จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 841 ประตูความเป็นกับความตาย!
ฟางเหยียนที่จัดการได้ทุกอย่างกลับพบเรื่องยุ่งยากขึ้นมา!
เป็นไปได้ยังไง?
จากที่เขารู้มา ฟางเหยียนเป็นคนที่สามารถจัดการได้กับทุกเรื่อง ถ้าหากมีเรื่องที่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถจัดการได้ โลกนี้ก็คงไม่มีใครทำได้แล้วล่ะ! ผ่านอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านการสู้รบอย่างดุเดือดมามากมาย พบเจออันตรายติดต่อกันตลอด ชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายมาหลายต่อหลายครั้ง ล้วนเป็นฟางเหยียนไม่ใช่เหรอ? ที่พลิกวิกฤตร้ายให้กลายเป็นดี ทำให้รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งหมด
อย่าว่าแต่เทียนขุยเลย แม้แต่สำนักเจ็ดพิฆาตรวมไปถึงพี่น้องในสนามรบมากมายล้วนแต่ยอมรับในข้อดีนี้ของฟางเหยียน ในสายตาของทุกคน นี่ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างที่น่านับถือเท่านั้น แต่ยังเป็นความปิติยินดีที่เหมือนได้เกิดใหม่ หากทิ้งสถานะที่ฟางเหยียนเป็นเทพสงครามแห่งประเทศหวาออกไป เขาก็ยังคู่ควรแก่การเคารพนับถือ ยังไงซะเขาก็เป็นผู้ชายที่มากความสามารถคนหนึ่ง เป็นเทพที่สามารถจัดการแก้ไขได้ทุกเรื่อง!
เคารพนับถือดั่งเคารพนับถือเทพเจ้า ไม่มีใครกล้าที่จะเพิกเฉย!
หากเอาเรื่องของเทียนขุยมาพูด ถ้าไม่มีฟางเหยียน เขาอาจจะตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แม้แต่ถูกนำตัวเข้ามาเป็นนินจาก็เป็นเพราะความดีความชอบของฟางเหยียน ตั้งแต่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาเทียนขุยได้ยกย่องฟางเหยียนเป็นเหมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิดใหม่อีกครั้ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น!
คิดดูสิจะไม่ให้เทียนขุยจิตใจว้าวุ่นได้ยังไงกัน?
เทพเจ้ายังมีเรื่องให้ยุ่งยากลำบากด้วยงั้นเหรอ?
จะเป็นไปได้ยังไง?
ไม่พูดถึงที่เขาตกใจช็อกจนไม่มีอะไรเทียบได้ก่อน ตอนนี้เขาสับสนงุนงงไปหมดแล้ว
เขาไม่เคยเชื่อว่าฟางเหยียนจะพบเจอกับเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะตอนนี้ เขาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายเลยแม้แต่น้อย ตอนที่เขาตะโกนออกไปว่ามีอันตรายเมื่อครู่นี้ เป็นเพราะตัวเองรับรู้ได้ถึงอันตราย แต่เมื่อถอยหลังไปสองก้าวตามเขา อันตรายนั่นก็ได้สลายหายไป แต่สำหรับเขาแล้ว การอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกเช่นนี้ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี แต่เขาเลือกที่จะเชื่อฟางเหยียน สิ่งเดียวที่อธิบายได้คือ ตอนนี้เขาพบเจอกับเรื่องยุ่งยากจริง ๆ แล้ว!
เทียนขุยเอ่ยพูดอย่างร้อนใจเป็นอย่างมาก : “จอม จอมพลโผ้จวิน ผมสามารถทำอะไรเพื่อคุณได้ไหม?”
ฟางเหยียนส่ายหน้า กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่กลับพบว่าจิตสังหารจากอันตรายนี้ยิ่งมีพลังรุนแรงมากขึ้น แม้แต่อากาศจากรอบทิศยังถูกบับอัด ดูท่าทางการยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย อีกทั้งยังเปลี่ยนไปตามเวลาด้วย มีการเคลื่อนไหวตามเวลา ทำให้เกิดแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นฆ่าให้ตาย!
เป็นค่ายกลที่แปลกประหลาดมากเหลือเกิน แทบจะไม่มีทางแก้ไขได้ หากพูดตรง ๆ ก็คือ เข้ามาในนี้ มีเพียงความตายเท่านั้น!
ฟางเหยียนยิ้มอย่างฝืนใจ สำนักกุ่ยกู๋เป็นอย่างที่ร่ำลือกันจริง ๆ วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีคืนได้เลย!
จิตสังหารจากอันตรายนั่นโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ฟางเหยียนใช้วิชาเพลิงสวรรค์ต่อต้านเอาไว้ แต่ผลที่ได้คือไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนี้ได้เลย หลังจากมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา ฟางเหยียนที่ตั้งท่าต่อสู้อย่างแข็งแกร่งก็ต้านทานเอาไว้ไม่อยู่จนถูกกดดันลงไป จนล้มลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น!
ทันใดนั้น ระหว่างฟ้ากับดินก็มีฟ้าร้องฟ้าผ่าเกิดขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
เสียงดังสะเทือนไปทั่ว ราวกับมีพายุหมุนยังไงยังงั้น พัดโหมกระหน่ำใส่ฟางเหยียน!
วินาทีนั้น ฟางเหยียนก็ถูกสายฟ้าล้อมรอบตัวไว้ จนกลายเป็นคนที่มีประกายสายฟ้า!
เทียนเดือดเนื้อร้อนใจมาก อีกทั้งไม่เข้าใจอะไรเลย ตอนนี้รู้ชัดแล้วว่า สถานการณ์ย่ำแย่มาก นี่มันแค่เรื่องยุ่งยากที่ไหนกัน หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวเล่นถึงตายได้เลย!
เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่สามารถทนดูภาพนี้ต่อไปได้ ไม่ทันที่เขาจะพุ่งเข้าไป ฟางเหยียนได้ตะคอกเสียงแข็งว่า : “ไม่ต้องเข้ามา!”
เทียนขุยร้องไห้น้ำตาไหลลงมาอย่างเงียบ ๆ สายฟ้าที่ล้อมรอบตัวอยู่นั้น ทำให้บาดแผลดูสาหัสมากขึ้น โดยเฉพาะเนื้อหนังที่ถูกเผาไหม้เกรียมทั่วทั้งตัว มีกลิ่นเหม็นลอยฟุ้งออกมา แต่ฟางเหยียนฝืนทนไม่ร้องออกมา แม้ว่าใบหน้าจะบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังคงหายใจอย่างหอบ ๆ เพื่อฝืนต้านทานพลังอานุภาพนี้เอาไว้!
อาศัยแค่พละกำลังของตัวเองคนเดียวต้านทานโทษนภานี้ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คงมีเขาเป็นคนแรก!
แต่สิ่งที่ต้องแลกนั้นมันมากเกินไปแล้ว!
ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างเทียนขุยร้องไห้เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด เขาอยากพุ่งเข้าไปไม่รู้กี่ครั้ง แต่สุดท้ายทำได้แค่จ้องมองตาไม่กะพริบเท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่มีวิธีใดที่จะทำได้ ถ้าหากทำได้ เขาอยากแบกรับความทรมานเหล่านี้แทนฟางเหยียนมากเหลือเกิน!
สายฟ้าฟาดลงมาเป็นระลอก ๆ ผ่าใส่ฟางเหยียน และใบหน้าเขาดูดุดันจนมองลักษณะท่าทางไม่ชัดแล้ว ลำตัวบิดพลิ้วไปมา เจ็บปวดทรมานจนไม่สามารถบรรยายได้ แต่ไม่ว่าสายฟ้าจะฟาดลงมายังไง เขาก็ไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่นิดเดียว ได้แต่อดทนอดกลั้นอย่างเงียบ ๆ!
ตึก!
เทียนขุยคุกเข่าลงบนพื้น โศกเศร้าเสียใจมาก เขาร้องไห้ไปพลางทุบพื้นไปพลาง ทำให้รู้สึกทนดูไม่ได้
แม้แต่คนเฝ้าประตูที่หมดความอดทนยังจ้องมองดูสายฟ้าฟาดคนที่บุกฝ่าค่ายกลด้วยท่าทางตกตะลึงอ้าปากค้าง แววตามีความประหลาดใจและตกตะลึงอย่างไม่สามารถบรรยายได้ : “ไอ้หนุ่มนั่นแข็งแกร่งเกินไปแล้วมั้ง ตัวเองยืนอยู่ตำแหน่งชั่วร้ายเหริน จื่อ ขุย แต่สามารถใช้พละกำลังของตัวเองแค่คนเดียว ต้านทานโทษนภานี้ไว้ได้! น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน ทำฉันนอนไม่หลับแล้วเนี่ย” คนเฝ้าประตูอีกคนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา “พูดมาสิ ว่าแกกำลังบ่นพึมพำอะไร อะไรน่ากลัวเกินไปแล้ว? ไม่ใช่ไม่เคยเห็นสักหน่อย ทำเหมือนกับไม่เคยเห็นโลกกว้างงั้นแหละ จริงสิ ยังไม่ได้เก็บศพเหรอ? รีบไปเก็บศพมันได้แล้ว ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกนะ”
“เชี้ย!” หลังจากที่เขาลืมตาอย่างเต็มตาแล้ว ก็ตกตะลึงจนไม่มีความงัวเงียหลงเหลืออยู่เลย “แม่เจ้าโว้ย นี่มันมนุษย์สายฟ้าหรือไง? ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก?”
“ไอ้หนุ่มนี่ดูเหลือเชื่อจริง ๆ เลยนะ แต่ดูสภาพน่ากลัวของมันแล้วคงทนได้อีกไม่นานหรอก แต่ความมุ่งมั่นอดทนของมัน น่ายกย่องจริง ๆ”
“มีความมุ่งมั่นอดทนแล้วยังไงล่ะ? ก็แค่คนหนุ่มบุ่มบ่ามวู่วามคนหนึ่ง แม้แต่เรื่องค่ายกลก็ยังไม่เข้าใจแล้วยังกล้าบุกฝ่าเข้ามาอีก นี่ไม่เรียกว่าหาเรื่องตายหรอกเหรอ? แกก็อย่าไปมัววิตกกังวลอยู่กับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้เลย นี่คือโชคชะตา อย่าคิดว่าจะเข้ามาในสำนักกุ่ยกู๋ได้ง่าย ๆ!”
“แต่แกไม่เห็นเหรอว่าการฆ่าครั้งนี้มันผิดปกติมาก? สายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุด นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน ๆ เยอะมาก คงไม่ใช่ว่าแม้แต่สวรรค์ก็ทนดูไอ้หนุ่มนี่ต่อไปไม่ไหวแล้วหรอกนะ?”
คนเฝ้าประตูคนนั้นพลิกตัวขึ้นมา แล้วหรี่ตาลง จากนั้นเอ่ยพูดว่า : “ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องมาสนใจ ฉันจะนอนต่อแล้วนะ จริงสิ เรื่องเก็บศพฝากแกด้วยแล้วกัน ยังมีไอ้คนที่คุกเข่าร้องไห้โหยหวนอยู่บนพื้น จัดการเก็บให้เรียบร้อยด้วยล่ะ อย่ารบกวนเวลาหลับฝัน!”
คนเฝ้าประตูคนนั้นยิ้มเยาะแล้วพยักหน้า ในใจไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ชีวิตก็ดีเลิศเกินคำบรรยายอย่างนี้แหละ ในเมื่อเลือกที่จะเข้ามาในสำนักกุ่ยกู๋ ก็ควรต้องยอมรับกับสิ่งที่ต้องแลก ยังไงซะสำนักกุ่ยกู๋ก็ไม่ได้เหมือนกับสำนักอื่น ๆ ที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาก็ได้!
ได้แต่ไว้อาลัยอยู่ในใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า ความเป็นความตายของฟางเหยียนสำหรับเขาแล้ว ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง คนที่บุกฝ่าค่ายกลเข้ามามีมากมายถมเถ มีเพิ่มมากขึ้นแล้วจะเป็นไรไปล่ะ แต่โทษนภาที่รุนแรงอย่างนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก รู้สึกช็อกเล็กน้อยแต่ก็เก็บอาการเอาไว้
ทางด้านฟางเหยียน อันตรายนั้นเหมือนกับกล่องสุญญากาศ ที่อากาศด้านในถูกดูดออกทีละนิด ๆ ส่วนร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาไม่สามารถแบกรับความกดอากาศแบบนี้ได้ บวกกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่หยุด วิชาเพลิงสวรรค์ไม่สามารถใช้ต่อไปได้แล้ว หมดหนทางแล้ว ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอที่จะทำอะไรได้
“หรือ หรือว่าต้องตายอยู่ที่นี่?” ฟางเหยียนพึมพำในใจ รอยยิ้มดูแข็งทื่อ สายฟ้าดูเหมือนจะไม่เห็นใจกันเลย ไม่มีแม้แต่เหตุผล แรงกดดันยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จิตสังหารยังคงรุนแรง เหมือนต้องการบดเขาให้แหลกละเอียด
นี่เป็นค่ายกลที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ฆ่าคนได้อย่างล่องหน!
กุ่ยกู๋จื่อที่สร้างค่ายกลนี้ บวกกับผลลัพธ์ที่ได้จากพลังภายในของตัวเอง ทำให้การฝึกตนของเขาอยู่ในระดับที่ไม่สามารถคาดเดาได้แล้ว เดาได้ไม่ยากเลยว่า การฝึกตนของกุ่ยกู๋จื่อเกินระดับยอดดาวเหนือไปแล้ว และยังคงค่อย ๆ ยกระดับสูงขึ้น!
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกจิตสังหารนี้ บีบจนต้องตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาอย่างนี้หรอก!
“ไม่! ชิงหยู่ยังรอฉันอยู่! ฉันจะตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด! ไม่มีทาง! ! !”
ฟางเหยียนพยายามใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดต้านทานแรงกดดันนี้ไว้ แต่สำหรับเขาแล้ว เหมือนดั่งน้ำน้อยแพ้ไฟ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!
ต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้!
ความคิดที่ติดค้างอยู่ในใจหากเกิดการรวมตัวกันขึ้นมา จะทำให้คนเราเกิดความปรารถนาที่จะอยู่รอดอย่างไร้ขีดจำกัด!
เมื่อฝืนให้ตัวเองสงบนิ่งลง แล้วจ้องไปยังรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า จู่ ๆ ในหัวของเขาก็เกิดความคิดที่ไม่ค่อยสมจริงขึ้นมา!
มีประตูความตาย ก็ต้องมีประตูความเป็น!
ดูจากค่ายกลแล้ว เดินไปตรงไหนก็เป็นตำแหน่งประตูความตาย หากบนพื้นไม่มีทาง แล้วด้านบนหัวล่ะ!
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา บวกกับแรงปรารถนาที่จะอยู่รอด ฟางเหยียนที่ตาแดงก่ำได้กระโดดขึ้นไปด้านบนทันที!
คนเฝ้าประตูที่เห็นเข้าพอดีก็เผลอสบถคำหยาบออกมา
“เชี้ย!”