จอมนักรบอหังการ - บทที่ 95 หากโลกไม่มีเย่อู๋เทียน ศิลปะการต่อสู้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
- Home
- จอมนักรบอหังการ
- บทที่ 95 หากโลกไม่มีเย่อู๋เทียน ศิลปะการต่อสู้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
จอมนักรบอหังการ บทที่ 95 หากโลกไม่มีเย่อู๋เทียน ศิลปะการต่อสู้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!
ถ้าเฉินเมิ่งเฉี่ยนแค่พูดถึงหลินกู่ฉานศิษย์พี่ของเธอเท่านั้น เรื่องคงง่ายยิ่งขึ้น
แต่เธอพูดถึงถังเจิ้งเฟิงไปทำไมกัน?
แถมยังบอกว่า หลินกู่ฉานต้องการช่วยถังเจิ้งเฟิงฆ่าเย่อู๋เทียน!
นี่แทบจะเป็นการหาเหาใส่หัวชัดๆ
และก็จริงๆ ด้วย
เมื่อเจียงฉางเซิงมองไปที่เย่อู๋เทียนอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ว่าบนตัวของเย่อู๋เทียนมีจิตสังหารแผ่ซ่านออกมา
จิตสังหารนี้
ราวกับทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนได้!
จนเป็นผลให้ขาของเจียงฉางเซิงอ่อนยวบลงและล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
เมื่อมองไปที่เย่อู๋เทียน เขาก็พยายามอธิบาย
“เข้าใจผิด!”
“ที่นี่มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น หวังว่าอาจารย์… จะยอมฟังคำอธิบายของกระผมได้!”
ในขณะนี้ เจียงฉางเซิงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง
เมื่อกี้เป็นเพราะเขาปากพล่อย หลุดปากพูดนามสกุลของเย่อู๋เทียนออกไป จนทำให้เขาสงสัย
จากนั้น เฉินเมิ่งเฉี่ยนก็เติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟและหลุดปากพูดออกไปอีก…
จนนำไปสู่เรื่องของหลินกู่ฉานและถังเจิ้งเฟิง!
ควรทำอย่างไรดี?
เมื่อเฉินเมิ่งเฉี่ยนเห็นเจียงฉางเซิงคุกเข่าอยู่บนพื้น เธอก็ค่อยตระหนักได้ว่าตนได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรง
ความตึงเครียดรุนแรงมากจนแทบจะหายใจไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเองก็ไม่กล้าสบตาเย่อู๋เทียน ราวกับว่าหากถูกเขามองก็จะถูกสูบพลังออกไปจากตัวจนหมด
น่ากลัวเกินไปแล้ว
บนโลกนี้ มีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?
ที่สำคัญที่สุดก็คือ
เฉินเมิ่งเฉี่ยนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง
สัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าก็คือคนที่อาจารย์ของเธอเจียงฉางเซิงรอคอยมาเจ็ดปีแล้วจริงๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปีนี้ เขายังอายุไม่ถึงสามสิบ
ชื่อว่า เย่อู๋เทียน!
ในวัยเท่านี้ ก็สามารถเอาชนะเจียงฉางเซิงอาจารย์ของเธอได้อย่างง่ายดาย
ยากที่จะจินตนาการถึงความสามารถศิลปะการต่อสู้ของเขาว่าน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด!
เย่อู๋เทียนมองไปที่เจียงฉางเซิง ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น
“พวกนายเป็นคนของถังเจิ้งเฟิง?”
หัวของเจียงฉางเซิงส่ายไปมาราวกับกลองป๋องแป๋งเพื่อเป็นการปฏิเสธ
“ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราไม่ใช่คนของถังเจิ้งเฟิง”
“พูดให้ถูกก็คือ ฉัน ฉันและถังเจิ้งเฟิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด สักกะติ้ดก็ไม่มีเลย”
“แต่ที่หนักคือลูกศิษย์วายร้ายของฉัน หลังจากจบการศึกษา เขาก็ยืนกรานลงจากภูเขาเพื่อไปทำงานในราชการ อีกทั้งยังต้องการช่วยถังเจิ้งเฟิงให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาปกครองชายแดนแห่งประเทศหลง
“เรื่องนี้ ฉันได้คัดค้านอย่างเต็มที่!”
“แต่…เด็กพอโตแล้วก็ยากฟังบุพการี ผมเองก็ไร้หนทาง ที่สำคัญที่สุดคือ ผมไม่เคยสนใจเรื่องทางโลกเลย!”
“พูดง่ายๆ ก็คือ ผมบริสุทธิ์ สำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมยก็บริสุทธิ์เช่นกัน!”
“คุณอย่าได้โกรธเด็ดขาด อย่าได้เอาความสำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมยและอย่าได้เอาความผมเลย!”
“ทั้งหมดล้วนเกิดจากหลินกู่ชานเจ้าศิษย์วายร้ายนั่น คุณไปโทษเขาก็พอ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด ผมถูกใส่ร้าย!”
คำพูดของเจียงฉางเซิงระเบิดออกมาเหมือนปืนกล
เฉินเมิ่งเฉี่ยนตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์หลังจากได้ฟัง
กี่ปีมานี้
ในสายตาของเธอ เจียงฉางเซิงเป็นบุคคลที่มีบุคลิกสูงส่งอยู่เสมอ
แม้ว่าเวลาพูดจาจะโอหังอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็รู้ดีกว่าใครๆ ว่าอาจารย์เจียงฉางเซิงมีคุณสมบัติให้เย่อหยิ่ง
อายุร้อยปี
พลังปราณสูงสุด ในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้!
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า
ต่อหน้าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบเช่นเย่อู๋เทียน หน้าตาและคุณธรรมล้วนไม่จำเป็นอีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น เจียงฉางเซิงถือว่าหลินกู่ฉานเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุด
มาตอนนี้ กลับบอกว่าหากสามารถตัดความสัมพันธ์ได้ก็จะตัดความสัมพันธ์!
แม้แต่ความลังเลก็ไม่มี
ทันใดนั้น เฉินเมิ่งเฉี่ยนก็รู้สึกเศร้าใจแทนเขาขึ้นมา
แม้แต่หลินกู่ฉาน เจียงฉางเซิงก็สามารถทอดทิ้งได้
แล้วเธอเฉินเมิ่งเฉี่ยน
เจียงฉางเซิงจะไม่ขายเธอทิ้งได้ภายในไม่กี่นาทีหรือไงกัน?
ณ จุดนี้ เฉินเมิ่งเฉี่ยน ไม่กล้าแม้แต่จะมองที่นิ้วเท้าของเย่อู๋เทียน
เย่อู๋เทียนเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการแสดงออกของเจียงฉางเซิง
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะถามเจียงฉางเซิงอีก
แต่จะให้เขาตายภายในฝ่ามือเดียวงั้นหรือไง?
นั่นช่างไม่คู่ควร.
เย่อู๋เทียนลังเลเล็กน้อยและออกคำสั่งเบาๆ
“ตอนเย็น ไปโรงแรมว่างไห่กับฉัน ไว้เจอลูกศิษย์ของนาย ทึกอย่างก็กระจ่างแล้ว”
เจียงฉางเซิงรีบยกมือขึ้นเพื่อหยุดเขาทันที
“ไม่ต้อง ยุ่งยากเกินไป ผมจะติดต่อหลินกู่ฉานไอ้วายร้ายนั่น ให้เขามาชี้แจงให้กระจ่าง!”
จากนั้น เจียงฉางเซิงก็หันกลับมาบอกเฉินเมิ่งเฉี่ยน
“โทรหาหลินกู่ฉานไอ้วายร้ายนั่นเร็วเข้า ให้เขามาขอโทษคุณเย่และชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้ละเอียด!”
เฉินเมิ่งเฉี่ยนโทรหาหลินกู่ฉานด้วยความตื่นตระหนก
ปิดเครื่อง
เจียงฉางเซิงโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว
“ปิดเครื่อง? เขากล้าปิดเครื่อง?”
“สัตว์เดรัจฉาน! นี่มันสัตว์เดรัจฉานชัดๆ!”
“ไปเถอะ พวกเราไปหาสัตว์เดรัจฉานนั่นกัน วันนี้ฉันจะฆ่าเขา!”
หลังจากพูดจบ เจียงฉางเซิงก็คำนับเย่อู๋เทียนอีกครั้งและคิดจะจากไป
เย่อู๋เทียนมองเจียงฉางเซิงอย่างเย็นชา
“ฉันพูดว่า วันนี้นายและลูกศิษย์หญิงของนายจะไปที่โรงแรมว่างไห่กับฉัน!”
“ทำไม เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรือไง คิดจะหนี?”
เจียงฉางเซิงไม่ได้พูดอะไร
เขาคิดจะหนีจริงๆ
อีกทั้งยังไม่ต้องการที่จะไปหาหลินกู่ฉานเลยสักนิด
เขาแค่ต้องการรีบแจ้งให้ลูกศิษย์ของสำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมยทราบทันที
ให้ทุกคนรีบม้วนเสื่อหนีไป
ไม่อย่างนั้น เย่อู๋เทียนก็มีแนวโน้มอย่างยิ่งที่จะไปยังสำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมย ด้วยตนเอง
และอาจทำลายสำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมยจนราบเป็นหน้ากลอง
เจียงฉางเซิงไม่สงสัยเลยสักนิด
เย่อู๋เทียนนั้นมีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
นั่นเพราะ…
เจียงฉางเซิงเองก็มีความแข็งแกร่งนี้เช่นกัน
หากเขารวบรวมกำลังของร่างกายทั้งหมดแล้วและปล่อยพลังปราณออกไป เพื่อฆ่าผู้คน เพียงนิ้วสามาถบดขยี้ศิลาได้ และเพียงกระทืบครั้งเดียวก็สามารถทลายยอดเขา!
เขายังมีความสามารถนี้
แล้วนับประสาอะไรกับเย่อู๋เทียนที่เอาชนะเขาด้วยหมัดเดียว?
จนถึงตอนนี้ เจียงฉางเซิงยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเย่อู๋เทียนมีขั้นพลังไปถึงไหนแล้วกันแน่!
อย่างน้อยๆ ก็คือพลังมืด!
แต่ขณะที่เจียงฉางเซิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เย่อู๋เทียนก็ถามเรียบๆ
“เจียงฉางเซิง นาย เคยได้ยินชื่อพลังเทพหรือไม่?”
เจียงฉางเซิงตกตะลึงไปและคำรามในทันใด
“อะไรนะ? คุณ คุณบรรลุถึงขั้นพลังเทพแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เย่อู๋เทียนยิ้ม
“ดูเหมือน นายจะยังมีความรู้อยู่บ้าง”
“อย่างไรก็ตาม ฉันแค่ถามว่านายเคยได้ยินไหมว่าพลังเทพ เป็นพลังขั้นที่สามของศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงทั้งสาม!”
“ส่วนฉันคือขั้นที่สี่!”
คำกล่าวนี้ อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของเจียงฉางเซิงไปแล้วแม้แต่ในจินตนาการทั้งหมดของเขาด้วยเช่นกัน
“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้!”
“บนโลกนี้ ไม่มีขั้นที่สี่!”
เย่อู๋เทียนยืนมือไขว้หลัง และเพียงตอบกลับไปหนึ่งประโยค
“มีฉันอยู่ ก็คือมี!”
เจียงฉางเซิงพูดไม่ออกอย่างสมบูรณ์
เนิ่นนาน
ในสมองมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้นที่นึกขึ้นได้
“ถ้าโลกไม่มีเย่อู๋เทียน ศิลปะการต่อสู้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!”
ในเวลานี้ เย่อู๋เทียนหันกลับมาและจับมือเสิ่นรั่วชิง ก่อนจะพูดเบา ๆ
“ไป ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ”
ไม่ช้า เย่อู๋เทียนและเสิ่นรั่วชิงก็จากไปอย่างสบายๆ
เจียงฉางเซิงและเฉินเมิ่งเฉี่ยนถูกทิ้งไว้ตรงนั้น และมึนงงราวกับไก่ตาแตก
ไม่รู้ว่าเนิ่นนานไปเท่าไหร่ เฉินเมิ่งเฉียนถึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามขึ้นมา
“อาจารย์ อะไรคือศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง?”
เจียงฉางเซิงอ้าปากแต่จากนั้นก็หุบลงอีก
ความหมายที่แท้จริงของศิลปะการต่อสู้ เขาเพิ่งมาถึงขั้นที่สอง ก็คิดไปว่าตนไร้ซึ่งคู่ต่อสู้แล้ว
ตอนนี้ดูเหมือนว่า” ””
ยังมีขั้นที่สี่?
ทันใดนั้น เจียงฉางเซิงก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เขาลุกขึ้นทันทีและไล่ตามเย่อู๋เทียนไป
“เจียงฉางเซิงแห่งสำนักบู๊แห่งเอ๋อเหมย จากนี้ไปยินดีรับฟังคำสั่งจากคุณเย่!”
“หลินกู่ฉาน…ผมขอรับประกันด้วยชีวิตของผม เขาก็เป็นแค่เด็กที่หมกมุ่นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ ไม่ได้มีความคิดใส่ใจกับเรื่องอำนาจและการเมืองเลย เขาก็เป็นแค่ตัวหมากรุกที่ถังเจิ้งเฟิงใช้เท่านั้น”
เย่อู๋เทียนมองย้อนกลับไปที่เจียงฉางเซิง และสั่งเสียงเรียบๆ
“ก่อนค่ำ พาถังเจิ้งเฟิงไปที่ โรงแรมว่างไห่ เพื่อพบฉัน ฉันจะถามเขาเป็นการส่วนตัว”