จอมนักรบอหังการ - บทที่ 156 หากโวยวายอีกฉันจะหยิกแกให้ตายไปเลยไอ้เด็กเวร
จอมนักรบอหังการ บทที่ 156 หากโวยวายอีกฉันจะหยิกแกให้ตายไปเลยไอ้เด็กเวร!
ผู้หญิงที่พูดเยาะเย้ยถากถางเสิ่นรั่วชิงคนนี้ คือเกาเยว่หมิ่นจากตระกูลเกาแห่งเมืองเจียงหนาน เป็นคนรุ่นเดียวกันกับเกาเยว่หลู
ในฐานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเกาเยว่หลู เกาเยว่หมิ่นรู้จักเสิ่นรั่วชิงอย่างดีแน่นอน
ที่เมืองเจียงหนาน เกาเยว่หมิ่นได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสี่หญิงงาม อีกทั้งเมื่อถือกำเนิดขึ้นก็ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจเป็นอย่างดีจากคนในตระกูลเกา
แม้ว่าปีนี้จะมีอายุเพียงแค่สิบแปดปี เพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่สถานะมูลค่าของตัวเธอนั้น เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงที่ร่ำรวยขั้นธรรมดาได้แต่แหงนมองเทียบเคียงอะไรไม่ได้เลย!
แต่มีอยู่จุดหนึ่ง เนื่องจากเกาเยว่หมิ่นอายุยังน้อย อีกทั้งในตอนเด็กได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตขึ้นมากับพี่เลี้ยงในตระกูลเกา แม้ว่าจะไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ก็ขาดแคลนการอบรมสั่งสอนที่ดี
มีจิตใจที่ชอบเปรียบเทียบถึงขั้นรุนแรงมาก
ในภาพความทรงจำของเกาเยว่หมิ่นนั้น เสิ่นรั่วชิงคือลูกเลี้ยงของเกาเม่ยหลิงคนที่ “ทรยศ” ต่อตระกูลเกา ดังนั้นเธอจึงถือว่าเสิ่นรั่วชิงก็จัดอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กเถื่อน
เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจ ซึ่งก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง
แม้ว่าเกาเยว่หมิ่นกับเกาเยว่หลูจะมีหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน แต่ตรงบริเวณระหว่างคิ้ว ก็ยังทำให้เสิ่นรั่วชิงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาได้
นอกจากนี้ เมื่อครู่เกาเยว่หมิ่นยังได้เอ่ยถึงเกาเม่ยหลิงด้วย……
ในสถานการณ์แบบนี้ เสิ่นรั่วชิงเองก็สามารถที่จะคาดเดาสถานะของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
เสิ่นรั่วชิงถึงกับขมวดคิ้วขึ้น
เย่อู๋เทียนที่อยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าก็สามารถคาดเดาได้ถึงสถานะของเกาเยว่หมิ่น แต่เป็นเพราะว่าหญิงสาวคนนี้มีอายุยังน้อย จึงไม่อยากที่จะใส่ใจอะไรกับหล่อนมาก เพียงแค่พูดขึ้นคำหนึ่งว่า: “หากกล้าพูดอะไรที่ไร้สาระอีก ฉันจะให้คนมาฉีกปากของเธอซะ”
เกาเยว่หมิ่นราวกับได้ยินคำพูดที่น่าขันอย่างมาก จึงพูดขึ้นอย่างกำเริบเสิบสานว่า: “นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ถึงกล้ามาถกเถียงกับฉันที่นี่! ”
ขณะที่พูด เกาเยว่หมิ่นก็หันหน้ามองไปที่เพื่อนชายด้านข้างของเธอ และพูดว่า: “อาชง ไปสั่งสอนไอ้ผู้ชายชาติชั่วคนนี้หน่อยสิ ฉันพูดคุยกับไอ้เด็กเถื่อนเสิ่นรั่วชิงอยู่ เขากล้าดีอย่างไรถึงได้มาพูดแทรก? เมื่อครู่ก็แค่พูดเกรงใจเป็นพิธีกับเขาเล็กน้อย เขายังจะคิดว่าตนเองเป็นคุณชายที่ร่ำรวยมาจากตระกูลไหนอีกเหรอ? ไอ้บ้านนอก! ”
ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างของเกาเยว่หมิ่น มีอายุประมาณยี่สิบปี ใบหน้าขาวนวล รูปลักษณ์ราวกับว่าเป็นดาราหนุ่มหน้าใส แม้ว่าตระกูลจะร่ำรวย แต่ก็เป็นแค่คุณชายในตระกูลระดับสอง เมื่อเทียบกับเกาเยว่หมิ่นแล้ว ห่างไกลกันลิบลับ
โดยทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าของเกาเยว่หมิ่นแล้ว ก็จะรับฟังคำสั่งทุกอย่าง
เพียงแค่พูดคำเดียว
ชื่อของเขาไม่สำคัญ แต่สมญานามของเขานั้น โด่งดังอย่างมากในเมืองเจียงหนาน
นั่นก็คือสุนัขรับใช้ของเกาเยว่หมิ่น!
นอกจากจะมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาแล้ว ก็ยังมีวิชาบู๊ติดตัวอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้เคยได้อาศัยเส้นสายความสัมพันธ์ของตระกูลเกา แสดงบทพระรองในภาพยนตร์บู๊เรื่องหนึ่งมาแล้ว
มีแฟนคลับเป็นของตนเอง
ดังนั้นในด้านของนิสัยการปฏิบัติตัว ก็แทบจะไม่แตกต่างอะไรกับเกาเยว่หมิ่นเลย
แต่สิ่งที่แตกต่างกับเกาเยว่หมิ่นก็คือ เขาไม่ชอบที่จะพูดจากำเริบเสิบสาน ชอบที่จะแกล้งทำเป็นเฉยชา
ในสายตาของพวกหญิงสาวจำนวนมากที่รู้จักเขานั้น เขาก็จะเป็นในแบบเทพบุตรเฉยชา โดยปกติตอนที่ไปเที่ยวไนต์คลับ ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน หากว่าสามารถลงมือจัดการได้ก็จะลงมือจัดการเลย
เวลานี้ อาชงได้เดินขึ้นมาด้านหน้า ร่างกายที่สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร มักจะให้ความรู้สึกว่าเก่งกาจมีความสามารถอย่างมาก จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เย่อู๋เทียน และพูดว่า: “ตบหน้าของตนเองซะ ฉันเกียจคร้านที่จะลงมือกับคนอย่างนายนี้”
เย่อู๋เทียนไม่แม้แต่จะไปสนใจอาชง ได้แต่มองไปที่ผิงเสี่ยวหลิงเท่านั้น
แม้ว่าผิงเสี่ยวหลิงจะเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งผิงปู๋จิ้ว แต่ในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียงแล้ว กลับได้รับการขนานนามว่าเป็นหมอเทวดา
ติดอยู่ที่ในเรื่องอายุของตนเอง ผิงเสี่ยวหลิงจึงไม่อยากที่จะลงมือกับอาชง เพียงแค่สะบัดข้อมือ ก็มีเข็มเงินเล่มหนึ่งปรากฏออกมาจากนิ้วของเขาโดยพลัน จากนั้นก็โยนพุ่งเข้าไปที่ช่วงท้องน้อยของอาชง
เข็มเงินไร้เสียง ได้มุดจมเข้าไปในจุดชีพจรตรงบริเวณกระเพาะปัสสาวะของอาชง
ทันใดนั้น อาชงก็รู้สึกว่าตัวสั่น ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วก็ปัสสสาวะรดกางเกง
อาชงตะลึงงันเลยทีเดียว
อาชงยืนอยู่กับที่ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวไปไหน
แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร ก็ยังอดทนไม่ไหว และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า มีความอบอุ่นที่ไหลลงมายังขากางเกงของตน
กางเกงสูทเปียกปอนไปหมดแล้ว
สีหน้าท่าทางที่เย็นชาของอาชงนั้น ก็เปลี่ยนไปจนพูดอะไรไม่ออกเลย
ใบหน้าที่ขาวนวลราวกับหยก ก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ
เกาเยว่หมิ่นเห็นว่าอาชงยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่เคลื่อนไหว จึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า: “มัวทำอะไรอยู่? ฉันบอกให้นายไปสั่งสอนไอ้ผู้ชายชาติชั่วคนนั้นที่อยู่ด้านข้างเสิ่นรั่วชิง! เพียงแค่ชายวัยกลางคนที่เป็นสุนับรับใช้ของไอ้ผู้ชายชาติชั่วนี้ ก็ทำให้นายหวาดกลัวถึงขนาดนี้เลยเหรอ? ”
ขณะที่ผิงเสี่ยวหลิงลงมือนั้น นอกจากเย่อู๋เทียนแล้ว แม้แต่เสิ่นรั่วชิงเองก็ไม่ทันสังเกตเห็น ซึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่เป็นวิชาบู๊อะไรเลยอย่างเกาเยว่หมิ่น
เกาเยว่หมิ่นเห็นว่าอาชงยังคงยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว จึงรับรู้ได้ว่ามีอะไรที่ผิดปกติ จึงพลันมองไปที่ขากางเกงของอาชง แล้วก็ถึงกับเบิกตาโพลง อุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า: “นาย นายนายนาย……ทำไมนายถึงทำอะไรที่น่ารังเกียจแบบนี้? ”
อาชงยังจะมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้อีกที่ไหนล่ะ ยกขาแล้วก็รีบวิ่งเผ่นไปในทันที
แทบจะใช้ความเร็วอย่างกับการวิ่งหนึ่งร้อยเมตร เพื่อวิ่งออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลฉาว
เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เกาเยว่หมิ่นตกตะลึงจนตาค้าง ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!
แต่หลังจากที่เกาเยว่หมิ่นมองตามไปยังทิศทางที่อาชงวิ่งเผ่นออกไปนั้น ก็มองเห็น เงาร่างที่งดงาม ที่กำลังเดินอยู่กับผู้หญิงในชุดเดรสคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้
เงาร่างที่งดงามนั้น หากไม่ใช่เกาเยว่หลูลูกพี่ลูกน้องของเธอแล้วจะเป็นใครไปได้?
สำหรับผู้หญิงที่อยู่ในชุดเดรสนั้น……
พระเจ้า!
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเฉิงโม่หนงผู้บริหารสูงสุดของเทียนจวิน กรุ๊ป!
เกาเยว่หลูพี่สาวของตน คิดไม่ถึงว่าจะผูกมิตรกับผู้หญิงอย่างเฉิงโม่หนงได้แล้ว!
แม้ว่าเกาเยว่หมิ่นจะไม่ชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้อาชงต้องวิ่งหนีออกไป แต่เมื่อเห็นว่าด้านหลังของเกาเยว่หลูยังมีบอดี้การ์ดอยู่คนหนึ่ง และด้านข้างของเฉิงโม่หนงก็ยังมีผู้หญิงห้าวคนหนึ่งติดตามมาด้วย……
เกาเยว่หมิ่นหันหลังมา แล้วจ้องมองไปยังเย่อู๋เทียนอย่างโหดเหี้ยม และพูดว่า: “ไอ้หนุ่ม วันนี้นายจะต้องตายแน่! เกาเยว่หมิ่นคือพี่สาวของฉัน! เดี๋ยวฉันจะให้บอดี้การ์ดพี่สาวฉันจัดการทุบตีนายจนแม้แต่แม่ของนายเองก็ยังจะจำไม่ได้เลย! ”
สีหน้าของเย่อู๋เทียนไม่ค่อยจะดีนัก
เพราะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ในคฤหาสน์ตระกูลฉาว จะพบเจอกับคนที่โง่เขลาอย่างเกาเยว่หมิ่นนี้ได้ มันช่างโง่เขลากว่าเกาเยว่หลูเสียอีก!
เกาเยว่หลูที่เดินตามหลังเฉิงโม่หลงมานั้น ก็มองเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าสีหน้าของเย่อู๋เทียนผิดปกติ จึงเกิดความกังวลใจอย่างมาก
เพราะเธอรู้ดีว่าเกาเยว่หมิ่นนั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไร
แต่ละวันเอาแต่สร้างเรื่องสร้างปัญหาไปทั่ว
เกาเยว่หลูตั้งใจที่จะเดินหันหลังกลับไป เพราะต่อให้เธอมาแล้ว ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
ไม่เพียงแต่ยากที่จะช่วยแก้ต่างให้กับเกาเยว่หมิ่น แม้แต่ตัวเธอเองหากไม่ถูกเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงดุด่าก็ถือว่าดีมากแล้ว
ตอนนี้เธอหวาดกลัวเย่อู๋เทียนกับเสิ่นรั่วชิงเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสิ่นรั่วชิง
เพราะว่าเย่อู๋เทียนถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย เป็นพี่เขยของเธอ เพียงแค่เธอไม่ทำผิดอะไรที่ร้ายแรง ก็คงไม่ถึงกับถูกลงโทษ
ส่วนเสิ่นรั่วชิงนั้นแตกต่างกัน
แม้แต่หานเฟิงอี้จากตระกูลหานแห่งตี้ตูก็ยังกล้าที่จะตบ แล้วยังจะมีอะไรที่เธอไม่กล้ากระทำอีก?
แต่ ขณะที่เกาเยว่หลูกำลังจะหันหลังเดินกลับไปนั้น เกาเยว่หมิ่นก็ได้ตะโกนเรียกเธอขึ้น: “พี่สาว เธอรีบมานี่หน่อยสิ ให้บอดี้การ์ดของเธอช่วยฉันต่อยตีสักยก แม่งสิ ไอ้เด็กเถื่อนเสิ่นรั่วชิงนี้ไม่รู้ว่ามันไปหาไอ้หนุ่มเถื่อนคนนี้มาจากที่ไหน ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก! ”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา เกาเยว่หลูก็ถึงกับโกรธขึ้นทันที
เธอวิ่งเหยาะ ๆ มาด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง ไม่พูดไม่จาอะไร แล้วก็ตบเข้าไปที่ใบหน้าของเกาเยว่หมิ่น ยังไม่จบเท่านี้ เธอยังจะหยิกไปเข้าไปที่เนื้อบริเวณเอวของเกาเยว่หมิ่น แล้วบิดหมุนสามร้อยหกสิบองศาเลย
เกาเยว่หมิ่นเจ็บจนต้องร้องโอดครวญออกมา ร้องไห้เสียงดังอยู่กับที่ โค้งตัวและร้องวิงวอน: “พี่สาว! นี่เธอทำอะไรเนี่ย? ฉันทำอะไรผิดเหรอ? แล้วเธอกำลังทำอะไร? !”
เกาเยว่หลูปล่อยมือออกจากเนื้อตรงที่เอวของเกาเยว่หมิ่น แล้วเปลี่ยนจุด หยิกเข้าไปอีกครั้ง ทั้งกัดฟัน และก็หยิกไปด้วย พร้อมกับพูดขึ้นว่า: “หากโวยวายอีกฉันจะหยิกแกให้ตายไปเลยไอ้เด็กเวร! รีบกล่าวขอโทษต่อพี่สาวและพี่เขยของเราเดี๋ยวนี้! ”
ในขณะเดียวกัน เสียงร้องโอดครวญของเกาเยว่หมิ่นก็ได้ดึงดูดแขกให้หันมามองเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญก็คือ เจ้าของงานวันเกิดในวันนี้ ฉาวซิง ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว และขณะปรากฏตัวขึ้นนั้น ก็ถูกการกระทำทางนี้ดึงดูดสายตา แต่ที่สังเกตเห็นนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นเกาเยว่หมิ่นที่กำลังร้องโอดครวญ ยังจะมีผิงเสี่ยวหลิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปจากเย่อู๋เทียนมากนัก
หลี่จิงหงจากตระกูลหลี่แห่งเมืองหนานกั่ง ก็เดินตามออกมาพร้อมกับกับฉาวซิงด้วย
เมื่อสังเกตเห็นผิงเสี่ยวหลิง ก็รีบเดินเข้ามาโดยเร็ว และตะโกนเรียกผิงเสี่ยวหลิงมาแต่ไกล: “อาจารย์! ”
ด้านเกาเยว่หลูก็ได้ปล่อยมือออกจากเกาเยว่หมิ่นแล้ว
แม้ว่าเกาเยว่หมิ่นจะเจ็บปวดทรมานจนไม่เหลือรูปลักษณ์ที่สวยงามอีกแล้ว แต่ในขณะที่มองเห็นหลี่จิงหงนั้น ก็เข้าใจอะไรขึ้นได้ทันที
มิน่าล่ะที่เกาเยว่หลูทำไมถึงได้สั่งสอนตัวเองอย่างหนักขนาดนี้ ที่จริงแล้วหล่อนไม่ได้เกรงกลัวผู้ชายคนที่อยู่ด้านข้างเสิ่นรั่วชิง แต่เกรงกลัวชายวัยกลางคนในชุดราชวงศ์ถังที่ยืนอยู่ด้านหน้าของผู้ชายคนนั้นต่างหาก!