จอมนักรบอหังการ - บทที่ 155 ของขวัญชิ้นนี้ ยังไม่ใหญ่พอหรอกเหรอ
จอมนักรบอหังการ บทที่ 155 ของขวัญชิ้นนี้ ยังไม่ใหญ่พอหรอกเหรอ?
เดิมทีสถานที่ที่มีเสียงดังเอิกเกริกวุ่นวาย เวลานี้คงยากที่จะมีการเคลื่อนไหวอะไรที่ใหญ่โตอีกแล้ว
เพราะว่าทุกคนต่างก็ตื่นตะลึงกันไปทั้งหมด
โล่เชียนฟานของตระกูลโล่แห่งตี้ตู เรียก “คุณนายเย่” คนนี้ว่าคุณอา?
ผู้มีอิทธิพลแห่งวงการหมัดมวยเมื่อเห็น “คุณเย่” ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร คุกเข่าข้างเดียวลงไปที่พื้นและตะโกนเรียกว่าผู้มีบุญคุณเลย?
เมื่อพี่ใหญ่แห่งวงการปาปารัสซี่เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็แทบจะระเบิดตัวตายลงไปทันที!
เมื่อครู่ เขายังคิดที่จะหาโอกาสพึ่งพาอํานาจของผู้ทรงอิทธิพลเพื่อกดขี่และข่มขู่อยู่เลย และจะสานสัมพันธ์ผูกมิตรกับคุณชายโล่เชียนฟานของตระกูลโล่ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งช่วยจัดการสั่งสอนคนที่ถูกเรียกขานว่า “คุณเย่” กับ “คุณนายเย่” สักหน่อย……
แต่ตอนนี้กลับตาลปัตร!
เมื่อโล่เชียนฟานพบเห็น “คุณนายเย่” คนนี้ ก็เรียกว่าคุณอา!
และยังจะคารวะคุณอาด้วย!
“คุณนายเย่” คนนี้ เป็นคนของตระกูลโล่แห่งตี้ตูอย่างนั้นเหรอ?
พี่ใหญ่แห่งวงการปาปารัสซี่ตะลึงงันไปหมดแล้ว
เมื่อมองดูเฉิงโม่หนงในตอนนี้ ก็อยู่ในสภาพที่ตกตะลึงด้วยเช่นกัน
เพราะว่าสำหรับคนอย่างโล่เชียนฟานนี้ เฉิงโม่หนงคุ้นเคยเป็นอย่างดีเลย
ในด้านธุรกิจ ทั้งสองคนมีความร่วมมือกันมาโดยตลอด
สำหรับเบื้องหลังของโล่เชียนฟาน เฉิงโม่หนงเองก็เข้าใจและรับรู้อย่างชัดเจน
ยอดนักธุรกิจโล่เชียนฟาน มาจากตระกูลโล่แห่งตี้ตู และถือเป็นหนึ่งในคุณชายจำนวนน้อยแห่งตี้ตู!
ตอนนี้เรียกเสิ่นรั่วชิงว่าคุณอา?
สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่?
เสิ่นรั่วชิงไปมีความสัมพันธ์กับตระกูลโล่แห่งตี้ตูนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
หล่อนไม่ใช่คนของตระกูลเสิ่นแห่งเมืองเจียงไห่อย่างนั้นเหรอ?
ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ดังนั้น การที่พวกผู้มีอิทธิพลรอบข้างที่หน้าด้านเข้ามาจับมือทักทายกับเสิ่นรั่วชิง และเรียกคุณนายเย่อย่างไม่ขาดปากนั้น ไม่เพียงแต่เพราะว่าหล่อนคือผู้หญิงของเย่อู๋เทียนเท่านั้นหรอกเหรอ?
คำถามจำนวนมากมาย ได้ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเฉิงโม่หนง
แม้จะครุ่นคิดอยู่หลายรอบก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี!
ในขณะนั้นเอง เสิ่นรั่วชิงก็มองไปยังโล่เชียนฟานอย่างเฉยเมย และพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้”
ก่อนหน้านี้ที่โรงแรมว่างไห่ เป็นเพราะคุณชายคนหนึ่งของตระกูลเจียง จึงทำให้โล่เชียนฟานเกิดปัญหาทะเลาะกันกับเย่อู๋เทียนเล็กน้อย
ดังนั้น……
ถึงแม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าทุกคนโล่เชียนฟาน จะเรียกเธอว่าคุณอาอย่างสนิทสนม แต่เธอเองก็ยังคงยากที่จะมีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อโล่เชียนฟาน
โล่เชียนฟานเห็นว่าเสิ่นรั่วชิงแสดงท่าทางเย็นชากับตนเอง ก็ยิ้มอย่างเก้อเขิน และก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปอีก จากนั้นก็หันมองไปที่เย่อู๋เทียน และเรียกขานว่า: “อาเขย”
เย่อู๋เทียนพยักหน้าให้กับเขาอย่างพอเป็นพิธี แล้วจึงพูดกับเจียงอู่ฟูที่คุกเข่าข้างเดียวอยู่ที่พื้นว่า: “ลุกขึ้นเถอะ”
เจียงอู่ฟูราวกับถูกลดโทษปลดปล่อย จึงรีบลุกยืนขึ้นในทันที
ก่อนหน้านี้ที่โรงแรมว่างไห่ เจียงอู่ฟูเคยพูดไม่สุภาพกับเย่อู๋เทียน แน่นอนว่าเขาเองก็กลัวเย่อู๋เทียนจะจดจำความแค้นที่มีต่อเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า……
ถึงแม้เย่อู๋เทียนจะแสดงท่าทางที่เย็นชากับเขา แต่นี่ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่สุดแล้ว
เวลานี้ พวกบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่รอบข้างเมื่อเห็นว่าโล่เชียนฟานกับเจียงอู๋ฟูแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อหน้าของเย่อู๋เทียน ซึ่งนอกจากเฉียนจิ้งคุนและภรรยารวมถึงเผยว่านหลี่แล้ว แต่ละคน ต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะถอนหายใจ
ไม่สนที่ว่า “คุณเย่” คนนี้ตกลงมีสถานะอะไร เพียงแค่ “คุณนายเย่” คนที่โล่เชียนฟานเรียกว่าคุณอานั้น ก็มีสถานะที่ไม่ธรรมดาแล้ว!
เป็นไปได้ว่าเธอคงจะเป็นเครือญาติของตระกูลโล่แห่งตี้ตู!
ไม่อย่างนั้น ทำไมโล่เชียนฟานถึงต้องเรียกเธอว่าคุณอาด้วยล่ะ?
โล่เชียนฟานเมื่ออยู่ต่อหน้าของเธอ แม้แต่จะพูดอะไรทำไมถึงต้องประหม่ามากขนาดนี้ด้วย?
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดไปต่าง ๆ นา ๆ นั้น เย่อู๋เทียนก็พูดขึ้นกับทุกคนว่า: “แยกย้ายกันได้แล้ว วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองของฉาวซิง”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้แล้ว แต่ทุกคนก็ยังไม่กล้าที่จะแยกย้ายไปยุ่งธุระของตนเอง
เมื่อเป็นแบบนี้ เย่อู๋เทียนเองก็จำใจทำอะไรไม่ถูก แล้วก็พูดกับเฉิงโม่หนงที่อยู่ด้านข้างว่า: “เธอรับหน้าก่อนแล้วกันนะ ฉันทนต่อสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหวจริง ๆ”
เฉิงโม่หนงจึงรีบออกหน้ามาจัดการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
ต้องบอกเลยว่า ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ของเฉิงโม่หนงนั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
พูดง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำ ก็ช่วยทำให้เย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงมีเวลาเดินออกไปจากพรมแดงได้แล้ว
โดยให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของดาราคู่รักนี้……
หลังจากที่เย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงเดินออกมาจากบริเวณพรมแดงแล้ว ก็เดินตรงไปในมุมที่ไม่ค่อยมีคน ขณะที่เดินอยู่นั้น เย่อู๋เทียนก็พลางสบถขึ้นว่า: “ช่างเป็นพวกมารปีศาจเสียจริงเลย! ”
เสิ่นรั่วชิงที่อยู่ด้านข้างมองไปที่เย่อู๋เทียนอย่างน่าขัน และพูดว่า: “มีอย่างที่ไหนถึงได้พูดอย่างนี้! ”
เย่อู๋เทียนพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า: “ทำไม ดูคุณเหมือนจะชื่นชอบดื่มด่ำที่ถูกคนปฏิบัติกับคุณแบบนี้นะ? ”
เสิ่นรั่วชิงหัวเราะฮ่าฮ่า แกว่งแขวนของเย่อู๋เทียนไปมา และพูดว่า: “คนมักก็ต้องมีจิตใจที่สำรวยฟุ้งเฟ้อกันทั้งนั้นแหละ พวกนักธุรกิจจำนวนมากเรียกฉันว่าคุณนายเย่ พวกดาราดังจำนวนมากเรียกฉันว่าคุณนายเย่ จิตใจของฉันพองโตปลาบปลื้มมากเลย”
เย่อู๋เทียนส่ายศีรษะไปมาอย่างน่าขัน
ภายในคฤหาสน์ตระกูลฉาวยังได้จัดตั้งสถานที่จุดรับของขวัญ ซึ่งอยู่ด้านหน้าที่ไม่ไกลไปจากพรมแดงเท่าไร เสิ่นรั่วชิงสังเกตเห็นจุดนี้แล้ว จึงตบไปที่ศีรษะ และพูดขึ้นว่า: “หมดกัน ลืมซื้อของขวัญอวยพรให้กับพ่อของหยางเฟยเอ๋อร์แล้ว! ”
เย่อู๋เทียนมองตามไปยังสายตาของเสิ่นรั่วชิง ยิ้มและพูดว่า: “งานแบบนี้จะต้องนำของขวัญอะไรมาอีกล่ะ ไม่เห็นหรือไงว่าพวกคนสังคมชั้นสูงเหล่านั้นก็ไม่ได้นำของขวัญอวยพรอะไรมากันเลย พวกเขานำมากันแต่ใบรายการของขวัญ”
เสิ่นรั่วชิงถามขึ้นว่า: “แล้วนายได้จัดเตรียมใบรายการของขวัญแล้วหรือยังล่ะ? ”
เย่อู๋เทียนยักไหล่ และพูดขึ้นว่า: “ฉันมาที่ตระกูลฉาว เพื่อถือโอกาสช่วยฉาวซิงนั้นต่ออายุยืดชีวิตออกไป ของขวัญชิ้นนี้ ยังใหญ่ไม่พออีกเหรอ? ”
เสิ่นรั่วชิงพูดขึ้นด้วยความตกใจว่า: “เขาป่วยเป็นโรคร้ายเหรอ? ”
เย่อู๋เทียนพูดว่า: “มะเร็งตับ”
เสิ่นรั่วชิงคู่ดวงตาเบิกตาโพลง พูดขึ้นอย่างตื่นตกใจว่า: “แล้วยังจะมีวิธีการรักษาเหรอ? ”
เย่อู๋เทียนยิ้มและพูดว่า: “โรคที่เกิดขึ้นในร่างกายของคน โดยทั่วไปแล้วฉันสามารถรักษาได้ทั้งนั้น”
แม้เสิ่นรั่วชิงจะรู้ว่าเย่อู๋เทียนมีวิชาแพทย์ที่สูงส่ง แต่เมื่อได้ยินที่เขาพูดแล้ว ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ
นั่นคือมะเร็งตับ!
โรคมะเร็ง!
สามารถที่จะรักษาให้หายได้โดยง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ?
ถ้าหากสามารถรักษาให้หายได้โดยง่ายแล้ว โลกใบนี้ก็คงจะสวยงามขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว?
เย่อู๋เทียนเหมือนจะมองทะลุความคิดในใจของเสิ่นรั่วชิงได้ จึงพูดว่า: “เมื่อกลับไปแล้วคุณก็เป็นผู้นำก่อตั้งบริษัทยาแห่งหนึ่งขึ้น ตัวฉันมีวิธีการรักษาโรคมะเร็งอยู่มากมาย เมื่อถึงตอนนั้นก็ผลิตยาสำเร็จรูปออกมา แล้วมาดูกันว่าจะสามารถทำให้ทั่วทั้งใต้หล้านี้หมดสิ้นโรคมะเร็งได้หรือไม่! ”
เสิ่นรั่วชิงอ้าปากค้าง และพูดว่า: “นี่คือบุญกุศลอันมหาศาลเลยทีเดียว! ”
เย่อู๋เทียนยิ้ม: “คุณรู้ไหมว่าทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีโรคมะเร็ง? ”
เสิ่นรั่วชิงพูดขึ้นด้วยความสงสัยว่า: “ทำไมเหรอ? ”
เย่อู๋เทียนพูดขึ้นทันทีว่า: “อักษรคำว่ามะเร็ง มีอักษรคำว่าป่วยเป็นตัวหลักครอบอยู่ แล้วก็มีอักษรคำว่าปากสามตัว และอักษรคำว่าภูเขาหนึ่งตัว ดังนั้น อาการป่วยเกิดขึ้นจากการที่เข้าไปในปาก กองรวมกันมากมายจนเป็นภูเขา ซึ่งก็คือสิ่งที่กินเข้าไปทั้งนั้น! อีกทั้ง โรคมะเร็ง คือโรค ไม่ใช่อาการป่วย ซึ่งสามารถใช้พลังชี่ธรรมขับไล่พลังชี่ชั่ว เท่านี้ก็รักษาให้หายได้แล้ว! ส่วนที่ว่าพลังชี่ธรรมในร่างกายของคนนั้นมีจุดกำเนิดมาจากที่ไหน คุณรู้ไหม? ”
เสิ่นรั่วชิงพูดขึ้นอย่างงุนงงว่า: “มีจุดกำเนิดมาจากที่ไหนเหรอ? ”
เย่อู๋เทียนเอามือไขว้หลังและพูดว่า: “พลังชี่ธรรมก็มาจากพลังชี่แข็ง หากพลังชี่แข็งแข็งแกร่งดุจดั่งมังกร พลังชี่ชั่วทุกอย่างก็จะถูกขับไล่ออกไปได้ทั้งหมด! ”
เสิ่นรั่วชิงกำลังที่จะพูดอะไรออกมา ก็พลันมีเสียงตื่นเต้นดีใจดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ: “ฉันรู้แล้ว! ฉันรู้แล้วว่าจะรักษาโรคมะเร็งของฉาวซิงให้หายได้อย่างไร! ”
คนที่พูดนั้น หากไม่ใช่ผิงเสี่ยวหลิงแล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ?
เขาติดตามเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ห่างมาโดยตลอด เขาผู้ที่มีการฟังที่ไม่ธรรมดาซึ่งเมื่อครู่ได้ยินคำพูดของเย่อู๋เทียนแล้ว จึงพลันนึกเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เย่อู๋เทียนหันหน้ามองไปที่ผิงเสี่ยวหลิง ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “โรคมะเร็งของฉาวซิงนั้น ควรที่จะรักษาอย่างไรให้หายดี? ”
ในขณะที่ผิงเสี่ยวหลิงกำลังจะพูด ก็มีชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่ง เดินตรงเข้ามาทางนี้ ผู้หญิงนั้นหน้าตางดงาม สวมใส่เสื้อผ้าพิถีพิถัน เมื่อดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย
เวลานี้ ผู้หญิงคนนี้กำลังจ้องมองตรงมาที่เสิ่นรั่วชิง พร้อมกับหรี่ตาลงและพูดเย้ยหยันว่า: “โอ้ นี่ไม่ใช่เด็กเถื่อนลูกสาวของเกาเม่ยหลิงนั้นหรอกเหรอ คนด้านข้างของเธอนี้เป็นคุณชายตระกูลไหนเหรอ? ถึงได้มีสิทธิมาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของท่านฉาวด้วย! ”