จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 780 ไม่ใช่คนธรรมดา
เสวียนเย่รู้ดีว่า ตัวเองนั้นตื้นเขินเกินไป
ความภาคภูมิใจทั้งหมดที่เขามีเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีเกียรติแห่งประเทศหวาแล้ว ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลยสักนิด
เสวียนเจิ้นสมองเพี้ยนไปแล้ว ถึงได้ไปสร้างศัตรูที่น่ากลัวอย่างนี้ให้กับเพลิงเสวน ไม่รู้จริง ๆ ว่าในหัวของไอ้หมอนั่นมันคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือสมองมันเลอะเลือนไปหมดแล้ว?
เขาเคยคิดจะต่อกรกับจอมพล แต่สุดท้ายก็ถูกพลังที่แข็งแกร่งของเขาทำให้ตกใจจนช็อก โดยเฉพาะดวงตาที่ลึกล้ำและผ่านโลกมาอย่างโชกโชนคู่นั้นของเขา ต้องผ่านประสบการณ์มากมายเท่าไหร่ถึงจะมีดวงตาแบบนั้นออกมา อีกทั้งท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามทุกสิ่งอย่างของเขา สายตาที่เหมือนมองดูทุกสิ่งจากที่สูง ดูหมิ่นเหยียดหยามกับทุกสิ่ง ทำให้เขาไม่มีคู่แข่ง
สำหรับจอมพลโผ้จวิน ในหัวของเขามีเพียงประโยคเดียวที่แวบขึ้นมา ฉันไม่เป็นศัตรูด้วยหรอก ส่วนพวกแกก็แล้วแต่ละกัน!
ยังสู้ทำบ้าอะไรอีกล่ะ!
ชิงตี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยพูด : “จอมพลคะ การที่รั้งคุณไว้ เพื่อปิดปากคนบางคน”
เสวียนเย่ดึงสติกลับมาได้ ที่ชิงตี้พูดเพื่อต้องการหาข้ออ้างให้กับสองร้อยกว่าคนนั่น ยังไงซะเสวียนเจิ้นก็ไม่ได้กินหญ้า คนระดับสูงของเพลิงเสวนตายไปสองคน หากพวกมันไม่ทำอะไรเลย คงจะเป็นไปไม่ได้
ฟางเหยียนขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
ชิงตี้ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยพูด : “ไม่ใช่เพราะหลินซิงกับหลิวอู่โต้เถียงคุณเหรอคะ? พวกเขาดำรงตำแหน่งสำคัญ สถานะภายในเพลิงเสวนไม่ต่ำต้อย พวกเขาตายไป ทหารใต้อาณัติของพวกเขาต้องถูกยึดไปทันที และพวกเราก็จำเป็นต้องมีข้อแก้ตัวที่โดดเด่น คงต้องลำบากคุณให้เป็นตัวล่อพวกเพลิงเสวนหน่อยค่ะ”
เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ชิงตี้พูด คือต้องการให้เสวียนเจิ้นรู้ว่า ใครเป็นคนฆ่าคนเหล่านี้!
เขาก็คือแพะรับบาปที่ดีที่สุดตัวนั้น!
ฟางเหยียนครุ่นคิดแล้วมองไปที่ชิงตี้ จากนั้นเอ่ยพูด : “เธอหมายความว่า จะให้คนของเสวียนเจิ้นกระโดดออกมา?”
“ถูกต้องค่ะ จอมพล” ชิงตี้ยิ้ม : “ต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไปถึงจะทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน เหมือนอย่างที่จอมพลชี้ทางสว่างให้กับสำนักฉิวหลงนั่นแหละค่ะ เพียงแต่เมื่อถึงเวลานั้นคุณอาจจะยุ่งยากมาก ไม่ทราบว่าจอมพลคิดยังไงคะ?”
เทียนขุยกำลังจะเอ่ยพูด แน่นอนว่าเขาไม่พอใจ จะให้ฟางเหยียนเป็นเหยื่อล่อปลา เขาไม่ยอมอยู่แล้ว แต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ชิงตี้ก็พูดต่อไปว่า
“คุณอย่าเพิ่งพูดอะไร” แล้วหันสายตาไปมองฟางเหยียน : “จอมพลคะ แบบนี้ถึงแม้สร้างความลำบากให้กับคุณไม่น้อย แต่สามารถทำลายกองกำลังของเสวียนเจิ้นไปได้ เป็นการทำลายตำแหน่งที่ยากจะโค่นล้มของเขาไปทีละน้อย”
เทียนขุยได้จังหวะ “ฉันพอมองออกแล้ว พวกแกนี่มันตัวอยู่อีกที่หนึ่ง แต่ใจกลับไปอยู่อีกที่หนึ่ง เพียงแค่ขยับปาก ก็คิดจะให้พวกเราเป็นตัวล่อกองกำลัง? คิดจะจับเสือมือเปล่าสินะ เห็นพวกเราโง่หรือไง?”
“บอกแล้วว่าคุณอย่าเพิ่งพูดอะไร” ชิงตี้สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “คุณอยากฆ่าคนไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นกลัวว่าคุณจะมือไม้อ่อน!”
คิ้วหนาของเทียนขุยขมวดเป็นปม กำลังจะอ้าปากโต้เถียง
“คุณอย่าพูดอะไร” ชิงตี้ขัดเทียนขุยตรง ๆ “จอมพลคะ ดูเหมือนพวกเราไม่มีความยุติธรรม แต่สำหรับคุณแล้ว เรื่องนี้เหมือนง่ายเหมือนกับปอกกล้วยเข้าปาก เป็นเรื่องเล็กที่ง่ายนิดเดียว แต่ถ้าหากพวกเราถูกลอบทำร้ายเพราะเหตุนี้ พวกเราเกรงว่าจะไม่สามารถต่อต้านภัยร้ายจากเสวียนเจิ้นได้ จอมพลได้โปรดให้อภัยด้วย”
“เธอกำลังข่มขู่ฉันงั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ จอมพล ตอนนี้พวกเราเสียก็เสียด้วยกันรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ไปด้วยกัน นี่เพื่อการพัฒนาระยะยาวของพวกเรา แน่นอนว่า ชิงตี้รวมถึงนายน้อยก็จะช่วยสู้ด้วย ไม่ให้จอมพลตบมือข้างเดียวแน่นอน เวลาสำคัญอย่างนี้ พวกเราต้องสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเสวียนเจิ้น”
เสวียนเย่พูดสมทบว่า : “จอมพลครับ ที่ชิงตี้พูดมาเป็นความจริง นี่เป็นเหตุผลที่ผมทำเช่นนี้ ฉะนั้นขอให้จอมพลเข้าใจด้วยเถอะครับ พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่มีใจคิดเป็นอื่นแน่นอน”
“จอมพลโผ้จวินครับ ผมพูดไม่ผิดเลยใช่ไหม ยัยนางมารคนนี้คิดชั่วกับพวกเรา ฆ่าคนของเพลิงเสวนต้องให้พวกมันแอบทอดสะพานให้ด้วยเหรอ? ฆ่าไปทีละคนเลยก็จบ ผมเทียนขุยไม่ชอบมากที่สุดก็คือคนที่แอบใช้แผนชั่วลับหลัง ขอแค่ไอ้เสวียนอะไรนั่นมันกล้าโผล่มา ผมจะฆ่าให้หมด!”
ชิงตี้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เทียนขุยยังเห็นเธอเป็นศัตรูอยู่เต็มอก ขณะที่เธอกำลังจะอธิบายต่อไป ฟางเหยียนก็ได้เอ่ยพูด เมื่อเอ่ยพูดขึ้นมา ก็คลายความสงสัยทั้งหมดของเธอไปในทันที เทียนขุยไม่ตอแยอะไรอีกต่อไปแล้ว
“หากสงสัยไม่ต้องใช้คน ใช้คนไม่ต้องสงสัย ก็เอาตามนี้แหละ”
“ชิงตี้ รีบไปเตรียมที่พักให้กับจอมพล อย่าชักช้าล่ะ” เสวียนเย่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วชี้ไปยังสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาพลางพูดต่อไปว่า : “พวกแกสองคนไปจัดการด้านนอกให้เรียบร้อย”
“พวกนายทั้งสิบหกคน เรื่องวันนี้ห้ามปริปากพูดอะไรไปเด็ดขาด แต่สามารถจงใจปล่อยข่าวสักนิดหน่อยได้ นั่นคือเรื่องที่หลินซิงกับหลิวอู่ถูกบุคคลลึกลับฆ่าตาย คนคนนั้นยังฝากบอกว่า หากเพลิงเสวนไม่ดับสิ้น เขาจะฆ่าให้สะใจ……” ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าคำพูดนี้รุนแรงเกินไป เสวียนเย่เลยหยุดพูดแล้วหันไปมองฟางเหยียน : “จอมพลครับ แบบนี้ได้ไหมครับ?”
“หากเพลิงเสวนไม่ดับสิ้น ฉันไม่สบายใจ!”
เสวียนเย่ : “……”
ถ้าเป็นคนอื่นพูดล่ะก็ เสวียนเย่คงตบจนตายไปแล้ว!
“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พวกนายกลับไปเถอะ จำไว้ด้วย ข่าวนี้ต้องสร้างความตื่นตระหนกให้กับลูกน้องทั้งหมดของเสวียนเจิ้น ให้พวกมันตั้งใจมาตรวจสอบ เข้าใจไหม?”
ทั้งสิบหกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเทียบกับการถ่อมตัวของนายน้อย พวกเขาอยากหนีออกไปจากห้องโถงจงรักภักดีตั้งนานแล้ว นายน้อยที่ผิดปกติไม่ได้สร้างความกดดันอะไรให้พวกเขา แต่ผู้ชายคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งผู้นำต่างหาก ที่สร้างความหวาดกลัว
โดยเฉพาะประโยคนั้นที่ว่า เพลิงเสวนไม่ดับสิ้น ฉันไม่สบายใจ
น้ำเสียงที่ฮึกเหิมระดับนี้ เกรงว่าจะมีเพียงเขาที่สามารถทำได้
จากนั้นในห้องโถงจงรักภักดีก็เหลือเพียงไม่กี่คน เสวียนเย่ยังคงมีท่าทีเอาอกเอาใจด้วยความระมัดระวัง “จอมพลครับ ต่อไปรบกวนคุณด้วยนะครับ”
ฟางเหยียนวางกระดาษเหลืองลง แล้วเอ่ยถาม : “แกกับเสวียนเจิ้นเป็นอะไรกัน?”
รูม่านตาของเสวียนเย่หดลง แล้วฝืนยิ้มออกมา : “สมกับที่เป็นจอมพล ไม่สามารถปิดบังจอมพลได้เลย ฉลาดหลักแหลม ความคิดรอบคอบ สามารถหาจุดเชื่อมโยงได้จากรายละเอียดเล็กน้อยที่อยู่ในกระดาษเหลือง ถูกต้องครับ เสวียนเจิ้นเป็นน้องชายแท้ ๆ ของผมเอง”
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้เลย สามารถจำกัดและควบคุมความน่ากลัวของเสวียนเจิ้นไว้ได้คือสายใยแห่งครอบครัว!
แน่นอนว่า จะทิ้งกระดาษเหลืองฉบับนี้ที่เสวียนเย่หยิบออกมาไปไม่ได้ เขาทำอย่างนี้ สามารถขัดขวางแผนการของเสวียนเจิ้นไว้ได้จริง ๆ แต่เพียงแค่ส่วนนี้เท่านั้น ความน่ากลัวที่แท้จริงคือความเป็นพี่น้องกัน
“งั้นตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้ว สิ่งที่บันทึกอยู่ในกระดาษเหลือง สามารถควบคุมเขา แต่ไม่สามารถจำกัดเสวียนเจิ้นเอาไว้ได้ การกระทำของเขาเหนือการควบคุมของแกแล้ว และที่มันไม่ฆ่าแก น่าจะยังมีเงื่อนงำอย่างอื่นอีก”
“ที่จอมพลพูดไม่ผิดครับ ถ้าหากไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ผมคงถูกเสวียนเจิ้นฆ่าตายไปนานแล้ว สิ่งที่ผมทำทั้งหมดเขาเหมือนลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่กระทบเรื่องผลประโยชน์ของเขา เขาก็จะไม่ทำอย่างนี้ ฉะนั้นจอมพลครับ ได้โปรดให้อภัยที่ผมไม่สามารถบอกอะไรไปมากกว่านี้ได้ ผมลำบากใจมากจริง ๆ ผมไม่อยากเห็นพี่น้องต้องมาฆ่ากันเอง ขอแค่ถึงเวลาที่ต้องกำจัดเสวียนเจิ้นทิ้งจริง ๆ ผมหวังว่าจอมพลจะให้สามารถให้โอกาสผม ให้ผมได้จบชีวิตเขาด้วยตัวเอง ได้ไหมครับ?”
พี่น้องสู้กันเอง รบราฆ่าฟันกันเอง คิดแล้วก็น่าสลดใจ!
นี่เป็นการปกป้องน้องชายครั้งสุดท้ายที่พี่ชายคนหนึ่งจะทำได้!
“อาชญากรชั่วร้าย สมควรได้รับโทษ นายควรหลีกทาง!”
เสวียนเย่พยักหน้าอย่างลำบากใจ วินาทีนั้น เขารู้สึกเหนื่อยล้ากายใจเป็นอย่างมาก เจ็บปวดถึงขั้วหัวใจ
“จอมพลครับ ไม่ทราบว่าคุณยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกไหม ผมจะบอกตามความจริงทุกอย่าง”
“ไอ้หนุ่ม แกนี่เป็นพี่ชายที่น่าเศร้าจริง ๆ น้องชายตัวเองก็สอนไม่ได้ ตอนนี้ฉันเหมือนจะเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมลูกน้องของแกถึงได้มีท่าทีไม่สนใจไยดีแกเลย แกไม่รู้สึกว่าชีวิตนี้มันเหนื่อยบ้างเหรอ? ตอนนี้ยังถูกน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองกดขี่เอง น่าเศร้าใจจริง ๆ ถ้าฉันเป็นแก คงผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกไปแล้ว!”
เสวียนเย่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน คำพูดที่ทิ่มแทงใจนี้ ช่างปวดใจเหลือเกิน คิดดูแล้วก็จริง เลี้ยงดูแต่ไม่สั่งสอนเป็นความผิดของพ่อแม่ ในฐานะที่เขาเป็นพี่ชาย พี่ชายคนโตก็เหมือนเป็นพ่อ ไม่เข้มงวดกวดขัน ก็ถือว่าเป็นความผิดของเขา ไม่เพียงแต่ลากเสวียนเจิ้นไปในทางที่ถูกที่ควร แต่ยังปล่อยให้เขาเดินในทางที่ผิดไปไกลเรื่อย ๆ จนทำผิดร้ายแรงใหญ่หลวงเช่นนี้
น้ำที่หกไปแล้วยากจะเก็บคืน สิ่งที่ทำลงไปแล้วยากจะแก้ไขได้ เสวียนเจิ้นเดินไปไกลมากแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะหันหลังกลับ เขาอยากดึงกลับมาก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังมัน แกรู้จักไหม?”
“ไม่ปิดบังจอมพลครับ ผมไม่ค่อยแน่ใจจริง ๆ คนที่สามารถชักจูงให้เสวียนเจิ้นทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้ อย่างน้อยคงไม่ใช่บุคคลนิรนาม”
ฟางเหยียนพยักหน้า คนแบบนี้ถึงจะเป็นคนที่ใหญ่โตจริง ๆ
ขณะที่เขาคิดจะอ่านกระดาษเหลือต่อไปนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นกะทันหัน เมื่อมองดูเบอร์โทรศัพท์ เขาก็ขมวดคิ้วจนระหว่างคิ้วเป็นรอยย่น
ทำไมถึงเป็นเธอ!