จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 759 คนตระกูลโจวที่ผิดปกติ
“จอมพลครับ ความหวาดกลัวได้เงียบสงบลงแล้วครับ!”
เช้าวันที่สอง หยางจิ่งเซียนเคาะประตูห้อง ทั้งเคาะไปด้วยพูดไปด้วย
ความหวาดกลัวไม่หายไป ประชาชนก็จะไม่สบายใจ เขาฟางเหยียนละอายใจต่อความไว้วางใจและตำแหน่งที่ประชาชนมอบให้แก่เขา ความหวาดกลัวหายไปแล้ว เขาก็สามารถไปบ้านตระกูลโจวได้อย่างสบายใจแล้ว เขาเองก็มีความสงสัย ทำไมดินแดนตะวันตกถึงได้กลายเป็นว่าผู้คนต่างมีความรู้สึกว่าตัวเองจะอยู่ในอันตราย และตกสู่ความหวาดกลัว แต่จากนั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ตระกูลโจวเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในดินแดนตะวันตก ตระกูลเขาทำเรื่องผิด!ทำให้เกิดความตกใจ และมีความหวาดกลัว
“จอมพลครับ จัดเตรียมเรื่องไว้เรียบร้อยแล้วครับ ขออนุญาตถามสักคำนะครับว่าพวกเราจะเดินทางตอนนี้รึเปล่าครับ?”
ประตูห้องเปิดออก หยางจิ่งเซียนก็ถามอย่างทนรอไม่ไหว
ตอนนี้เองฟางเหยียนถึงได้เห็นว่านอกจากหยางจิ่งเซียนหยางกง รวมทั้งพ่อลูกหมอหลิน ยังมีพวกใบหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่ด้วย พวกใบหน้าที่ไม่รู้จักพวกนั้นล้วนเป็นคนแก่ที่ผมหงอกกันแล้วทั้งนั้น คนพวกนี้ก็คือผู้มีอำนาจที่มาปรึกษาหารือถึงวิธีการกัน เมื่อคนพวกนี้เห็นฟางเหยียน ต่างก็โค้งคำนับเล็กน้อยโดยไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น
ฟางเหยียนสีหน้าเฉยชา ไม่มีการกระทำอะไรเลยสักนิด
หยางจิ่งเซียนจะไม่เข้าใจได้ยังไงว่าจอมพลกำลังโทษเขาที่ทำอะไรตามใจ จึงรีบอธิบายว่า “ท่านจอมพลให้อภัยด้วยครับ คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้มีอำนาจในด้านต่างๆขอองดินแดนตะวันตก ที่มาในวันนี้ ก็ล้วนมาแสดงออกถึงความภักดี และต่างก็ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับตระกูลโจวไปหมดแล้วครับ”
แสดงความภักดี!
ก็จริง!
ตระกูลโจวมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรสัตว์เพลิง ทำเอาดินแดนตะวันตกตกอยู่ในอันตราย ผู้คนต่างหวาดกลัว กลัวว่าจะโดนร่างแหใส่ตัวไปด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็คือมาแสดงถึงความภักดีต่อหน้าท่านจอมพล จะได้ไม่ถูกเกี่ยวข้องด้วย
ฟางเหยียนคิดๆแล้วก็พูดว่า “เรื่องของตระกูลโจวไม่เกี่ยวข้องกับทุกท่าน ทุกท่านไม่จำเป็นต้องเป็นทำแบบนี้ ทำเรื่องของตัวเองให้ดี ให้ดินแดนตะวันตกมั่นคงก็พอแล้ว”
ผู้มีอำนาจที่มีเหมืองท่านนั้นสบายใจขึ้น “ขอบคุณความเมตตาของท่านจอมพลครับ ผมและทุกท่านจะทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ดินแดนตะวันตกมั่นคง และลดความตื่นกลัวลงครับ”
“โอเค ทุกท่าน เชิญกลับไปก่อนเถอะ”
หยางจิ่งเซียนพูด ทุกคนก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ ต่างก็จากไป หมอหลินกับหลินยียีกลับไม่กลับไปสักที
“อาจารย์ครับ ผมรู้ว่าตอนนี้จะมาเสียเวลาทำเรื่องใหญ่ของคุณไม่ได้ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่จากไป ผมก็ตั้งใจเรียนรู้แพทย์แผนจีนโบราณทั้งหมด และยิ่งศึกษาแพทย์แผนจีนมากขึ้นอีกขั้น และก็ยิ่งเข้าใจถึงความฉลาดของบรรพบุรุษ แม้ว่าจะอ่านหนังสือมามากมาย แต่ผมก็ยังอยากจะเคารพคุณเป็นอาจารย์ หวังว่าอาจารย์จะรับผมเป็นศิษย์ ผมจะรักษาช่วยเหลือผู้คนในโลกและที่ลำบากทั้งหมด เพื่อประชาชนอย่างเต็มที่แน่นอนครับ”
หมอหลินพูดจบในรวดเดียว ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฟางเหยียน คุณปู่ของตัวเองก็คุกเข่าลงแล้ว หลินยียีเองจึงได้คุกเข่าตามไปด้วย
หยางจิ่งเซียนส่ายหัวอย่างจนใจ แต่กลับไม่มีความคิดที่จะไปห้าม
หมอหลินเอาแต่นึกคิดอยากจะไหว้จอมพลให้รับเป็นศิษย์อยู่ตลอด ความคิดนี้ไม่เพียงแค่ครั้งสองครั้งแล้ว และตอนนี้กว่าจะมีโอกาส เขาจะพลาดได้ยังไงกัน
ฟางเหยียนก้มตัวลงพยุงหมอหลินและหลานสาวขึ้น “คุณหมอ การช่วยเหลือผู้คน รักษาผู้เจ็บป่วยให้หาย ไม่ใช่การแข่งขัน คุณมีใจนี้ แค่นั้นก็พอแล้ว”
หมอหลินขยับตา “อาจารย์ครับ นี่คือคุณตอบตกลงงั้นหรอครับ?”
“ตอนนี้คุณศึกษาจบเป็นอาจารย์แล้ว ฉันสอนนายไม่ได้แล้ว รักษาผู้ป่วยให้ดี ผู้เป็นอาจารย์เก็บไว้ในใจ”
เห็นได้ชัดว่าฟางเหยียนไม่อยากมีความยืดเยื้ออะไรมาก จึงสะบัดมือเดินจากไป ชิงตี้เองก็รีบเดินตาม
“ดูแล้ว บั้นปลายชีวิตนี้ ผมไม่สามารถสมปรารถนาได้แล้ว…..” พูดถึงนี่ หมอหลินก็หันไปมองหลานสาวของตัวเอง “ยียี เรื่องนี้ต้องพึ่งเธอแล้วละ”
เทียนขุยรอฟางเหยียนอยู่ที่สวนดอกไม้ พูดเสียงเบาว่า “จอมพลโผ้จวินครับ มีข่าวของยมราชส่งมาครับ ตอนนี้ตระกูลโจวยังเงียบสงบ ไม่มีการกระทำต่อต้านอะไรเลยครับ หรือว่าตระกูลโจวจะมั่นใจไม่กังวล และไม่กลัวคุณแล้ว?”
ยมราชคือรองผู้นำที่อารักขาดินแดนตะวันตก เขาอยากจะมามาก แต่กลับถูกเรื่องทางกองทัพรัดตัวและหาเวลามาไม่ได้
“ฉันปล่อยข่าวออกไปขนาดนั้น พวกเขาไม่ได้หลบหนีไม่ได้หวาดกลัว ดูแล้วน่าจะมีที่พึ่ง พอละ ถึงตระกูลโจวแล้วค่อยว่ากัน”
เทียนขุยขับรถ ทั้งสามตรงไปยังตระกูลโจว
คฤหาสน์ตระกูลโจว
พื้นที่กว้างขวาง อาคารมีความเป็นศิลปะ คล้ายกับสวนในสมัยโบราณของซูโจว สง่างามยิ่งใหญ่แต่เรียบง่าย ดูร่ำรวยมั่งคั่ง ทางเดินในสวนสลับกัน ทางเดินคดโค้งสู่ความสวยงาม ต้นไม้ขึ้นชื่อสีสันต่างๆถูกปลูกไว้ แสดงออกถึงความมีอำนาจของคฤหาสน์ตระกูลโจว
วัดบรรพบุรุษอยู่ท้ายคฤหาสน์ ที่แห่งนี้แม้แต่คนในตระกูลโจวก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ นอกจากเวลาที่ไหว้บรรพบุรุษ นี่เป็นเขตต้องห้ามของตระกูลโจว ทุกครั้งที่มีคนเข้าไปยังที่แห่งนี้ ก็จะรู้สึกได้ถึงความกดดัน แม้แต่โจวปินคางยังเคยเข้ามาเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
ความลึกลับของที่แห่งนี้ทุกคนในตระกูลโจวรู้ดี เพราะว่านี่คือที่พักของท่านปรมาจารย์
โจวซื่อเจี๋ยผลักประตูห้องเจ้าตระกูลโจวออก พูดว่า “พ่อครับ จอมพลโผ้จวินออกเดินทางจากบ้านตระกูลหยางแล้วครับ ไม่นานก็จะมาถึงบ้านตระกูลโจวของเราแล้ว”
โจวปินคางเล่นเม็ดขี้ผึ้งเส้นหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งเฉย เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็มือสั่น เม็ดขี้ผึ้งในมือตกลงที่พื้น “จอมพลอุตส่าห์มา ทำไมจะไม่ต้อนรับละ? ช่างเถอะ ฉันไปเองดีกว่า”
“พ่อครับ ผมคิดว่าไม่ได้” โจวซื่อเจี๋ยคิดๆแล้วพูดว่า “จอมพลมาด้วยเรื่องอะไร พวกเราต่างก็รู้กันดี ถ้าหากว่าคุณไป นี่ก็ถือเป็นการยอมรับความจริงแล้วไม่ใช่งั้นหรอครับ?”
“ซื่อเจี๋ย บางทีสิ่งที่นายได้ยินได้เห็นก็ไม่ใช่ความจริง ความยุติธรรมอยู่ในใจคน พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
โจวปินคางเดินออกจากห้อง จากนั้นผู้ติดตามก็เดิมตามมาด้วย เขาเป็นผู้มีตาข้างเดียว ตาอีกข้างหนึ่งบอด
“คุณท่านครับ ผมคิดว่าคุณชายพูดถูก คำพูดนินทาภายนอกทำให้ตระกูลโจวได้รับผลกระทบอย่างหนักแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่ร่วมธุรกิจกับตระกูลโจวก็ถูกค้างไว้ แม้จะมีคนใส่ร้ายเรา พวกเราก็อย่าได้เสียกำลังใจ และให้คนอื่นหัวเราะเยาะนะครับ”
“เรื่องนี้คงไม่ง่ายขนาดนี้” โจวปินคางคิดๆแล้วก็ถามว่า “ท่านปรมาจารย์ เขารู้มั้ย?”
ผู้ติดตามนึกคิดแล้วพูดว่า “คำนินทามากมายด้านนอก ไม่รู้ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วครับ”
“งั้นท่านปรมาจารย์ว่ายังไง?”
“ไม่ได้พูดอะไรครับ”
โจวปินคางได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ท่านปรมาจารย์จะออกจากเขาเฉพาะเวลาที่ตระกูลโจวเจอกับอันตรายเท่านั้น แม้ว่าจะอยู่แต่ที่นั่นไม่ไปไหน แต่เขาก็รู้เรื่องในวันนี้ดี หลายอย่างที่เจ้าตระกูลโจวไม่รู้ เขาต่างก็รู้ทั้งนั้น
โจวซื่อจวิ้นเดินเข้ามาหา เขาเป็นลูกชายคนรองของโจวปินคาง โจวปินคางมีลูกชายสามคนลูกสาวสองคน
“พ่อครับ ตระกูลโจวของเราเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คนที่ร่วมธุรกิจกับพวกเราต่างก็ถอนการลงทุนหมดแล้ว แล้วรีบเรียกพวกเรากลับมามีเรื่องใหญ่อะไรรึเปล่าครับ?”
“ซื่อจวิ้น ไม่มีอะไร ถือซะว่าได้พักผ่อน หลานสาวน้อยของฉันกลับมารึยัง”
เด็กสาวน้อยมุดออกมาจากด้านหลังของโจวซื่อจวิ้น พูดยิ้มแย้มว่า “คุณปู่คะ หนูอยู่นี่ค่ะ”
โจวปินคางมองดูหลานสาวที่เหมือนดั่งตุ๊กตา ใบหน้าปรากฏความรักเอ็นดูขึ้น “นันนัน ปีนี้เจ็ดขวบแล้วใช่มั้ย ครั้งก่อนที่เจอเธอยังเป็นเมื่อสามปีก่อนอยู่แล้ว กลับมาก็พักผ่อนดีๆละ”
“ค่ะ คุณปู่”
นอกจากลูกสาวสองคนที่แต่งออกไปแล้ว ลูกชายสามคนของโจวปินคางต่างก็กลับมาจากที่อื่น
มองดูลูกชายสองคนที่กลับมาอย่างเหนื่อยล้า โจวปินคางก็ยิ้มออกมา “พอละ ซื่อเจี๋ย ให้พวกเขาไปพักผ่อนเถอะ เรื่องอื่นๆก็ไม่ต้องให้พวกเขามายุ่งหรอก”
โจวซื่อเจี๋ยพยักหน้า
เทียนขุยเห็นหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลโจวมีคนยืนอยู่มาแต่ไกล “จอมพลโผ้จวินครับ ตระกูลโจวช่างอวดเก่งจริงๆ ถึงได้ยืนรออยู่คนเดียวที่นี่”
ฟางเหยียนเงยหน้ามอง หน้าคฤหาสน์มีคนยืนอยู่หนึ่งคน นั่นก็คือเจ้าตระกูลโจว โจวปินคาง
รถจอดสนิท โจวปินคางโค้งตัวเปิดประตูรถ พูดอย่างเคารพว่า “จอมพลโผ้จวินมาถึงบ้านกระผม ทำให้บ้านกระผมรุ่งเรืองขึ้น ตาแก่อย่างผมทำความเคารพจอมพลครับ”
มาต้อนรับคนเดียว?
ตระกูลโจวเล่นอะไรกัน?
แล้วยังเป็นเจ้าตระกูลโจวออกมาต้อนรับเองด้วย?
“ที่รัก คนๆนี้คือเจ้าตระกูลโจวไม่ใช่หรอ?”
ฟางเหยียนรู้อยู่แล้วว่านี่คือเจ้าตระกูลโจว แต่ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ ท่าทางแบบนี้ของโจวปินคาง ไม่เพียงไม่กลัวสักนิด แล้วยังมีความตื่นเต้นอยู่ด้วย เหมือนกับว่ารอมานานแล้ว
ผิดปกติเกินไปแล้ว!
ผู้นำตระกูล!
เทียนขุยชะงัก “จอมพลครับ ไอ้นี่คงจะไม่ได้มาล่อเหยื่อเข้าถ้ำ จากนั้นก็ฆ่าทำลายทิ้งหรอกมั้งครับ!”