จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 844 พวกแก ก็แค่มด
ฟางเหยียนพบว่า คนที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นชายชราที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างห้าคนนั่น น้ำเสียงสงบนิ่ง ฟังดูไม่มีอารมณ์โกรธแต่กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ยิ่งไม่ต้องพูดอารมณ์ยั่วยุ แค่ขึ้นมาถึงก็บรรยากาศก็ดุเดือดขนาดนี้ ดูท่าทางสำนักกุ่ยกู๋ได้เลือกสิ่งที่พวกเขาต้องการแล้ว!
เทียนขุยโกรธจัด มองไปยังชายชราอย่างไม่เห็นด้วย : “ค่ายกลพิฆาต? โหดเหี้ยมอำมหิต คิดว่ามีแค่ค่ายกลกระจอกนี่แล้วไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรงั้นเหรอ? ตาเฒ่าอายุมากจนมั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า?”
ฟางเหยียนไม่ได้พูดอะไร ได้แต่จ้องมองไปยังคนชราทั้งห้าคนตรง ๆ ขณะที่เขากำลังสำรวจทั้งห้าคนอยู่นั้น คนชราทั้งห้าคนก็กำลังจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน
“ภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ จะโหดเหี้ยมอำมหิตได้ยังไง? คนรุ่นหลังอย่างแกโอหังดีนี่ ถือว่าเก่งใช้ได้ เหริน จื่อ ขุยเป็นตำแหน่งชั่วร้ายในค่ายกลพิฆาตที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แกเป็นคนที่สองที่บุกฝ่าเข้ามาได้ ถึงแม้เป็นการลอบฉวยโอกาสไปหน่อย แต่ก็ถือว่าฝ่าเข้ามาได้แล้ว ถือว่าเก่งจริง ๆ!
คนที่สอง?
ข้อมูลนี้ทำให้ฟางเหยียนกับเทียนขุยช็อกไปเลย นอกจากช็อกแล้วยังประหลาดใจมากด้วย!
“คนแรกคือใคร?” เทียนขุยเอ่ยถาม
ชายชราคนที่สองจากด้านซ้ายเอ่ยอย่างเย็นชา : “คนคนนั้นคือคนแรกที่ท้าประลองสำนักกุ่ยกู๋ของฉัน ไม่เพียงแต่บุกฝ่าค่ายกลพิฆาคเท่านั้น แต่ยังได้จัดการกับสำนักกุ่ยกู๋แล้วล่าถอยไป เป็นศัตรูกับสำนักกุ่ยกู๋ของพวกเรา!”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง สำนักกุ่ยกู๋ของพวกแกรังแกคนที่อ่อนแกกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า มีความสามารถเท่านี้เองเหรอ!” เทียนขุยแสยะยิ้มแล้วเอ่ยพูด : “ก็จริง ถูกคนรังแกแต่ไม่กล้าพูด ได้แต่กอบกู้ศักดิ์ศรีหน้าตาจากที่อื่น เพียงแต่ครั้งนี้เกรงว่าต้องทำให้พวกแกผิดหวังแล้วล่ะ เพราะพวกเราไม่ใช่ลูกพลับอ่อน ที่นึกจะบีบก็บีบได้!”
ชายชราคนแรกที่อยู่ด้านซ้ายเอ่ยอย่างราบเรียบ : “ลูกพลับอ่อนเหรอ? จากที่พวกเราดู พวกแกยังสู้ลูกพลับอ่อนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แค่โชคดีหนีจากค่ายกลพิฆาตได้เท่านั้นเอง คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ? อีกอย่างนะ ถ้าฉันอยากฆ่าแกให้ตายก็ง่ายเหมือนบี้มดนั่นแหละ แกคิดว่าแกจะมีชีวิตเดินออกไปจากสำนักกุ่ยกู๋ได้จริง ๆ งั้นเหรอ?”
“จริงสิ ลืมบอกแกไปเลย แกคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากงั้นเหรอ? หากเทียบกับคนคนนั้นแล้ว ยังห่างชั้นกันอีกมาก อย่าคิดว่ารังแกคนเฝ้าประตูสองคนได้แล้วจะจองหองอวดดี ไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกแกไปเอาความรู้สึกที่เหนือชั้นมาจากไหน”
“ผู้อาวุโสใหญ่พูดถูก บุกรุกสำนักกุ่ยกู๋ มีแต่ต้องตายเท่านั้น ตอนนี้ยังทำร้ายคนของสำนักกุ่ยกู๋อีกด้วย พวกแกไปตายได้แล้ว!”
“เจ้าสำนักครับ สืบดูชัดเจนแล้ว สองคนนี้บุกรุกสำนักกุ่ยกู๋ของพวกเรา วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ทั้งยังทำร้ายศิษย์ของสำนักกุ่ยกู๋ ชั่วช้าสามานย์อย่างสุดขีดต้องได้รับโทษมหันต์ ขอให้เจ้าสำนักออกคำสั่งประหารชีวิตคนชั่วนี้ด้วยเถอะ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีสำนักกุ่ยกู๋ของเรา!”
ทั้งสี่คนต่างได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา ความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ย นั่นคือจำเป็นต้องจัดการทั้งสองคน มีเพียงชายชราคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง สีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองฟางเหยียนอยู่อย่างนั้น ราวกับไม่ได้ยินที่คนอื่นพูดสักประโยค
เทียนขุยแสยะยิ้มแล้วเอ่ยพูด : “ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง สำนักกุ่ยกู๋ช่างน่าเกรงขามเสียเหลือเกิน บิดเบือนข้อเท็จจริงเปลี่ยนดำให้เป็นขาว ปั้นน้ำเป็นตัว!”
“ไอ้หนุ่ม บุกรุกสำนักกุ่ยกู๋ของเรา แล้วยังกล่าวหาพวกเราอีก วิธีใส่ร้ายป้ายสีอย่างนี้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่เลยนะ! ในเมื่อแกรนหาที่ตาย งั้นฉันก็จะทำให้แกสมใจ!”
พูดจบชายชราคนแรกที่อยู่ด้านซ้ายก็ชี้นิ้วขึ้นมา แขนเสื้อที่กว้างของเขามีวัตถุสีดำลอยออกมาจำนวนหนึ่ง หลังจากที่วัตถุสีดำลอยออกมาแล้ว ก็กลายเป็นอีกาดำทะมึนทันที! มืดฟ้ามัวดิน เมฆดำปกคลุมทั่วฟ้า ทั่วทั้งฟ้ามืดครึ้มขึ้นมาทันที!
เห็นฉากนี้ เทียนขุยขมวดคิ้วเล็กน้อย ชั่วร้ายมากจริง ๆ สิ่งที่ปล่อยออกมา กลายร่างเป็นอีกา! เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าอีกาพวกนี้จะไม่ทำอันตราย แจกันที่วางประดับไว้อย่างไร้ประโยชน์ จุดที่อีกาบินผ่านไป ทุกสิ่งจะเหมือนกับถูกไฟเผาไหม้ยังไงยังงั้น แล้วทิ้งร่องรอยเผาไหม้เอาไว้!
ใกล้แล้ว!
ความร้อนนั่นเหมือนกับหลอดไฟฟ้าไม่มีผิด ทั้งอึดอัดทั้งสว่าง ดำทะมึนมาเป็นฝูง ราวกับบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้รู้สึกหนักหน่วงใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย!
เทียนขุยยกมือขึ้นมาตั้งท่าคารวะก่อนต่อสู้ โดยข้างหนึ่งกำหมัดข้างหนึ่งแบมือ แล้วตะโกนด้วยเสียงเย็นชา : “พงพินาศแปดทิศ!”
เมื่อสิ้นเสียง ร่างของเทียนขุยก็วาบไปเหมือนหายตัวได้ พุ่งตรงเข้าไปในฝูงอีกาดำ!
ทันใดนั้น สีดำมืดที่ลอยอยู่รอบทิศก็เหมือนระเบิดขึ้น แล้วมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา!
เห็นภาพนี้แล้ว ฟางเหยียนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดจนระหว่างคิ้วมีรอยย่น เมื่อครู่นี้เขายังคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาที่สำนักกุ่ยกู๋สร้างขึ้น ทั้งอีการวมถึงร่องรอยที่ถูกบุกรุก ล้วนเป็นภาพลวงตาที่สร้างขึ้น แต่ตอนนี้ เขาต้องเปลี่ยนความคิดตัวเองแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง!
ไม่ใช่สิ่งลวงตาที่เอาไว้หลอกศัตรู แต่เป็นท่าไม้ตายที่แท้จริง ๆ!
ฟางเหยียนตัดสินใจในทันที ตะโกนออกไปด้วยเสียงเย็นชา : “เทียนขุย อย่าใช้เวลาสู้นานเกินไป รีบถอยกลับมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่นานเทียนขุยก็ถอยกลับมา ทั่วทั้งตัวเหมือนถูกเผาจนไหม้เกรียม เหมือนกับวิ่งหนีออกมาจากกองเพลิง เพียงแต่ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไม่ลึกไม่ตื้น!
“แม่งเอ้ย! ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!” เทียนขุยเลียริมฝีปากที่แห้งจนปริแตก สบถด่าอย่างโหดร้าย : “อีกาพวกนี้มันเหมือนเป็นการฆ่าตัวตายไม่มีผิด ถ้าสู้ไม่ชนะมันก็พุ่งชนที่ตัว คิดจะเผากูให้ตาย ชั่วร้ายจริง ๆ!”
ฟางเหยียนล้วงยาเม็ดสีแดงออกมา แล้วยื่นให้เทียนขุย พลางเอ่ยเสียงขรึมว่า : “นายพักผ่อนก่อนสักครู่ ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง!”
เทียนขุยก็ไม่เสแสร้ง รับยาเม็ดสีแดงมาโยนเข้าปากทันที แล้วเอ่ยพูดอย่างไม่หายโมโห : “จอมพลโผ้จวินครับ จัดการมันให้สาแก่ใจเลย ถ้าให้ดีเด็ดหัวไอ้แก่นั่นมาด้วย ให้ผมใช้เป็นโถปัสสาวะ!”
ฟางเหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้า แล้วเรื่องแปลกประหลาดก็ได้ปรากฏให้เห็น อีกาที่เดิมทีบุกเข้ามาเหมือนผ่าลำไผ่ จู่ ๆ ก็ขี้ขลาดไม่กล้าเข้าใกล้ กระพือปีกร้องระงมอยู่ไกล ๆ เสียงร้องนั่นเหมือนเสียงกรีดร้องของปีศาจที่อยู่ในนรกขุมที่เก้า ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเหนื่อยล้ากายใจ รู้สึกหนักหน่วงอย่างแปลกประหลาด!
เทียนขุยหัวเราะออกมา จอมพลโผ้จวินไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ ด้วย!
เขาเป็นเทพ!
อีกาพวกนี้อยู่ต่อหน้าเขาจะรอดไปได้ยังไง อีกาที่เดิมทีเป็นพวกผีห่าซาตาน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นได้เพียงเศษสวะฝูงหนึ่งเท่านั้น!
“จอมพลโผ้จวินครับ จัดการแม่งให้ตายเลย!”
ฟางเหยียนยังคงไม่ขยับตัว ได้แต่จ้องมองอีกาที่อยู่เต็มท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น จากนั้นได้หันไปมองชายชราคนที่ปล่อยอีกาออกมา มุมปากแสยะยิ้มเย็นชาดูคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าชายชราถูกทำให้โกรธไม่น้อยเลย เขาถูกคนยั่วยุอย่างนี้ ก็เริ่มขยับมือ ขยับปากพึมพำท่องมนต์คาถา อีกาที่เดิมทีขี้ขลาดก็เริ่มตื่นตระหนกตกใจกลัว ส่งเสียงร้องแสบแก้วหูดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า
พวกมันขยับอีกแล้ว!
เมื่อเทียบกับความน่ากลัวของฟางเหยียน พวกมันกลัวชายชราที่ขยับมือท่องมนต์คาถามากกว่า!
แม้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่พวกมันต่างไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แม้ว่าจะกลายเป็นดอกไม้ไฟที่งดงาม แต่พวกมันก็ไม่ยอมที่จะถอยหลังกลับ!
เรื่องน่าประหลาดมากกว่าเดิมปรากฏให้เห็นอีกครั้ง!
อีกาพวกนั้นที่อยู่ไกลออกไปได้ระเบิดขึ้นมา ระเบิดเป็นดอกไม้ไฟเป็นช่อ ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า เหมือนดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้น สว่างขึ้นทีละนิดทีละนิดจนสุดท้ายดับสลายไป!
ไม่นาน ลูกไฟก้อนนี้ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อีกาอีกครึ่งหนึ่งค่อย ๆ สลายหายไปเพราะลูกไฟก้อนนี้ สุดท้ายอีกาทุกตัวก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ความมืดดำที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าได้สลายไปทันที ท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง ลูกไฟได้เปลี่ยนเป็นลูกใหญ่ขึ้น จนมีขนาดใหญ่ราวสิบกว่าเมตร!
ลูกไฟขนาดมหึมาพุ่งตรงไปที่เขตหวงห้ามที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งเมตรอย่างไม่ลังเล ทุกครั้งที่โจมตี ลูกไฟจะอ่อนแอลงครึ่งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการเผาผลาญเพื่อให้ได้ไปข้างหน้ามากขึ้น เวลาเพียงไม่กี่วินาที ลูกไฟได้หดตัวลงเหลือเพียงสิบเมตร พวกมันยิ่งเข้าใกล้ฟางเหยียนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทิ้งร่องรอยเปลวไฟไว้ และเข้าใกล้ฟางเหยียนอย่างรวดเร็วมากขึ้น!
เหมือนดอกไม้ไฟที่มีฟ้าแลบอยู่ด้วย!
เทียนขุยมองจนอึ้งไปเลย เขานึกขึ้นได้ก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ลูกไฟนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว อย่าว่าแต่ต่อต้านมันเลย ต่อให้แค่เข้าใกล้ เกรงว่าจะถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน! เขากระซิบด้วยความกลัว : “จอมพลโผ้จวิน จะ จะต้านทานไหวหรือเปล่า?”
ลูกไฟมาถึงแล้ว ฟางเหยียนพนมมือขึ้นมา แสงสีทองได้ส่องเรืองรองออกมาจากร่างของเขา พุ่งเข้าใส่ลูกไฟก้อนนั้นเหมือนดาบคมเล่มหนึ่ง!
เห็นฉากนี้แล้ว ชายชราที่เป็นผู้นำก็หน้านิ่วคิ้วขมวดจนระหว่างคิ้วมีรอยย่น สีหน้าดูเปลี่ยนไปมาก แล้วพึมพำขึ้นมาว่า : “ทำไมถึงได้เป็นเขา!”