จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 777 ความคิดของเสวียนเย่
คนหนึ่งคนสู้กับคนนับสิบคน ไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย!
สถานการณ์ตึงเครียด เหมือนพร้อมจะลงไม้ลงมือกันได้ตลอดเวลา!
ทุกคนเริ่มทะเลาะกันเองขึ้นมา โดยไม่สนใจฟางเหยียนกับเทียนขุยเลย ตอบโต้กันไปมา ไม่มีใครยอมใคร จากสงครามน้ำลายได้กลายเป็นการผลักดันกันไปมา ผสมโรงกัน เหมือนกับผู้หญิงปากร้ายที่ด่าทอกันตามท้องถนน
อารมณ์โกรธแค้นที่เก็บกดเอาไว้ของสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ ตอนนี้ได้ระเบิดออกมาหมดแล้ว!
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จู่ ๆ ก็หันไปมองนายน้อยที่กำลังปิดตาสนิททั้งสองข้าง
“นายน้อย เรื่องนี้หารือกันไม่ได้แล้วจริง ๆ เหรอครับ? คุณปล่อยให้พวกมันลงมือกับพวกเราอย่างนี้เหรอ? แบบนี้มันทำร้ายจิตใจของพวกกระผมเกินไปหรือเปล่า? พวกเราจงรักภักดีต่อคุณ พวกเขาเป็นลูกน้องที่พึ่งพาได้ของคุณ ฝีมือก็เก่งกาจกว่าพวกเรา คุณคิดจะให้พวกเราท้อแท้สิ้นหวังตามคุณงั้นเหรอ? ห๊ะ!”
เสียงตะคอกด้วยความโกรธนี้ เหมือนตะคอกความเจ็บใจและความไม่ยอมทั้งหมดออกมา
นายน้อยขยับตัว แม้แต่หนังตาก็กระตุกเลยสักนิด แต่ดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้นของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย เขาโมโหขึ้นมาแล้วจริง ๆ! ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ท้าทายความอดทนของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หักหน้าเขา แม้แต่รูปปั้นยังมีอารมณ์โกรธได้ แล้วนับประสาอะไรกับเขาที่เป็นถึงนายน้อย!
“นายน้อยครับ!” ชายวัยกลางคนตะโกนจนเสียงแหบเสียงแห้ง : “หรือว่าคุณคิดจะให้ลูกน้องที่พึ่งพาได้ของคุณเจ็บปวดใจจริง ๆ? ตอนนั้นที่พวกเราเลือกข้าง คุณรับปากพวกเราไว้ว่ายังไง? หรือว่าตอนนี้คุณมีที่พึ่งอื่นแล้ว เลยคิดจะถีบหัวส่งพวกเรา? คุณปฏิบัติต่อพวกเราอย่างนี้น่ะเหรอ?”
“นายน้อย พวกเราสนับสนุนให้คุณได้ขึ้นเป็นนายน้อย หรือว่าคุณลืมเรื่องพวกนั้นไปแล้ว? ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นทำไมพวกเรายังต้องติดตามคุณอีกล่ะ? สู้ไปติดตามพวกมันเสียดีกว่า จะได้ไม่ทุกข์ใจอย่างนี้ ค่าตอบแทนที่พวกมันให้ผมยังมากกว่าที่คุณให้เสียอีก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้คนของตัวเองผิดหวังและทุกข์ใจ!”
ชายที่เป็นผู้นำจู่ ๆ พูดประโยคนี้ออกมา ทำให้ทั้งห้องโถงเงียบสงัดลงทันที แล้วเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมา!
นี่เรียกว่าอะไร นี่มันทรยศหักหลังชัด ๆ!
นี่เป็นข้อห้ามทางการทหาร หากอยู่ในสนามรบแบบนี้ต้องถูกแล่เนื้อเถือหนังจนตาย!
หารือกันมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่ได้พูดและทำลงไปยากที่จะกลับไปแก้ไขได้แล้ว!
ชายที่เป็นผู้นำดูเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่านายน้อยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้ว ดวงตาคู่นั้นเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ถ้าคุณดูอย่างละเอียด จะเห็นความลึกล้ำในนัยน์ตาของเขา ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายคู่นั้น ดูไม่เข้ากับอายุของเขาเลยแม้แต่น้อย
ดูเผด็จการและลึกล้ำ อีกทั้งมีความทรงพลังของผู้ที่เหนือกว่า!
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา อากาศภายในห้องโถงก็ลดฮวบลงหลายองศา!
คนเราก็เป็นเช่นนี้ เมื่อบาดแผลหายก็ลืมไปว่าเคยเจ็บปวดมาแค่ไหน!
หลินซิงต้องจบชีวิตลง ดูเหมือนไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวใด ๆ เลย ในช่วงเวลาสั้น ๆ กลับลืมเรื่องการตายของหลินซิงไปหมดสิ้น! คิดดูแล้วก็สามารถให้อภัยได้ แต่นี่ยังไม่ทันได้เริ่มสู้ ก็ยอมแพ้แล้ว ใครจะรับได้กันล่ะ?
นี่เรียกว่าชนะโดยไม่ต้องสู้รบ!
นี่เป็นการกระทำที่ทำให้สิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่โมโหมากจนไม่อาจห้ามใจได้เลยทีเดียว!
ชายคนที่เป็นผู้นำโกรธจนคลั่งไปแล้ว จึงได้พูดจาไม่ถูกไม่ควรอย่างนี้ออกมา แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง โกรธแค้นสามารถให้อภัยได้ แต่พูดจาแตกหักไร้ซึ่งความสามัคคีอย่างนี้ เขาได้แต่ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด!
ในที่สุดเขาก็เหมือนสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติ โดยเฉพาะทั่วทั้งห้องโถงจงรักภักดีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลก ๆ ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว แต่ขณะที่เขากำลังจะหันไปมองนายน้อย ตัวก็สั่นไปทั้งตัว คำพูดตะกุกตะกักเปล่งออกมาไม่ได้!
“นายน้อย ผม ผมพูดมากไปแล้ว……”
เสียงตบหน้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นาน ทั้งใบหน้าของเขาก็แดงและปูดบวม!
นายน้อยได้ยินแต่ไม่สนใจเขา แล้วเอ่ยพูดอย่างเย็นชาว่า : “ที่นายพูดเมื่อครู่นี้ ต้องการทรยศฉันใช่ไหม?”
คนคนนั้นตัวแข็งทื่อทันที นิ่งเงียบไม่กล้าปริปาก!
ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายความตายวนเวียนอยู่บนหัวเขา!
หลินซิง พี่ใหญ่แห่งสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว และตอนนี้ คือตอนที่เขาจะถูกฆ่า!
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
เพิ่งมีความคิดนี้ขึ้นมา เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตในตัวเขากำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ในดวงตาที่เหม่อลอยมีเงาหนึ่งวาบผ่านเข้ามา นั่นคือมือที่ยาวใหญ่ข้างหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาว ขาวผ่องใส ดุจดั่งมือของหญิงสาว ไม่สิ ขาวผ่องยิ่งกว่ามือของหญิงสาวเสียอีก เหมือนเป็นมือที่ไร้ซึ่งสิ่งใด ๆ เจือปน
แต่มือข้างนี้ กลับเป็นมือที่ปลิดชีพของเขา!
ตึง!
หลังจากที่เขาล้มลงกับพื้น ห้องโถงจงรักภักดีก็เงียบสงัดลงทันที
นายน้อยฆ่าสิบแปดผู้อาวุโสเสวียนกู่ติดต่อกันไปสองคนแล้ว ท่าทีเป็นสิ่งที่ต้องแสดงให้เห็น จึงสามารถกดดันทุกคนไว้ได้ ความหมายของเขานั้นชัดเจนมาก คืออยากบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า นายน้อยอย่างเขาจะทำอะไรไม่จำเป็นต้องให้พวกเขามาคอยชี้นิ้วสั่ง และนี่คือจุดจบ!
“ยังมีใครไม่ยอมรับอีกไหม?”
เสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อทั้งสิบหกคนที่เหลือได้ฟัง กลับเหมือนเสียงฟ้าผ่า ที่ผ่าลงกลางใจของพวกเขาอย่างแรง!
ยังมีใครกล้าอีก?
เห็นต่างก็ถูกฆ่า อีกทั้งไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ ลงมือโหดเหี้ยม เผด็จการต่อทุกสิ่งที่ไม่ยอม!
ปืนจะยิงนกที่ยื่นหัวออกมา คนตายติด ๆ กันไปสองคนแล้ว ใครยังกล้าโต้แย้งอีก?
“ในเมื่อไม่มีใครแล้ว งั้นก็หุบปากกันให้หมด! ฉันไม่อยากได้ยินเสียงที่ไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว เสวียนเย่เสวียนเจิ้น ลากมันออกไปซะ”
จัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อย นายน้อยจึงได้หันไปมองฟางเหยียน ความโหดเหี้ยมที่ปล่อยออกมาสลายหายไปทันที เป็นการเอาอกเอาใจมาแทนที่ “จอมพลครับ ผมพูดต่อนะครับ”
“ไม่ต้องแล้ว ฉันไม่ขาดแคลนลูกน้อยที่มีความสามารถ สำหรับฉัน แกไม่ได้มีคุณค่าเท่าไหร่”
นายน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวดจนระหว่างคิ้วเป็นรอยย่น คำพูดนี้ทำให้เขาตัวสั่นทันที เขาไม่มีคุณค่าที่จะใช้ประโยชน์แล้วงั้นเหรอ? ไม่สิ! จู่ ๆ นายน้อยก็คิดได้ขึ้นมา ใจคน!
จอมพลฉลาดขนาดนี้ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ดูคนได้อย่างแม่นยำ ปกครองคนไม่เข้มงวด คนแบบนี้จะมีคุณค่าอะไร?
เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วแต่ดันมาตกม้าตายในตอนสุดท้าย!
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็ขยับ คิดแผนรับมือออกแล้ว จึงเอ่ยพูดเสียงขรึมว่า : “จอมพลครับ ผมสามารถบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ถึงแม้คุณไม่ต้องการผม ผมก็ไม่อยากให้รากฐานที่บรรพบุรุษส่งต่อมาให้ต้องพังทลายในชั่วพริบตา แค่นี้แหละครับ”
หากไม่ยอมสูญเสียอะไรเลยก็คงทำการไม่สำเร็จ!
ขอแค่สงบสติอารมณ์ของฟางเหยียนได้ เขาก็ยังมีโอกาสพลิกเกม ยับยั้งความเสียหายได้ทันเวลา!
เขาทำได้แค่ทุ่มหมดหน้าตักในการเดิมพันครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันสำเร็จ!
“สำนักงานใหญ่ของเพลิงเสวนอยู่ที่ไหน?”
ประโยคเดียว ได้ทำลายความกระตือรือร้นของนายน้อยไปจนหมดสิ้น!
เขาจะฟังไม่ออกได้ยังไงว่าฟางเหยียนหมายความว่าอะไร เขาไม่คิดจะเจรจาอะไรตั้งแต่แรก ในใจคิดเพียงจะทำลายเพลิงเสวนทั้งองค์กร! ถ้าเป็นแบบนั้น เขาเสวียนเย่ก็จะกลายเป็นคนบาปของเพลิงเสวน!
ตำแหน่งที่อยู่นี้ไม่สามารถบอกเขาได้ ถึงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็ตาม!
“จอมพลครับ ขออภัยที่ผมไม่สามารถบอกคุณได้!”
ฟางเหยียนยิ้มออกมา ในรอยยิ้มนั้นมีความเย็นยะเยือกแฝงอยู่ อุณหภูมิในห้องโถงจงรักภักดีเปลี่ยนเป็นศูนย์องศาทันทีทันใด!
ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่นายน้อยเสวียนเย่เอง ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก!
ดูเหมือนเขาจะนึกได้ว่าทำอะไรผิดไป!
“จอมพลครับ ผมไม่สามารถบอกที่ตั้งของเพลิงเสวนได้ แต่หากคุณอยากรู้เรื่องอื่น ๆ ถ้าไม่เป็นการทรยศหักหลังเพลิงเสวน ผมจะบอกคุณทุกอย่างครับ ได้โปรดจอมพลถอนคำสั่งด้วยเถอะครับ”
ไม่รอให้ฟางเหยียนเอ่ยพูด เทียนขุยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาชี้หน้าเสวียนเย่แล้วตวาดออกไป : “ไอ้หนุ่ม มึงแม่งล้อพวกกูเล่นเหรอวะ? เรื่องเสียเวลากูจะไม่พูดแล้วกัน แต่ยังคิดจะจับเสือมือเปล่า? รอให้พวกกูช่วยให้มึงได้ตำแหน่งงั้นเหรอ? แม่งมึงกล้าคิดออกมาได้!”
เสวียนเย่ฝืนยิ้มออกมา : “พี่ชายครับ เรื่องนี้ดูเหมือนผมไม่จริงใจ แต่สำหรับพวกคุณ เรียกได้ว่าเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาท่ามกลางที่มืด มีผมที่คอยช่วยจัดการอยู่ภายใน มีผมที่คอยรับใช้จอมพล ผมรับรองว่าเพลิงเสวนจะไม่สามารถก่อกรรมทำชั่วได้อีก ทำลายผลประโยชน์อีกฝ่าย สำหรับพวกเราแล้ว ถือว่าวินวินกันทั้งสองฝ่าย โดยที่ผมรับปากว่าจะไม่ทำลายรากฐานของเพลิงเสวน ส่วนพวกคุณก็ได้แก้แค้น ในเมื่อได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายทำไมพวกเราถึงไม่ร่วมมือกันล่ะครับ?”
“อีกอย่างจอมพลไม่ใช่คนชั่วร้ายอะไร และไม่ใช่เพชฌฆาตฆ่าคนด้วย เขาเป็นจอมพลโผ้จวินแห่งประเทศหวาที่รักประชาชนเหมือนดั่งลูกในไส้ เขาไม่มีทางอยากเห็น ประชาชนของตัวเองรวมถึงผู้คนบริสุทธิ์ต้องมาตายท่ามกลางการสู้รบ ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่ผมอยากยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพล ผมไม่อยากฆ่าฟันกันเอง ผมไม่อยากเห็นรากฐานของเพลิงเสวนถูกทำลายในชั่วพริบตา”
“เดี๋ยวก่อน!” ฟางเหยียนพูดขัดเขาขึ้นมา แล้วแสยะยิ้มพลางเอ่ยว่า : “แกคิดว่า……แกมีโอกาสได้อยู่ถึงวันนั้นเหรอ?”