จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 13
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
“ช่างน่าสนใจจริงๆ…..” มีบุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาจากหลังต้นไม้และแค่นเสียง แววตาของมันเต็มไปด้วยความหยามเหยียด
ฉินหยางมีอายุสิบแปดปี มันเป็นบุตรของหนึ่งในแปดผู้อาวุโสสูงสุด ฉินกวง มันเป็นผู้ฝึกตนขั้นที่เจ็ด แม้จะดูคล้ายกับเป็นบุรุษที่ไร้พิษสง หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นคนที่กลิ้งกลอกและเจ้าแผนการ มันมักจะยืมมือผู้อื่นเสมอ ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสภายในตระกูลจึงให้ความสำคัญกับมัน
“ฉินหยาง เจ้าต้องการอะไร?” ฉินซานที่มือหนึ่งกุมหน้าอกขณะที่อีกมือยันพื้นเอาไว้ค่อยๆลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า มันมองไปที่ฉินหยางขณะที่ภายในใจเริ่มเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
สามารถนิยามเกี่ยวกับตัวตนของฉินหยางได้ไม่ยาก ‘หน้าไหว้หลังหลอก’
ในขณะเดียวกัน ฉินหนิวก็ไอออกมาหลายครั้ง มันลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ขณะที่ซ่อนมือที่กำลังรวบรวมพลังปราณอีกครั้งเอาไว้เพื่อเตรียมพร้อม
“พวกเจ้าทั้งสองควรรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ดีกว่า ดูสภาพของพวกเจ้าตอนนี้สิ พวกเจ้าทั้งสองยังคิดว่าจะเอาชนะข้าได้อีกหรือ? ฮ่าฮ่า….”
ฉินหยางเดินตรงไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างพยัคฆ์ดุร้าย ทอดสายตามองดูพยัคฆ์ที่ใกล้สิ้นลมนี้ มันก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ห้าแต้ม…ข้าจะขอรับมันไปละนะ”
จบคำ มันก็ชักกระบี่ที่สะพายอยู่ฟันลงไปที่พยัคฆ์ดุร้าย
มันยกชูศีรษะพยัคฆ์เอาไว้พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงหยิบป้ายไม้ออกมา ศีรษะของพยัคฆ์ก็หายไป
ป้ายไม้เป็นวัตถุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายภายในทวีปเทียนหยวน มันมีพื้นที่จัดเก็บที่จะไร้ขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องหยดโลหิตเพื่อให้จดจำเจ้าของ ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็สามารถใช้ได้
ผู้เข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ทุกคนจะได้รับมันมาคนละอันเพื่อเอาไว้บรรจุศีรษะของสัตว์ปีศาจ อย่างไรก็ตาม มันมีเบื้องหลังอยู่ มันจะทำให้ผู้คนต่อสู้แย่งชิงพวกมัน เพียงแค่สังหารและแย่งชิงป้ายไม้ไป ผู้ชนะก็จะได้รับทุกสิ่ง
ป้ายไม้นั้นมีอยู่มากมายมหาศาล ทั้งยังมีรูปร่างเหมือนกัน นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ไล่ล่าล้างแค้นหลังจากจบเทศกาล
ฉินซานและฉินหนิวทำได้เพียงมองดูอย่างเงียบเชียบขณะที่ฉินหยางปล้นชิงห้าแต้มไปจากพวกมัน พวกมันแทบจะไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงแล้ว ทำได้เพียงแค่ก่นด่าสาปแช่งอยู่ภายในใจ ที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็เพราะความโลภของพวกมันเอง!
ฉินหยางไม่ได้เร่งรีบจากไปเมื่อได้รับห้าแต้มไปแล้ว มันเดินตรงเข้าหาฉินซาน เผยรอยยิ้มอันน่าขนลุกและกล่าวว่า “ตระกูลฉินเราไม่ต้องการสวะเช่นเจ้า”
“ฉินหยาง เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร? เจ้าไม่กลัวหรือว่า…” ก่อนที่ฉินซานจะทันได้กล่าวจนจบประโยค ฉินหยางก็สะบัดกระบี่ออกไปแล้ว เป็นกระบี่ที่ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยพลังปราณ ศีรษะของฉินซานพลันถูกฟันลง
หลังจากสังหารฉินซานแล้ว ฉินหยางก็หันไปมองฉินหนิว
ในเวลานั้นเอง ฉินหนิวกกรีดร้องราวกับคลุ้มคลั่ง มันเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นที่ห้า และที่เท้าของมันก็ได้รับบาดเจ็บ! แล้วเช่นนี้มันจะสามารถรับมือกับฉินหยางโดยลำพังได้อย่างไร?
“ได้โปรดละเว้นชีวิตข้า ข้าขอร้องท่าน โปรดปล่อยข้าไป ข้าจะออกจากการแข่งขันในทันที ได้โปรด….”
“อ้อนวอนต่อข้าหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า!…เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะขอร้องข้า!”
ฉินหยางกระโจนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะร่อนลงบนกิ่งไม้และใช้มันต่างแทนส่งตัว มันกระโดดขึ้นอีกครั้ง มือทั้งสองไพล่ไว้ด้านหลัง ดวงตาทั้งสองเบิกโปนขณะที่แค่นเสียงเย็นชาออกมา
“ตุบ…”
ร่างของฉินหนิวแยกออกเป็นสองซีก โลหิตฉีดพุ่งย้อมไปทั่วพื้น เครื่องในไหลย้อยออกมาเรี่ยราด เป็นฉากที่น่าสยดสยอง ทำให้ฉินเทียนรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที
“ฮ่าฮ่า อย่างที่ข้าเคยกล่าวเอาไว้ ตระกูลฉินไม่ต้องการเศษสวะ” ฉินหยางเลียโลหิตจากตัวกระบี่ขณะที่แสยะยิ้มออกมา จากนั้นมันจึงเร้นกายเข้าป่าไป
“แม่*โครตโรคจิต!” ฉินเทียนอดสบถออกมาไม่ได้ ฉากที่ได้เห็นนี้ราวกับฉากในหนังสยองขวัญที่เขาเคยดูในชีวิตก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อมันมาเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว มันน่าสะอิดสะเอียนจนแทบจะกลั้นอาเจียนไว้ไม่อยู่
‘เอ๊ะ? สาวน้อยนางนี้กลับไม่หวาดกลัวเลยหรือ?’ นางหวดากลัวแทบตายเมื่อได้เจอกับแมลงหลากสี แล้วนางไม่หวาดกลัวจนต้องโผเข้ากอดเขาเลยหรือยามที่ได้เห็นฉากนองเลือดเบื้องหน้า?
ฉินเทียนหันศีรษะไปมองอวิ๋นม่านอย่างสงสัย
อวิ๋นม่านฝังศีรษะเข้าไประหว่างเข่าและนิ่งเงียบไร้การเคลื่อนไหว ราวกับกำลังหลีกหนีความจริง
“นี่ นี่” ฉินเทียนเรียกอย่างอ่อนโยนอยู่สองครั้ง หากแต่อวิ๋นม่านก็ยังไร้การตอบสนอง
ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉินเทียนเขย่าตัวนาง ร่างของนางพลันอ่อนยวบตามแรง หงายหลังเป็นลมหมดสติไป
“เฮ้ยๆ ไม่ใช่ว่าไม่หวาดกลัวหรือ? นางเป็นลมไปแล้ว?”
ไม่แปลกใจเลยทำไมนางจึงนิ่งเงียบ! นางเป็นลมไปตั้งนานแล้ว! ฉินเทียนมองดูอวิ๋นม่านที่หมดสติไม่รู้สึกตัวอย่างตกตะลึง ก่อนจะสบถอยู่ในใจ “บัดซบ! ระบบมันกำลังคิดอะไรของมันอยู่? ให้ข้าแบกนางไปด้วยหรือ? นี่ไม่ใช่ว่าจงใจเพิ่มภาระให้ข้าหรอกนะ?”
หรือมันคิดว่าเกมยังตื่นเต้นเร้าใจไม่พอ? ให้แบกคนไปพลางสู้ไปพลางหรือ?
มารดามันเถอะ!
ฉินเทียนไม่มีอารมณ์ไปคิดถึงมันอีก ในเมื่อทั้งคู่อยู่ปาร์ตี้เดียวกันแล้ว เขาก็จำต้องนำอวิ๋นม่านไปด้วย มองดูรูปลักษณ์ของนางตอนนี้แล้ว ดูไปก็น่ารักไม่ใช่น้อย ฉินเทียนส่ายศีรษะไล่ความคิดชั่วร้ายทิ้งไปก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา อย่างเชื่องช้า เขาก็ก้าวเดินไปทางอาณาเขตของเทือกเขาคุนหลุน
จากวันที่เขาได้สกัดกั้นร่างเงาของฉินเซี่ยงเทียน ค่าพลังปราณที่เขาได้สะสมเอาไว้ก็หมดสิ้นลง ปริมณพลังปราณที่ฉินเทียนได้สะสมเอาไว้ในช่วงเข้าโรงฆ่าสัตว์เป็นเวลาสามวันนั้นมีอยู่ไม่ถึงสามพันจุด ด้วยเหตุนั้นเขาจึงสามารถใช้เคล็ดมังกรฟ้าได้เพียงไม่กี่ครั้ง สำหรับฉินเทียนแล้ว ค่าพลังปราณเป็นสิ่งล้ำค่าและควรเก็บเอาไว้ใช้อย่างเหมาะสม หากไร้ซึ่งพลังปราณแล้ว เขาก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดา
สิ่งเดียวที่เขาสามารถกระทำได้ในตอนนี้ก็คือเติมเต็มค่าพลังปราณด้วยการล่าสัตว์ปีศาจให้ได้มากที่สุด มิเช่นนั้นแล้วเมื่อเขาเผชิญหน้ากับฉินคุน เขาก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ ไม่ว่าเขาจะแปลกประหลาดเพียงใดก็ตาม
ดวงตะวันลาลับขอบฟ้า เพียงชั่วกระพริบตาท้องนภาก็เปลี่ยนเป็นอับแสง
ยามค่ำคืนเป็นช่วงที่สัตว์ปีศาจจะออกล่าและเติมเต็มกระเพาะด้วยเนื้อสด ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ผู้คนจะหาที่ปลอดภัยเพื่อค้างแรมและรอให้รุ่งสางมาถึง
เหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นฝึกตนจะมีสายตามองกลางคืน กระนั้นก็เพียงระยะสิบเมตรเท่านั้น ซึ่งทางฝั่งของสัตว์ปีศาจจะสามารถมองเห็นผ่านความมืดได้ราวกับตอนกลางวัน
ภายในความมืดมิด โดยรอบไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ หนึ่งการสอดส่อง หนึ่งการเคลื่อนไหวล้วนสำคัญอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของมนุษย์ก็ยังคงเชื่องช้ากว่าสัตว์ปีศาจอยู่ราวเก้าส่วน
ด้วยเหตุนั้น ในยามค่ำคืน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะบางทีมันอาจจะต้องแลกมาด้วยชีวิต
กลางคืนนั้นไร้แสง แสงจากดวงจันทร์ก็ยังไม่เพียงพอจะทะลุลอดแมกไม้ลงมาได้ สายลมพัดโชย ทิ้งไว้เพียงเสียงหวีดหวิว
“อู้วววว…..” เสียงหอนของหมาป่าเขี้ยวเขียวดังผ่านท้องฟ้ายามราตรี ทำให้ทั้งป่าสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
มันเริ่มขึ้นแล้ว เทศกาลล่าที่แท้จริง
“แซกๆ…..”
“แซกๆ…..”
“แซกๆ…..”
ภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง มีเงาร่างกำลังขยับเคลื่อนไหว
เฉกเช่นราวกับเหยี่ยวกำลังออกล่าเหยื่อ กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ ราวกับว่ามันเป็นนายแห่งยามค่ำคืน
เป็นฉินเทียนเอง นักล่าในยามราตรี ฉินเทียน