้าดิน จนฟ้าดินได้เปลี่ยนสีไปหมด!
พอบรรเลงจบ เสียงสุดท้ายที่ทอดยาว ทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม พอหายตกใจ และสิ้นเสียงไปแล้วนั้น!
ที่บูชามังกรก็ยังคงจมอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม!