จอมนักรบอหังการ - บทที่ 33 หยางเฟยเอ๋อร์ที่ตกใจ!
จอมนักรบอหังการ บทที่ 33 หยางเฟยเอ๋อร์ที่ตกใจ!
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไม่ได้อย่างแน่นอน!
ในระหว่างนี้ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!
อีกอย่าง ท่านโจวก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ทั้งชีวิตเป็นไปไม่ได้ว่าจะเขียนแค่ “ประเทศสงบ ประชาร่มเย็น” แค่แผ่นเดียว?
แต่การกระทำต่อไปนี้ของโจวไป๋เซิง ทำให้ใจของหยางเฟยเอ๋อร์มีความสงสัยเพิ่มขึ้น
ก็เห็น โจวไป๋เซิงลุกขึ้นมากะทันหัน พูดกับเย่อู๋เทียน
“ศิษย์พี่ รีบพาฉันไปที่หน้างานหน่อย วันนี้มีลม ฉันเกรงว่าหากถึงช้าเกินไป มันจะมีผลต่อร่องรอยของตัวอักษร!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โจวไป๋เซิงก็รีบพูดสั่งการฉู่เหวินเต้า
“เหวินเต้า รีบไปเตรียมอุปกรณ์เก็บรอยอักษร วันนี้อาศัยบุญของอาจารย์ลุงของนาย โอกาสสร้างชื่อของเราสองคนมาอีกแล้ว!”
“ครั้งนี้ ต้องดังระเบิดอย่างแน่นอน!”
เมื่อกี้ที่โจวไป๋เซิงดูรูปในมือถือของเย่อู๋เทียนนั้น ฉู่เหวินเต้าที่อยู่ด้านข้างก็ได้เหลือบมองตัวอักษรสี่ตัวนั้นไปแวบหนึ่ง
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงใจเต้นระทึก มันถึงขั้นช็อกเลยล่ะ!
โจวไป๋เซิงแม้จะฝึกเขียนหนังสืออยู่แต่บนชั้นสองของสำนักอักษรทั้งวัน ฉู่เหวินเต้านั้นกลับออกไปเป็นประจำ
โดยเฉพาะเช้านี้ตอนที่เขาไปซื้ออาหารเช้าที่ข้างถนนชิงเฟิง สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขาช็อกจนพูดไม่ออก
ฝ่าบาท มาที่เมืองเจียงไห่ด้วยตัวเอง!
ได้กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามหนึ่งร่วมกับชายหนุ่มที่สวมเสื้อกล้ามและรองเท้าแตะ!
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนแก่คนนั้นยังช่วยชายหนุ่มที่สวมเสื้อกล้ามเปิดประตูรถ!
ตอนนี้เมื่อมองไปยังการแต่งกายของเย่อู๋เทียนอีกครั้ง………
ฉู่เหวินเต้าไม่กล้าที่จะคิดภาพต่อแล้ว ตื่นเต้นจนระดับการเต้นของหัวใจพุ่งกระฉูดไปถึงร้อยยี่สิบ!
ตามมาด้วย ฉู่เหวินเต้าจึงรีบไปเตรียมอุปกรณ์เก็บคัดลอกตัวอักษร
หยางเฟอเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาไปสองที ก็ถือโอกาสพูดขึ้น
“เย่อู๋เทียน พวกนายจะไปทำอะไร? ฉันขอไปด้วยได้มั้ย? รถฉันแรงมาก!”
สิ่งที่หยางเฟยเอ๋อร์คิดในใจไม่ว่าเย่อู๋เทียนกับโจวไป๋เซิงจะไปทำอะไร ตัวเองต้องตามไปด้วย
อย่างไรเสีย เธอที่จะได้อักษรพู่กันจีนของฉู่เหวินเต้า มันก็ถือเป็นความโชคดีอย่างมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของฉู่เหวินเต้าเมื่อกี้ก็ได้รับปากกับตัวเธอแล้ว จะเขียนตัวอักษรพู่กันจีนให้กับเธอด้วยตัวเอง
นี่ถือเป็นเกียรติมากแค่ไหน?!
ไม่มีทางที่จะปล่อยโอกาสที่หนึ่งพันปีถึงจะมีสักครั้งนี้ไปได้!
ขอเพียงโจวไป๋เซิงเขียนตัวอักษรพู่กันจีนให้บริษัทของเธอ เธอเพียงแค่โพสต์ลงในโซเชียลของตัวเอง ก็จะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานกับเธออย่างแน่นอน!
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คืออักษรพู่กันจีนหนึ่งชุดของโจวไป๋เซิง ยังมีค่ามากกว่าบริษัทของเธอเสียอีก!
การค้าแบบนี้ ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก!
เป็นขี้ข้า!
ต้องเป็นขี้ข้าให้พวกเขา!
ไม่ว่าเย่อู๋เทียนเด็กกากคนนี้ทำไมถึงกลายเป็นศิษย์พี่ของท่านไจว!
กอดขาของเขาเอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที!
ถึงอย่างไรแค่คำพูดเดียวของเย่อู๋เทียน ก็สามารถทำลายกฎที่ท่านโจวเคยตั้งไว้ด้วยตัวเอง!
ขี้ข้านี้ วันนี้ต้องเป็นให้ได้!
เมื่อคิดได้แบบนี้ คนที่รักเงินอย่างหยางเฟยเอ๋อร์ สายตาที่มองเย่อู๋เทียน ก็เต็มไปด้วยแสงที่เปล่งประกาย!
เด็กกากในตอนนั้น วันนี้ได้กลายเป็นที่พึ่งที่มีค่าของตัวเองเสียแล้ว!
อารมณ์ดีมาก!
แน่นอน เรื่องก็ดำเนินมาถึงตรงนี้แล้ว ต้องนิ่งเข้าไว้!
หยางเฟยเอ๋อร์เข้าใจว่า
ต่อให้ตัวเองต้องขอร้องเย่อู๋เทียน
ก็ไม่ควรที่จะทำตัวไร้ค่าต่อหน้าเด็กกากคนนี้
อย่างไรเสีย หน้าก็ยังสำคัญ!
ในฐานะตัวเธอเป็นถึงประธานของบริษัทที่มีมูลค่าทรัพย์สินนับสิบล้านหยวน หากให้เย่อู๋เทียนได้เด็กกากเห็นรถสปอตหลักล้านของเธอ เขาคงช็อกแน่!
หยางเฟยเอ๋อร์รู้สึกมีความสุขกับการที่เหนือกว่าคนอื่น
ก็คือการแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา ให้กับเด็กกากที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นในอดีตได้เห็น!
เธอรวย!
เธอรวยมาก!
เธอคือไฮโซ!
เธอคือเศรษฐินี!
แต่คำพูดเพียงประโยคต่อไปของเย่อู๋เทียน กลับทำให้หยางเฟยเอ๋อร์หดหู่เล็กน้อย
“ฉันก็ขับรถมาเหมือนกัน น่าจะพอนั่ง”
หยางเฟยเอ๋อร์บ่นพึมพำในใจ
การแต่งตัวของนาย รวมกันยังไม่ถึงสองร้อยหยวนเลยมั้ง?
จะขับรถอะไรได้?
อย่างไรก็ตาม แบบนี้ก็ยิ่งเดี คนแข่งกับคน มันทำยิ่งทำให้คนทุกข์ใจ รถแข่งกับรถ รถสัปปะรังเคของนายก็ไม่ต้องขับแล้ว!
เย่อู๋เทียน ไอ้เด็กกาก เมื่อก่อนนายไม่ไว้หน้าหัวหน้าห้องอย่างฉันเลย แม้แต่การบ้านก็ไม่ส่ง!
วันนี้ฉันจะทำให้นายรู้ อะไรที่เขาเรียกว่าการที่พยายามต่อสู้จะทำให้เรากลายเป็นคนรวย!
แต่ว่า เมื่อคนทั้งกลุ่มเดินออกไปจากสถานสอนเขียนพู่กันจีนโจวจวิน
หน้าของหยางเฟยเอ๋อร์ ก็แตกดังเพรี้ยง
ด้านหน้าสำนักอักษร จอดไว้ด้วยรถสปอตหรูคันหนึ่ง ปอเช่รุ่นท๊อปสองล้านกว่าหยวน!
งานศิลปะที่คล่องตัว!
เพิ่งความน่าเกรงขามได้อย่างมาก เพิ่มบารมีได้อย่างมาก
แต่เมื่อหยางเฟยเอ๋อร์กำลังจะหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าของเธอ เธอกฌแกล้งทำเป็นกดเบาๆไปหนึ่งที
เย่อู๋เทียนกลับล้วงกุญแจออกมาจากในกระเป๋ากางเกงตัวใหญ่แล้ว จากนั้นกดบุ่มเปิด รถไมบัส(MAYBACH)ราคากว่าสิบล้านหยวน ที่จอดอยู่ถนนที่อยู่ตรงข้าม ไฟรถก็สว่างขึ้นในทันที
หยางเฟยเอ๋อร์งงเป็นไก่ตาแตก
รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เมื่อกี้กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็เห็นเย่อู๋เทียนกดกุญแจอีกครั้ง แล้วก็สั่งฉู่เหวินเต้า
“เอากล่องเครื่องมือไปวางที่ท้ายรถเถอะ”
“ครับ อาจารย์ลุง”
ฉู่เหวินเต้าที่ถือกล่องอุปกรณ์เอาไว้ ก็วิ่งเหยาะๆไปทางรถไมบัส
โจวไป๋เซิงกลับพูดว่า
“ศิษย์พี่ รถของคุณแก่เกินไป ไม่เหมาะกับอายุของคุณเลยนะ”
เย่อู๋เทียนยิ้มๆ
“ไม่ใช่รถของผม คุณรู้จักเฉาปั้นเสียนหรือท่านเฉาใช่มั้ย? พ่อของจ้านหยางน่ะ จ้านหยางได้ยินว่าผมกลับมา ก็เลยรีบกลับมา แล้วก็จัดการให้พ่อเขาจัดรถให้ผมหนึ่งคัน ผมออกมาอย่างรีบๆ ก็เลยขับคันนี้ออกมาก่อน นั่งเบียดๆกันไป”
การโอ้อวดที่เนียนแบบนี้ เกือบเอาชีวิตคน
หยางเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างไม่ใช่แค่เอ๋อกิน แต่แข็งทื่อไปแล้ว
จ้านหยาง?
ตัวหนังสือสองตัวนี้ เห็นได้น้อยมา
อีกอย่าง ค้นหาข้อมูลทั่วสมองแล้ว ก็นึกได้แค่คนเดียว
หัวหน้าแห่งร้อยแม่ทัพแห่งประเทศหลง เฉาจ้านหยาง
เพ้อเจ้อ!
ต้องเพ้อเจ้ออย่างแน่นอน!
เด็กกากในอดีต หลังจากที่เจอเธอแล้ว น่าจะตื่นเต้นมาก เลยอยากจะโอ้อวดต่อหน้าเธอ มันเป็นเรื่องปกติ
ใครใช้ให้เธอเป็นดาวโรงเรียนละ?
หยางเฟยเอ๋อร์ยังคงพูดกล่อมตัวเองแบบนี้
แต่สิ่งที่ทำให้หยางเฟยเอ๋อร์คิดไม่ถึงคือ สถานที่ที่จะไปในครั้งนี้ กลับเป็นคฤหาสน์ตระกูลเย่!
เย่อู๋เทียนก็แซ่เย่ ระหว่างสองอย่างนี้ หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน?
เมื่อมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเย่ ประตูก็ค่อยๆถูกเปิดออก
เย่อู๋เทียนก็ขับรถเข้าไปเลย
หยางเฟยเอ๋อร์ สั่นไปทั้งตัว
เย่อู๋เทียน เป็นคนของตระกูลเย่ซึ่งเป็นตระกูลอันดับต้นๆของเมืองเจียงไห่จริงๆ!
ญาติ!
ต้องเป็นแค่ญาติอย่างแน่นอน!
ไม่อย่างนั้น เมื่อก่อนตอนเรียนทำไมถึงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของตระกูลเย่?
หากเขาเป็นลูกหลานตระกูลเย่ งั้นเขาก็ถ่อมตนเกินไปแล้ว!
ไม่นาน เย่อู๋เทียนก็ได้ขับเข้าไปหน้าสวนดอกไม้ของคฤหาสน์ตระกูลเย่
หยางเฟยเอ๋อร์ที่เพิ่งจะลงรถ
ก็ต้องช็อกกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
ประธานหญิงของเย่ซื่อ กรุ๊ปเสิ่นจูนอี๋ กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตัวอักษรสี่ตัวนั้น
ท้องฟ้าแจ่มฟ้า อากาศร้อนแรง
แก้มที่ขาวนวลของเสิ่นจูนอี๋ถูกตากแดดจนมันเยิ้มไปแล้ว
เห็นเย่อู๋เทียนลงมาจากบนรถ น้ำตาของเสิ่นจูนอี๋ไหลราวกับสั่งได้ พูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว หากพี่ยังไม่กลับมาอีก ฉันต้องกลายเป็นปลาแห้งแน่!คุกเข่าไปนานขนาดนี้ จริงใจพอยัง? พี่ก็ปล่อยฉันเถอะ ฉันรู้ตัวว่าผิดแล้วจริงๆ!”
เย่อู๋เทียนไม่ได้สนใจเสิ่นจูนอี๋เลย ชี้ไปยังสี่ตัวอักษรที่อยู่บนพื้น แล้วพูดกับโจวไป๋เซิง
“อักษรสี่ตัวนี้แหละ ต้องคัดลอกออกมาให้อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น”
โจวไป๋เซิงมองดูสี่ตัวอักษรที่อยู่บนพื้น แล้วก็มองเสิ่นจูนอี๋
“คนนี้คือ…….”
เย่อู๋เทียนโบกมือห้าม
“ไม่ต้องสนใจเธอ ก็แค่คนดื้อรั้นไร้เหตุผลคนหนึ่งเท่านั้น”
เสิ่นจูนอี๋ได้ยินคำพูดนี้ ไม่โกรธเลย ไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว
ดื้อรั้นไร้เหตุผลก็ดื้อรั้นไร้เหตุผล
ขอเพียงมีชีวิตรอด มันก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น
หยางเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างงงไปหมดแล้ว มองเสิ่นจูนอี๋อย่างตาไม่กะพริบ
จำคนผิดเหรอ?
ในเมืองเจียงไห่ หรือวงการธุรกิจระดับประเทศ เศรษฐินีอันดับหนึ่งที่มากด้วยบารมีและอำนาจอย่างเสิ่นจูนอี๋ ทำไมถึงได้คุกเข่าอยู่บนพื้นแบบนี้?
หยางเฟยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลองเรียกไปหนึ่งครั้ง
“ประ ประธานเสิ่น?”
เสิ่นจูนอี๋สำหรับหยางเฟยเอ๋อร์ ก็เหมือนเป็นคนที่เธอไม่สามารถจะเอื้อมถึง
บริษัทที่หยางเฟยเอ๋อร์เปิดนั้น ต้องพึ่งพาบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้ในเครือเย่ซื่อ กรุ๊ปในการทำการค้า
นั่นก็หมายความว่า โดยปกติ การที่หยางเฟยเอ๋อร์อยากจะพบเสิ่นจูนอี๋นั้น ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
แต่ตอนนี้กลับได้เห็นแล้ว เห็นเสิ่นจูนอี๋กำลังคุกเข่าขอร้องเย่อู๋เทียนอยู่……..
ไอ้กากคนนี้ น่าจะไม่ได้แกล้งอวดแล้ว
น่าจะเจ๋งจริง!
เสิ่นจูนอี๋มองหยางเฟยเอ๋อร์ไปแวบหนึ่ง ก็ถามอย่างสงสัย “คุณคือ……..”
หยางเฟยเอ๋อร์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“หยางเฟยเอ๋อร์ จาก บริษัทแฟชั่น เฟยฉือ ก่อนหน้านี้บริษัทของเรา เพิ่งจะได้เงินมาจากบริษัทเงินทุนหยินหลิ่งที่อยู่ภายใต้บริษัทในเครือของคุณ ห้าล้านหยวน!”
สีหน้าของเสิ่นจูนอี๋ก็แดงขึ้นมาในทันที พูดด้วยเสียงที่เย็นเฉียบ
“เธอจะแน่แค่ไหนเชียว? รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ เรื่องในวันนี้ หากเธอกล้าพูดมันออกไป ฉันจะถลกหนังของเธอ!” หยางเฟยเอ๋อร์กลัวจนจะแย่อยู่แล้ว
เย่อู๋เทียนเหลือบมองเสิ่นจูนอี๋แวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชา
“หยางเฟยเอ๋อร์ เป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉัน”