จอมบงการเทพยุทธ์ - บทที่ 68 การจุติของจอมราชันไร้ที่เปร
ใดกัน!?”
ร่างในชุดสีขาวทําให้ทุกคนต้องตกตะลึง
เพียงแค่ใช้นิ้วเพียงหนึ่งนิ้วราชันศักดิ์สิทธิ์ก็ถึงกับบาดเจ็บสาหัส ร่างที่ปรากฏตัวออกมานี้แข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?
กระทั่งหญิงสาวทั้งสอง เย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีที่สิ้นหวังไปเมื่อก่อนหน้าก็หันกลับไปมองร่างในชุดสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าดวงตาที่งดงามของพวกนางสั่นสะท้าน
“ได้รับแต้มตกใจ 124,331 เทพโบราณ
“ได้รับแต้มตกใจ 98,881 จ้าวหวูเก่อ”
“ได้รับแต้มตกใจ 4,558 เย่หลิงเสวี่ย”
“ได้รับแต้มตกใจ 4,151หยุนรั่วซี”
“ได้รับแต้มตกใจ…”
เมื่อฟังเสียงเตือนแต้มตกใจที่เขาได้รับจากระบบ ฉันม่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
ร่างที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาและสร้างความเสียหายแก่ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเขาเอง
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา กระทั่งกลิ่นอายก็ถูกเปลี่ยนแปลงราวกับเป็นคนละคนกัน
และนี่เป็นผลจากคัมภีร์ไร้เงาเร้นฟ้าดิน ไม่เพียงแต่มันจะช่วยปิดบังกลิ่นอายแต่ยังได้รับความสามารถในการ“บิดเบือนฟ้าดิน” เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์และกระแสพลังอีกด้วย
ร่างในชุดสีขาวราวกับหิมะนั้นเป็นตัวตนหนึ่งที่ฉันม่เลือกมาด้วยตนเอง
จอมราชันไร้ที่เปรียบผู้อยู่ในเขตแดนจอมราชัน
“ช่างเป็นกระแสพลังที่ทรงอํานาจจริงๆ ประดุจเทพเจ้าที่ดํารงตนอยู่เหนือธุลีใดๆ”
“ผู้อาวุโสผู้นี้คือใครกัน ทําไมจึงปรากฏตัวขึ้นมาปกป้องกายาจักรพรรดิและเทพธิดาแห่งสวรรค์
“ไม่น่าเชื่อ มีมนุษย์ที่แข็งแกร่งอยู่จริงๆ!”
ฉันม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างทันทีทันใดและช่วยเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีเอาไว้ ทําให้เหล่าจอมยุทธในเมืองศักดิ์สิทธิ์ต่างตกตะลึง
พวกเขาคิดว่าหยุนรั่วซีและเย่หลิงเสวี่ยไม่รอดแน่แล้ว
ราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกนิ้วของฉันม่เข้าไปก็กระอักเลือดและกลิ้งกระเด็นร่วงลงไปกับพื้นดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อเมื่อมองมายังฉินมู่
“แข็งแกร่งกว่าราชันศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ช่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้…”
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมานั้นแข็งแกร่งเกินไป เพียงแค่นิ้วๆ เดียว พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความไร้อำนาจจะต้านทาน
“ท่านคือผู้ใดกัน แล้วทําไมท่านจึงออกตัวปกป้องเด็กน้อยสองคนที่ท่านไม่เคยรู้จัก?”
ผู้แข็งแกร่งระดับราชันศักดิ์สิทธิ์อีกคนที่เข้ามาโจมตีไม่ได้ใจเย็นเช่นคราก่อนอีกต่อไป และถามออกมาด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“สายเลือดกายาจักรพรรดิ เพื่อการต่อสู้อันนองเลือด พวกเขามีบุญคุณอย่างมหาศาลต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์!”
“ทั้งสองคนนั้นเป็นความหวังและเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในฐานะมนุษย์ที่ไม่แม้แต่จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ แต่ยังคิดจะทําลายเผ่าพันธุ์ของตนจักต้องถูกลงโทษ!”
คําพูดของฉันมู่นั้นเย็นชาราวกับสายฟ้า มันฉีกกระชากช่องว่างมิติอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮ่าๆ ท่านผู้อาวุโสเข้าใจผิดไปเสียแล้ว ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดพวกข้าทั้งหกจะจากไปตามที่ท่านได้กล่าว…”
เขาก้าวถอยหลังช้าๆ ต้องการที่จะออกไปจากสถานที่นี้ หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
“ใครให้เจ้าไป?”
ฉันม่กล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะยกมือที่ขาวราวกับหยกขึ้นมาและผลักเข้าไปที่ราชันศักดิ์สิทธิ์
ฉันมู่ในชุดสีขาวราวกับหิมะ ผิวเนียนประดุจหยก สีหน้าของเขานั้นนิ่งสงบ แต่เมื่อโจมตีออกไปราวกับเทพสูงสุดได้สถิตลงมายังโลกมนุษย์
ทุกหนแห่งเบื้องหน้าที่เขาผลักฝ่ามือไป ทุกสิ่งอย่างแห้งเหี่ยวและแตกสลาย อากาศปริแตกราวกับทนรับแรงไม่ได้
ราชันศักดิ์สิทธิ์กรีดร้องดังลั่น ผมทุกเส้นบนร่างของเขาลุกตั้ง สัมผัสได้ถึงอันตรายอันใหญ่หลวงหาใดเทียบได้
เขพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเร่งพลังปราณในร่างขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขาเรียกใช้กฎแห่งฟ้าดินและกระทั่งเรียกใช่โล่โบราณระดับราชันศักดิ์สิทธิ์พยายามจะป้องกันอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่เบื้องหน้าการโจมตีของฉันมู่แล้ว การป้องกันของราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นดูเปราะบางยิ่ง
โล่โบราณแตกสลายเมื่อโดนเข้ากับฝ่ามือของฉันม่ ป้องกันไม่ได้แม้แต่น้อย
ฝ่ามือที่ขาวเนียนดั่งหยก แต่ทรงพลังเช่นเดียวกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในโลกนี้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาในการทําลายล้างทุกสิ่งจนสิ้นและทะลวงผ่านทุกการป้องกันและประทับลงที่หน้าอกของราชันศักดิ์สิทธิ์ตุบ
เสียงกระแทกทึบดังขึ้น ก่อนที่ชะตาของเขาจะเดินตามราชันศักดิ์สิทธิ์คนก่อนเขากระอักเลือดออกมาและปลิวออกไปอย่างน่าสมเพช
“หนี!”
“ถอย!”
หลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้าด้วยตาของตน ทั้งหกคนที่เหลือต่างก็หวาดกลัวสุดขีดและเริ่มวิ่งหนีออกไปไม่คิดชีวิต
กระทั่งราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองยังถูกอีกฝ่ายใช้เพียงฝ่ามือกระแทกเข้าจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย
พวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ทั้งหกที่อยู่ในเขตแดนผู้ทรงอํานาจต่างกระจายกันออกไปคนละทิศคนละทางอย่างไม่คิดชีวิตพวกเขาต้องการจะหนีไปจากที่แห่งนี้ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทําได้
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของฉันมู่ยังคงเย็นชา เสื้อของเขาไม่เปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาไม่แสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น
และในท้ายที่สุด เขาก็ขยับตัว ร่างของเขากระพริบ พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ดูราวกับมังกรที่ท่องทะยานไปทั่วทั้งโลก และในชั่วพริบตาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ทรงอํานาจ
เมื่อเขาจิ้มเข้าที่ผู้ทรงอํานาจผู้นี้ เขาไม่แม้แต่จะมอง ก่อนที่ร่างของเขาจะกระพริบอีกครั้งและปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ทรงอํานาจอีกคน
ทันใดนั้นเอง ทุกสิ่งก็เป็นเช่นครั้งก่อน ฉันม่กระพริบและไปโผล่ขึ้นตรงหน้าผู้ทรงอํานาจทั้งหกทีละคนๆและในท้ายที่สุดเขาก็กลับมาตรงจุดเดิมผมสีดําปลิวไหวเล็กน้อยชุดสีขาวไม่เปื้อนกระทั่งฝัน
และในตอนนั้นเอง หนึ่งในผู้ทรงอานาจทั้งหกที่กาลังหลบหนีก็ร่วงลงมาในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
ฟูว –
ดอกไม้สีเลือดอันแสนงดงามเบ่งบานขึ้นตรงหว่างคิ้วของพวกเขาที่ละคนมันช่างดูน่าหลงใหลและน่าตื่นตะลึง
เมื่อครู่นี้ ฉันม่ได้เจาะทะลวงหัวของพวกเขาด้วยนิ้วมือของตน!
ร่างไร้วิญญาณของผู้ทรงอํานาจทั้งหกร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับซาลาเปา
ในตอนนั้นเอง ฟ้าดินเงียบสงัด!
เฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเดินเข้าไปหาราชันศักดิ์สิทธิ์สองคนที่กําลังบาดเจ็บสาหัสกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
เขานั้นดูยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ราวกับเทพผู้ยิ่งใหญ่มองดูผงธุลี อยู่เหนือทุกสิ่งมิมีผู้ใดเทียบ
“นายท่าน ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ท่านต้องการรู้!”
ภายในแววตาของราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
พวกเขากลัว และร้องขอชีวิตกับฉัน
แต่ฉันม่หยุดฝีเท้าและไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เขาชี้นิ้วออกไป พลังศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาและเปลี่ยนให้ราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองสลายกลายเป็นขี้เถ้าไปโดยสมบูรณ์
ภายในชั่วพริบตา ราชันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองและผู้ทรงอํานาจทั้งหกก็ตกตายจนสิ้น
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากน่าเหลือเชื่อ ไม่มีเวลาให้คนจะได้ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเหล่าจอมยุทธในเมืองกลับมาได้สติ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่คิดจะสังหารเย่หลิงเสวี่ยและหยุนรั่วซีก็ได้ตกตายจนสิ้น
และฉันมู่ในชุดสีขาวได้ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งสังหารนี้ เสื้อสีขาวของเขาไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยใดๆ
เปรียบเสมือนหยกไร้ตําหนิวิถีที่เหนือชั้น