จอมนักรบท้าโลก - บทที่ 728 ไม่ทำตัวเป็นเศษสวะ
ยี่สิบนาทีต่อมา
ติงเฟิงเฉิงขับรถมาถึงหน้าประตูบ้านของติงเมิ่งเหยน หลังจอดรถเสร็จ เขาก็ลังเลอยู่นานก่อนจะค่อยๆ ลงจากรถอย่างช้าๆ
เขาถือผลไม้กล่องหนึ่งไว้ในมือ คิดว่าจะพูดอะไรดี ก่อนจะเดินไปที่ประตูอย่างไม่เต็มใจ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขอบคุณ แต่เพราะกระดากอายในใจ
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเคยทำกับเจียงชื่อและติงเมิ่งเหยนเมื่อสมัยก่อน ติงเฟิงเฉิงก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนถ่อยต่ำทราม อันที่จริง ถ้าว่าตามพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเขาที่ผ่านๆ มา เขาก็เป็นคนถ่อยที่ต่ำทรามมากจริงๆ นั่นแหละ
เมื่อไปถึงหน้าประตู ติงเฟิงเฉิงก็เห็นเจียงชื่อที่กำลังบีบนวดฝ่าเท้าให้ติงเมิ่งเหยนอยู่ สองคนสามีภรรยาต่างพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนิทสนม ดูรักกันหวานชื่นอย่างยิ่ง
“อะแฮ่ม”
เขาจงใจส่งเสียงกระแอมไอขึ้นมาเสียงหนึ่ง
คนในบ้านได้ยินการเคลื่อนไหวจากข้างนอก ก็รีบนั่งลงอย่างเขินอาย
แก้มของติงเมิ่งเหยนแดงก่ำ “พี่สอง พี่มาแล้วเหรอ?”
“อื้ม” ติงเฟิงเฉิงเดินเข้าไป วางกล่องผลไม้ลงบนโต๊ะกาแฟ แล้วพูดแบบเชื่องช้ามากๆ ว่า: “ที่ฉันมาวันนี้ คือตั้งใจว่าจะมาเพื่อขอบคุณเจียงชื่อเป็นพิเศษ ขอบคุณที่นายช่วยฉัน…..”
เขาพูดตะกุกตะกัก อ้ำๆ อึ้งๆ ช่างแตกต่างจากติงเฟิงเฉิงที่พูดเก่งเป็นน้ำไหลไฟดับในเวลาปกติโดยสิ้นเชิง
ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะถึงยังไง ปกติเขาก็ไม่เคยพูดจาหวานเลี่ยนแบบนี้ให้ได้ยินมาก่อน
เมื่อได้ฟังไปครึ่งหนึ่ง เจียงชื่อก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เขาไม่ต้องพูดอีกต่อไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบฟัง แต่เพราะคำพูดเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัวแล้วต่างหาก
ความรู้สึกแบบนี้ ช่างเหมือนกับการดูละครสั้นที่ตั้งใจสะท้อนใจไม่มีผิด ดูจนทำเอารู้สึกทรมานไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“แค่ก… เอาเถอะ เฟิงเฉิง นายไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเข้าใจความตั้งใจของนายดีแล้ว”
“เข้าใจแล้วเหรอ?” ติงเฟิงเฉิงเองก็อึดอัดใจสุดๆ ไม่ต่างกัน ” ถ้างั้นฉันวางของฝากไว้ที่นี่ แล้วขอตัวกลับก่อนละกันนะ”
“เดี๋ยวก่อน” เจียงชื่อชี้ไปที่โซฟาฝั่งตรงข้าม “นั่งลงก่อน ฉันมีเรื่องที่ต้องพูดกับนายหน่อย”
ติงเฟิงเฉิงนั่งลง
เจียงชื่อมองเขานิ่งๆ จากนั้นก็หันไปมองติงเมิ่งเหยน เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อนว่า: ” เฟิงเฉิง ฉันได้ปรึกษากับเมิ่งเหยนแล้ว ว่าฉันจะช่วยให้นายขึ้นนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลติง ด้วยวิธีนี้ ก็เท่ากับการชิงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลติงกลับมาด้วย”
“ฉัน?”
ติงเฟิงเฉิงหัวเราะ “เฮ้! ฉันรู้ตัวเองดีน่า ว่าฉันไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ยิ่งหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันก็รู้ชัดเจนยิ่งขึ้นแล้วว่า ฉันไม่มีทางเป็นคู่มือของติงหงเหย้าได้เลย ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมันก็เป็นได้แค่ไอ้หน้าโง่คนหนึ่ง ที่ถูกคนอื่นปั่นหัวเล่นซะจนหัวหมุนก็แค่นั้น”
เพิ่งจะพูดจบ ติงเฟิงเฉิงก็เห็นดวงตาที่เป็นประกายคมกริบเหมือนดวงตาเหยี่ยวของเจียงชื่อคู่นั้น จ้องมองเขม็งมาที่เขา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เจียงชื่อพูดอย่างเย็นชาว่า: “เฟิงเฉิง นายเป็นแก้วตาดวงใจของปู่นาย แล้วก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้านที่เหมาะสมที่สุด หรือนายเต็มใจที่จะเป็นไอ้โง่ให้คนอื่นจูงจมูกไปตลอดชีวิต ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่างอยู่แบบนี้รึไง?”
“ถ้าคิดว่าจะอยู่ไปอย่างนี้ งั้นการสนทนาของวันนี้ก็จบลงเท่านี้เหอะ นายกลับไปได้เลย”
“ฉันไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดกับเศษสวะ ที่มันไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อยนิดให้เสียเวลาหรอกนะ ”
เศษสวะ?
ที่ผ่านมา ติงเฟิงเฉิงใช้คำนี้มาปรามาสเจียงชื่อมาโดยตลอด แต่ตอนนี้สุดท้ายก็ถึงตาเขาที่โดนพูดใส่บ้างแล้ว
อันที่จริงแล้วถ้าจะพูดไป การใช้คำว่าเศษสวะมาบรรยายคนอย่างติงเฟิงเฉิง ก็เป็นอะไรที่เหมาะสมมากจริงๆ
ถ้าเขาไม่ใช่นายน้อยตระกูลติง แล้วเอาคนแบบเขาไปวางไว้กลางสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันกันอย่างดุเดือดนี้ ก็เดาได้เลยว่า ต่อให้เป็นงานง่ายๆ อย่างขนอิฐขนปูน ก็คงไม่มีใครอยากได้ไปทำงานให้ด้วยซ้ำ แค่เศษสวะใช้การไม่ได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเขา ให้ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง
ติงเฟิงเฉิงก้มหน้างุด กำหมัดทั้งสองข้างจนแน่น
น้ำตาคลอเอ่อท้นเต็มสองตา เล็บถูกจิกจนเข้าเนื้อ ความนับถือตนเองในฐานะลูกผู้ชายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้นี่เอง
ถ้าเป็นไปได้ ใครมันจะอยากเป็นแค่เศษสวะกันล่ะ?
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้นมองเจียงชื่อ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: ” เจียงชื่อ ฉันเลือกที่จะเชื่อใจนายนะ โปรดบอกฉันด้วยเถอะว่า ฉันต้องทำยังไงถึงจะได้นั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลติง?”
พูดออกมาแล้ว! ในที่สุด เขาก็กล้าพูดประโยคที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานประโยคนี้ พูดมันออกมาดังๆ ได้ในที่สุด!