จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 854 ประตูนรก!
ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม!
กู่ผินเพิ่งจะเข้าใจ ฟางเหยียนและพวกมาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องของหลงเซี่ยวเทียนและลูกชาย แต่เพื่อสมบัติล้ำค่าของสำนักกุ่ยกู๋!
กู่ผินเอ่ยออกมาโดยแทบจะไม่ลังเล: “จอมพล สำนักกุ่ยกู๋สามารถมอบสมบัติล้ำค่าให้ได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เอามาเถอะ”
หากเป็นศัตรูกันแล้ว ก็ไม่มีพื้นที่ให้ย้อนกลับ ต่อให้สำนักกุ่ยกู๋จะแสดงความจงรักภักดีแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลประโยชน์ต่อเรื่องนี้แต่อย่างใด ฟางเหยียนมิใช่คนที่ใช้พลังอำนาจในการบังคับเอาสิ่งที่ต้องการมา แต่การทำความสะอาดสนามรบเป็นเรื่องที่เขาจะต้องทำอยู่แล้ว กู่ปิ่งทั้งห้าคนเสียชีวิตแล้ว สำนักกุ่ยกู๋กลายเป็นสิ่งของแห่งชัยชนะของเขา!
กู่ผิงเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยว่า: “จอมพล สำนักกุ่ยกู๋ของผมไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ผมจนปัญญากับเรื่องนี้จริงๆ จอมพลอย่าได้โกรธไป ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะหยอกล้อจอมพล แต่เพราะว่าสมบัติล้ำค่าหินเหล็กนิลอยู่ในเขตต้องห้ามของสำนักกุ่ยกู๋ ที่นั่นอันตรายต่อชีวิต และยังมีสัตว์ไม้พิชิตภัยคุ้มกันเอาไว้อีก ต้องการที่จะนำหินเหล็กนิลมา มีความยากเล็กน้อย”
ฟางเหยียนจ้องกู่ผิน และพบว่าเขาไม่ได้โกหก จึงเอ่ยถามว่า: “สัตว์ไม้พิชิตภัยคืออะไร?”
“พูดถึงสัตว์ไม้พิชิตภัย ไม่พูดถึงสมบัติล้ำค่าของสำนักกุ่ยกู๋ หินเหล็กนิลไม่ได้!” กู่ผินครุ่นคิดเอ่ยว่า: “เล่าขานกันว่าเมื่อนานมาแล้ว มีหินจากนอกโลกหล่นลงมาในโลกมนุษย์ ทำให้ภูเขาไฟปะทุ เป็นภัยต่อโลก มีหลายคนต้องตายเนื่องจากหายนะครั้งนั้น และมีอีกหลายคนที่ต้องพิการเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น ราษฎรไม่สามารถมีชีวิตต่อไป มีคนตายและบาดเจ็บนับไม่ถ้วน!”
“ฮ่องเต้ในตอนนั้นไร้ความสามารถ คิดว่าเป็นเรื่องจากธรรมชาติที่สวรรค์ลงโทษเขา จึงได้ให้นักพรตจำนวนมากไปสืบสาวเรื่องจริง ทว่าต่างก็ไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่เพียงเท่านี้ หินจากนอกโลกก็ยังหล่นลงทำลายสถานที่ปกครองหลายแห่ง คราวนี้เขากระวนกระวายใจขึ้นมาโดยสิ้นเชิง จากนั้นจึงได้เรียกระดมนักบวชและพระรวมถึงผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่ในป่าลึกเป็นเวลานานที่มีชื่อเสียงทั้งประเทศมารวมตัวกัน ให้คำสัตย์สาบานว่าต้องการที่จะทำให้เรื่องนี้สงบ”
“แต่ผลสุดท้ายเป็นที่ทราบกันดี ทั้งหมดกลายเป็นอาหารปืนใหญ่ ฮ่องเต้โมโหจัด ทำการบูชาสวรรค์ทันที พร้อมทั้งขอร้องให้สวรรค์อย่าลงโทษอีกต่อไป หลังจากที่บูชาสวรรค์แล้ว หายนะก็เกิดขึ้นรุนแรงกว่าเดิม หินจากนอกโลกยังไงหล่นลงมาราวกับฝนตกเหมือนเดิม ราษฎรไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ชาวบ้านร่ำไห้กับวิกฤติที่เกิดขึ้น”
“ฮ่องเต้ที่ไม่รู้จะทำยังไง ทำได้เพียงดื่มสุราเมาทุกวัน ราษฎรกลับมีชีวิตอยู่ในความทุกข์ทรมาน และในเวลานี้เอง ท่านปรมาจารย์กุ่ยกู๋จื่อก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับเทพลงมาโลกมนุษย์ กุ่ยกู๋จื่อในตอนนั้นก็เป็นคนผู้น้อยที่ไร้ชื่อเสียง ทุกคนล้วนดูถูก ทว่าเขากลับสืบเรื่องราวความจริงได้อย่างรวดเร็ว”
“ในสมัยโบราณ นั่นก็คือหินจากนอกโลก แต่ในสมัยนี้ก็คือร่องรอยการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ หรือฝนดาวตก ทว่าต้องยอมรับให้กับกุ่ยกู๋จื่อที่สามารถรู้เรื่องนี้ได้ ดูดาวในยามค่ำคืนแล้วคาดว่าเป็นร่องรอยการเคลื่อนไหวของหินจากนอกโลก ทำการเตือนล่วงหน้า ไม่นานก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”
“กุ่ยกู๋จื่อมีชื่อเสียงเนื่องจากเรื่องนี้ กลายเป็นราชครูในราชวงศ์ แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เขามีชื่อเสียงนั้น ตัวเขากลับหายไปท่ามกลางความงงงวยผู้คน ตอนนั้นมีคนคาดเดาว่า กุ่ยกู๋จื่อก็คือเทพเซียนที่สวรรค์ส่งมาช่วยเหลือพวกเขา และมีคนเดาว่ากุ่ยกู๋จื่อได้ตายในขณะที่จัดการหินจากนอกโลก การคาดเดาต่างๆ นานาราวกับตั๊กแตน เข้ามาปกคลุมทั่วดินแดน ทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก จึงรับสั่งให้หยุดการโจมตีกุ่ยกู๋จื่อ”
“โดยเฉพาะการคาดเดาที่ว่าเทพจากสวรรค์ลงมาโลกมนุษย์ ราวกับสามารถเชื่อถือได้ที่สุด เนื่องจากหลังจากที่กุ่ยกู๋จื่อหายตัวไปแล้ว หินจากนอกโลกทั้งหมดก็หายไปทั้งหมดในคืนเดียวด้วย ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น ทว่าไม่มีใครลืมความทุกข์ทรมานในตอนนั้นลง ฮ่องเต้ย้อนรำลึกกุ่ยกู่จื่อ ได้สร้างเป็นรูปปั้นกุ่ยกู่จื่อ เพื่อเป็นการเซ่นไหว้”
กู่ผินเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มขึ้น: “จอมพลน่าจะเข้าใจแล้ว คนโบราณเข้าใจหินจากนอกโลกไม่เหมือนกับคนสมัยนี้ที่จะมีหลักการ ขณะที่ดาวเคราะห์ลอยผ่านชั้นบรรยากาศ กลายเป็นแรงเสียดสีที่รุนแรงขึ้น หากหล่นลงบนโลก เช่นนั้นก็ต้องเป็นลูกไฟที่ใหญ่ยักษ์มากแน่นอน ภายใต้ประโยชน์ของอุณหภูมิที่สูง ก็จะสลายกลายเป็นขี้เถ้า และหายไปทันที”
“ในขณะที่เซ่นไหว้กุ่ยกู๋จื่ออยู่นั้น กุ่ยกู๋จื่อกลับซ่อนตัวอยู่ในภูเขาป่าลึก เริ่มทำการวิจัยหินจากนอกโลกที่อยู่ในมือ นั่นก็คือหินเหล็กนิล เขาทดลองใช้วิธีหลอมหลากหลายวิธี แต่น่าเสียดายที่คุณสมบัติของมันแข็งแรงเกินไป ทำให้ไม่สามารถหลอมได้ ก็ผ่านไปเช่นนี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า กุ่ยกู๋จื่อพบถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของหินเหล็กนิล”
“ภายในหินเหล็กนิลได้เก็บซ่อนพลังแห่งสวรรค์และโลกที่ไม่มีใครต้านทานได้ แต่ในค่ำคืนที่มีพายุโหมกระหน่ำ หินเหล็กนิลก็ราวกับเป็นของวิเศษมีพลัง ได้รับการชำระล้างจากฟ้าผ่า ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย ทำให้ท่านปรมาจารย์ถูกทำให้บาดเจ็บหลายครั้ง ทว่าก็คิดไม่ออกว่าควรจะจัดการเจ้าหินจากนอกโลกก้อนนี้ได้อย่างไร”
“อยู่ๆ ก็มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เทพอารักษ์หลู่ปันท่องไปยังสถานที่ต่างๆ ก็ได้พบกับกุ่ยกู๋จื่อเข้า ทั้งสองคนพอเจอหน้ากันก็ราวกับรู้จักกันมานาน หลังจากที่ร่ำสุราอย่างสนุกสนานแล้ว ก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา คิดไม่ถึงว่า เทพอารักษ์หลู่ปันจะพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาโดยไม่พูดอันใดมาก นั่นคือ ‘สัตว์ร้ายในตำนานเทาเที่ย’ และเพราะประโยคนี้เอง ได้คลี่คลายความกระวนกระวายใจของกุ่ยกู๋จื่อได้ ทั้งสองคนพูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เพื่อตัวเองและเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วย ฝีมือการสร้างของเทพอารักษ์หลู่ปันแข็งแกร่งยิ่ง ไม่นานเทาเที่ยที่ทำจากไม้ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เทาเที่ยกินทุกอย่าง เข้าไปไม่ได้ออก ใช้มันมากำราบหินเหล็กนิลเป็นเรื่องที่สมควรที่สุดแล้ว”
“และสัตว์ไม้พิชิตภัยก็กำเนิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในเวลานี้ ภายใต้ความเฉลียวฉลาดของกุ่ยกู๋จื่อ เพิ่มความดุร้ายให้กับพลังของหินเหล็กนิล ทั้งสองท่านทำการบัญญัติและเสริมแรงร่วมกัน และได้ไขปัญหาใหญ่ได้ในเวลานี้ ปัญหาที่รบกวนท่านปรมาจารย์เป็นเวลานานในที่สุดก็คลี่คลายแล้ว ทว่าทั้งสองคนทราบชัดเจนดีว่า เมื่อหินเหล็กนิลออกสู่โลก ใต้หล้าจะต้องโกลาหลเป็นแน่ ดังนั้นจึงสร้างกลไกในสถานที่ที่เก็บหินเหล็กนิลเอาไว้อย่างธรรมชาติ ประสงค์ก็คือเป็นกังวลว่าจะมีคนต้องการจะนำหินเหล็กนิลไป”
“อีกทั้งท่านปรมาจารย์กุ่ยกู๋จื่อก็ไม่สบายใจ จึงได้พำนักอยู่ในภูเขาลึกไม่ออกมา และกลายเป็นสำนักกุ่ยกู่ในปัจจุบันนี้ หินเหล็กนิลก็หลายเป็นสิ่งของดุร้ายในเขตต้องห้าม เป็นเวลาหลายพันปีก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปยังเขตต้องห้าม”
หลังจากเล่าจบ กู่ผินจึงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น: “จอมพล นี่ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากส่งมอบหินเหล็กนิลนะ แต่ว่าเขตต้องห้ามก็ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสำนักกุ่ยกู๋ ต่อให้รู้แล้ว พวกเราก็ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปง่ายๆ เพราะฉะนั้นผมจึงรู้สึกลำบากใจมาก”
ฟางเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่แท้สมบัติล้ำค่าของสำนักกุ่ยกู๋ก็เป็นอุกกาบาต นี่เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย
เทียนขุยได้ยินดังนั้นก็ต้องอึ้งไป ผ่านไปเป็นเวลานานจึงเรียกสติขึ้นมา เอ่ยถามว่า: “ความหมายของนายคือ ถ้าต้องการเอาหินเหล็กนิล ก็จะต้องจัดการสัตว์ไม้พิชิตภัยอะไรนั่นก่อน?”
กู่ผินพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า: “ถูกต้องทุกประการ แต่ต้องการจัดการสัตว์ไม้พิชิตภัย ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ตามบันทึกของตำราโบราณ ท่านปรมาจารย์กุ่ยกู่จื่อทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมด ในการอบรมสัตว์ไม้พิชิตภัย ถือได้ว่าใช้เลือดเนื้อของตัวเองในการเลี้ยงสัตว์ไม้พิชิตภัย ไม่ต้องพูดถึงว่าสัตว์ไม้พิชิตภัยมีพันธะต่อหินเหล็กนิล ก็แค่ประเด็นที่ว่าท่านปรมาจารย์เลี้ยงดูมาทั้งชีวิต มันจะเป็นสิ่งของธรรมดาได้อย่างไร?”
“ไม่พูดก็ไม่ได้ แม้ว่าจอมพลจะเคยผ่านสนามรบที่รุนแรงมาแล้ว แต่ความน่ากลัวของสัตว์ไม้พิชิตภัย ไม่ได้น้อยไปกว่านั้นเลย ตรงกันข้ามมีแต่จะมากกว่า ดังนั้นจอมพล ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากส่งมอบหินเหล็กนิลจริงๆ แต่เพราะว่าผมไม่มีความสามารถนั้น”
กู่ผินยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยว่า: “จอมพล ผมรู้ว่าสมบัติล้ำค่าของทุกสำนักนินจาอยู่ที่ตัวท่านหมดแล้ว สำนักกุ่ยกู๋ของผมสะกดหินเหล็กนิลมาเป็นเวลาหลายพันปี ก็ควรที่จะจบลิขิตนี้แล้ว แต่มีเจ้าสำนักหลายรุ่นต้องการที่จะไปสำรวจความงามของหินเหล็กนิล แต่ทั้งหมดกลับไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าไป จริงสิ มีคนหนึ่งที่ถอนตัวออกมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็คืออาจารย์ของท่าน มู่ยี่!”
เทียนขุยตกตะลึงอีกครั้ง นี่เป็นคนดุร้ายที่ไหนกัน นี่มันเป็นคนที่ร้ายถึงขั้นขีดสุดแท้ๆ !
เข่นฆ่าสำนักกุ่ยกู๋ก็แล้ว แถมยังถอนตัวเพื่อความปลอดภัยจากสัตว์ไม้พิชิตภัยได้อีก ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เพราะงั้น ต้องการที่จะครอบครองหินเหล็กนิล สัตว์ไม้พิชิตภัยก็คืออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างนั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง จอมพล ตามบันทึกของตำราโบราณ หลังจากที่ท่านปรมาจารย์เสียชีวิตแล้ว เขตต้องห้ามของสำนักกุ่ยกู๋ก็กลายเป็นที่ต้องห้าม ไม่มีใครรู้ว่าข้างในมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แทนที่จะพูดว่าสมบัติล้ำค่าของสำนักกุ่ยกู๋ ไม่สู้พูดว่าเป็นสิ่งของดุร้ายที่สำนักกุ่ยกู๋สะกดไว้มากกว่า พลังอำนาจล้นฟ้า ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ หากออกมาสู่โลก หายนะเมื่อหลายสิบปีก่อนคงต้องเกิดขึ้นอีกครั้งในโลกมนุษย์แน่!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ กู่ผินก็มองไปยังฟางเหยียน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวัง: “จอมพล ผมรู้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจความสามารถเกรียงไกรในโลก เป็นคนที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าท่านต้องการหินเหล็กนิลจริงๆ หรือ?”
เห็นได้อย่างชัดเจน กู่เผินไม่ยินยอมให้ฟางเหยียนเอาหินเหล็กนิลไป การสั่งสอนที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ได้ย้ำเตือนเขาทุกช่วงเวลา เมื่อหินเหล็กนิลปรากฏ หายนะต้องเกินขึ้นซ้ำ!
ฟางเหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่ลังเลสักนิด: “ฉันจะต้องเอามันมาให้ได้!”
กู่ผินพาทั้งสองคนเดินผ่านตำหนักกลาง ตลอดทางแทบจะไม่เจอใครเลย ถือว่าราบรื่นไร้อุปสรรค จากนั้นก็มาถึงป่าภูเขาที่รกร้างเต็มไปด้วยหญ้า ถึงเอ่ยขึ้นว่า: “จอมพล ที่นี่คือเขตต้องห้ามของสำนักกุ่ยกู๋ ประตูนรก!”