จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 12 การจัดเตรียมของฉินมู่ มรดกกล
ปลายทางเดิน มีแสงส่องประกายงดงามราวกับเชื่อมต่อกับอีกโลกหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนเดินหน้าต่อไป และพบว่าช่องทางมิติที่ระยิบระยับไปด้วยห้าสีกางกั้นอยู่เบื้องหน้าทุกผู้คน
ช่องทางมิติอีกแห่งงั้นรึ❓
ช่องทางมิตินี้ มันจะนำไปสู่ที่ไหนกัน❓
มีผู้ฝึกยุทธ์ใจกล้าก้าวเข้าไปในช่องทางมิติ
และร่างของเขาก็หายไปโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่เหลืออยู่ต่างก็พากันก้าวเดินไปที่ช่องทางมิติ
เสวี่ยหรูเยียนเหลือบมองไปที่เย่หลิงเสวี่ย หลังจากพยักหน้าให้ศิษย์ของนางแล้ว ทั้งคู่ก็เดินหน้าและก้าวเข้าไปในช่องทางมิติ
…………
วาบ❗️
แสงสว่างวาบ
ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกที่ผ่านช่องทางมิติเปิดตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
แต่แล้ว เขาก็ตกตะลึง
นี่มัน…เทือกเขาเทียนตวนไม่ใช่รึ❓
ข้าถูกส่งออกมางั้นรึ❓
ในขณะเดียวกัน ก็เกิดแสงสว่างขึ้นไปทั่วเทือกเขาเทียนตวน
ผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์พากันปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่ก้าวเข้าไปในช่องทางมิติ พวกเขาทั้งหมดก็ถูกส่งไปยังที่ต่างๆ ในเทือกเขาเทียนตวน
ทุกคนสับสนเป็นอย่างมาก
ในดินแดนลับนั้นเป็นแค่ทางเดินหนึ่งร้อยจั้งเท่านั้นรึ❓
พวกเขาย้อนกลับไปที่ตำแหน่งของช่องทางมิติและแหวนสำริด
แต่ปรากฏว่า ทั้งแหวนสำริดและช่องทางมิติล้วนหายไป
ผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่พบอะไร
จึงทำได้เพียงจากไปด้วยความเสียใจ
อย่างไรก็ตาม วีรกรรมของจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญได้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่โชคดีพอที่ได้เข้าไปในโถงแห่งนั้น
ผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ได้เข้าในโถงนั้นต่างก็ได้ถูกส่งกลับคืนไปยังเทือกเขาเทียนตวนแล้วก็จากไปกันจนหมด
เว้นแต่เพียงสองคน
ร่างของเสวี่ยหรูเยียนและเย่หลิงเสวี่ย หญิงสาวทั้งสอง ไม่ได้ปรากฏออกมาเลย
ที่แห่งหนึ่งในเทือกเขาเทียนตวน ฉินมู่เล่นกับแหวนสำริดในมือพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
แน่นอนว่า ผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ถูกส่งกลับไปทั้งหมด
เสวี่ยหรูเยียนและเย่หลิงเสวี่ย หลังจากผ่านการทดสอบที่ฉินมู่กำหนดไว้ในด่านแรกแล้วก็ถูกส่งไปยังโถงโบราณซึ่งอยู่ด้านหลังโถงทางเดินนั้น
ส่วนผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นๆ ไม่มีใครผ่านการทดสอบของฉินมู่จึงเป็นธรรมดาที่จะส่งพวกเขากลับไป
และก็ยังมีข้อดีอีกอย่างในการทำเช่นนั้น
นั่นก็คือ ผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์คนอื่นๆ ก็จะคิดว่าดินแดนลับนี้จบแล้วและไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก
พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีดินแดนลับอื่นๆ อีกในอนาคต
ด้วยวิธีนี้ ผู้ที่ผ่านการทดสอบและได้รับมรดกของจอมจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญซึ่งมอบให้โดยฉินมู่นั้นจะได้รับประกันความปลอดภัยและจะไม่ถูกผู้อื่นหมายตา
สำหรับการทดสอบของฉินมู่ในด่านแรกนั้น ถือว่าเรียบง่ายมาก
นั่นก็คือการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่ละคนหลังจากเห็นจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้❗️
แน่นอนว่า มรดกของจอมจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญไม่อาจมอบให้คนทั่วไปได้ ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ แต่ยังจะทำให้ชื่อของจอมจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญเสื่อมเสียอีกด้วย
คนทั่วไปไม่คู่ควรที่จะได้รับมรดกของจอมจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญ❗️
แต่มรดกของผู้เหี้ยมหาญ ไม่เกี่ยงเรื่องพรสวรรค์
สิ่งที่สำคัญคือ ความนึกคิดของผู้ฝึกยุทธ์❗️
แต่ละคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันหลังจากรู้เนื้อหาบนจิตรกรรมฝาผนังเหล่านั้น
บ้างตกใจ บ้างกลัว บางคนก็นับถืออย่างสูงส่ง
แต่ผู้ที่ฉินมู่มองหาคือ คนประเภทที่เมื่อผ่านเส้นทางจักรพรรดิของจอมจักรพรรดินีผู้เหี้ยมหาญแล้วก็แสดงความเคารพแต่ก็ไม่กลัว แม้ว่าจะชื่นชมผู้เหี้ยมหาญแต่ก็มีจิตใจที่มั่นคงและเห็นแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์❗️
ไม่ใช่พวกคนหัวอ่อนที่อาจหันไปหาเผ่าพันธุ์โบราณเมื่อใดก็ได้ หากเขามอบมรดกของผู้เหี้ยมหาญให้กับคนเช่นนั้น จะไม่เป็นการตบหน้าฉินมู่หรอกรึ❓
ฉินมู่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
ในฐานะที่เป็นผู้สร้างดินแดนลับ ทุกการกระทำของทุกคนในดินแดนลับ ทุกการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน แม้แต่ความคิดในจิตใจ ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉินมู่ไปได้
และหลังจากคัดกรองแล้วก็เหลือเพียงเสวี่ยหรูเยียนและเย่หลิงเสวี่ยเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ
ดังนั้น จึงมีเพียงพวกนางเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่ห้องโถงด้านหลังทางเดินนั้นโดยฉินมู่ ส่วนคนอื่นๆก็ถูกเขาส่งออกไปจนหมด
…………
วาบ❗️
แสงสว่างวาบ
เสวี่ยหรูเยียนและเย่หลิงเสวี่ยเปิดตาขึ้น ก็พบว่าพวกนางอยู่ในโถงโบราณ
โถงโบราณนั้นว่างเปล่าและไม่มีการตกแต่งใดๆ มีเพียงโต๊ะวางอยู่ตรงกลาง
บนโต๊ะมีคัมภีร์โบราณอยู่สองเล่ม สร้างบรรยากาศที่เรียบง่ายและกว้างใหญ่
“อาจารย์❗️”
เย่หลิงเสวี่ยมองไปทางเสวี่ยหรูเยียนด้วยดวงตามีฉายแววความกังวล นางเกรงว่าอาจมีภัยอันตรายอยู่ที่นี่
“น่าจะไม่เป็นอะไร”
เสวี่ยหรูเยียนมองเย่หลิงเสวี่ยอย่างสบายใจ และเริ่มวิเคราะห์
“การจัดเตรียมดินแดนลับเหล่านี้น่าจะเป็นฝีมือของยอดฝีมือที่มีระดับพลังยุทธ์เหนือกว่าอาจารย์มาก หากที่นี่มีอันตรายจริงๆ อาจารย์ก็ไม่อาจต่อกรได้ ดังนั้นจึงเปล่าประโยชน์ที่จะกลัว”
เสวี่ยหรูเยียนปลอบโยนเย่หลิงเสวี่ย จากนั้นก็พานางไปที่โต๊ะที่อยู่ตรงกลางห้องโถง
จนทั้งสองเดินไปถึงโต๊ะและหยิบม้วนคัมภีร์โบราณขึ้นมาก็ยังไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้น
“ฟู่”
แม้ว่าจะมั่นใจ เสวี่ยหรูเยียนก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
นางคลี่ม้วนคัมภีร์ในมือออกอย่างระมัดระวังจากนั้นก็ตกตะลึง
ม้วนคัมภีร์โบราณนั้นว่างเปล่า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีหมอกบางๆ ปิดบังอยู่บนคัมภีร์ ซึ่งทำให้นางไม่อาจมองเห็นเนื้อหาได้
เสวี่ยหรูเยียนพยายามคลายการปิดกั้นนี้ แต่หลังจากพยายามอยู่สองสามครั้ง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
เนื่องจากข้อจำกัดในม้วนคัมภีร์นี้ ด้วยระดับพลังยุทธ์ของนาง ไม่มีทางที่คลายมันออกได้เลย
อีกด้านหนึ่ง เย่หลิงเสวี่ยหยิบม้วนคัมภีร์โบราณขึ้นมาแล้วคลี่ออกเบาๆ
ทันใดนั้น กลิ่นอายแห่งความยิ่งใหญ่และสูงส่งก็แผ่ออกมาจากม้วนคัมภีร์❗️
บนม้วนคัมภีร์นั้น ความรู้พรั่งพรูออกมาราวกับจะระเบิดออก มันเต็มไปด้วยตัวอักษรอัดแน่นอยู่บนนั้น โดยที่แต่ละตัวอักษรนั้นประดุจดวงดาว ราวกับว่ามันมีพลังที่จะทำลายฟ้าดินได้
บริเวณท้ายม้วนคัมภีร์ ตัวอักษรไม่กี่ตัวที่กว้างใหญ่ราวกับดวงอาทิตย์ พุ่งออกมาทีละตัว ฉายอยู่ในมิติเบื้องหน้าหญิงสาวทั้งสอง
ตัวอักษรแต่ละตัวนั้นราวกับว่ามีพลังพิเศษบางอย่าง มันดึงดูดความสนใจของหญิงสาวทั้งสองและทำให้พวกนางตื่นตา❗️
เย่หลิงเสวี่ยดูคำพวกนั้นในมิติเบื้องหน้า และส่งเสียงพึมพำในปากของนาง:
“คำพวกนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็น…คัมภีร์มหายุทธ์กลืนสวรรค์❓”
คัมภีร์มหายุทธ์กลืนสวรรค์❓
รึว่าจักรพรรดินีเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เขียนคัมภีร์นี้ทิ้งไว้❓