จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 51
ตอนที่ 51 สหาย
เมืองชิงเหอตกอยู่ในความปั่นป่วน
ตระกูลใหญ่ทั้งหมดต่างเข้าร่วมในครั้งนี้ ลานกว้างถูกเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพัง อาคารโดยรอบล้วนถูกทำลายจนพินาศ มีผู้คนล้มตายมากมาย
ในประวัติศาสตร์ของเมืองชิงเหอไม่เคยมีสงครามขนาดใหญ่เพียงนี้มาก่อน การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้อำนาจของเหล่าตระกูลใหญ่ถดถอย
ในการปะทะกัน สามผู้เชี่ยวชาญขั้นกลั่นวิญญาณของตระกูลจ้าวไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก ผู้คนตระกูลจ้าวบาดเจ็บล้มตายไปมาก ศิษย์จากตระกูลอื่นๆยังไม่เสียหายหนักเท่า กระนั้นตระกูลต่างๆก็ยังต้องสูญเสียผู้อาวุโสจนอิทธิพลเสื่อมถอย
สุดท้ายพวกมันก็ประกาศสงบศึก
ผู้ที่สมควรมีความสุขที่สุดในการต่อสู้ระหว่างตระกูลครั้งนี้คงจะเป็นจ้าวหนานตู่ มันจิบสุราพลางมองไปยังการต่อสู้ ในใจของมันรู้สึกเบิกบานจนไม่อาจหาคำบรรยาย มันรู้สึกชื่นชมฉินเทียนอยู่ในใจ เม็ดยาหู่เฉิงมากมายที่มันได้เสียไปถือว่าทำหน้าที่อย่างคุ้มค่าแล้ว
เมื่อเห็นการต่อสู้ยุติลง มันก็ส่งคนไปรายงานต่อคนผู้หนึ่ง
มันเชื่อว่าอีกไม่นาน อำนาจของเมืองชิงเหอจะต้องตกเป็นของมัน ในเวลานั้น กระทั่งตระกูลจ้าวหรือตระกูลจาง รวมทั้งสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังต้องฟังมัน
เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว จ้าวหนานตู่ก็หัวเราะอย่างเบิกบาน
………………………………….
เหลาอาหารฟุหลง
“เมิ่งเล่ย นี่เป็นเม็ดยามังกรพยัคฆ์ จงใช้มันหลังจากทะลวงผ่านขั้นผู้ฝึกตนไปได้แล้ว จงจำไว้ว่าอย่าได้ใช้มันจนกว่าเจ้าจะทะลวงผ่านไปขั้นก่อตั้งวิญญาณ มิเช่นนั้นจะไม่เป็นการดีต่อร่างกายของเจ้า”
ภายในห้องแห่งนี้มีเพียงฉินเทียนและเมิ่งเล่ย
เมื่อมองไปยังเมิ่งเล่ย ฉินเทียนก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย หากแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เขาจะต้องเข้าไปในเทือกเขาคุนหลุนในไม่ช้า และด้วยระดับการบ่มเพาะของเมิ่งเล่ยแล้ว เขาคงไม่อาจเอาตัวรอดภายในนั้น ต่อให้มีเฮยหยานและเขาอยู่ข้างกายก็ตาม มันก็ยังไม่เพียงพอจะรับรองความปลอดภัยของเมิ่งเล่ย
เทือกเขาคุนหลุนเต็มไปด้วยความอันตรายอย่างที่สุด ไม่เพียงต่อเมิ่งเล่ยเท่านั้น กระทั่งฉินเทียนก็ยังไม่แน่ใจว่าตนจะสามารถกลับออกมาทั้งมีชีวิต ทว่ามันก็มีเพียงการเข้าไปในเทือกเขาเท่านั้นที่จะเพียงพอต่อค่าประสบการณ์ของเขา มีเพียงการสังหารสัตว์ปีศาจระดับสูงเพื่อเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ ค่าพลังปราณและค่าชีวิต
เมิ่งเล่ยยิ้มอย่างโง่งม มันเกาศีรษะและไม่ได้หยิบเม็ดยามังกรพยัคฆ์จากมือของฉินเทียน แม้ว่ามันจะไม่ทราบว่ามันเป็นเม็ดยาระดับเจ็ด แต่มันก็ทราบดีว่าฉินเทียนต้องการมันมากกว่ามัน เทือกเขาคุนหลุนเป็นหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดภายในทวีปเทียนหยวน เป็นอันตรายที่เหนือกว่าผู้ใดจะคาดคิด
มีเม็ดยาเพิ่มขึ้นหนึ่งเม็ด โอกาสที่จะมีชีวิตรอดก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
นอกจากนี้เมื่อตอนที่ฉินเทียนหยิบเอาเม็ดยาออกมา ทั่วทั้งหมดก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม เพียงสูดดมก็ทำให้มันรู้สึกสดชื่น ดังนั้นมันจึงพอทราบได้ว่าเม็ดยาเหล่านี้มีค่าเพียงใด
ทุกสิ่งที่เมิ่งเล่ยคิดจะยึดเอาฉินเทียนเป็นที่ตั้ง หากว่าพวกเขาหิวโหย เช่นนั้นอาหารจะต้องถูกป้อนให้ฉินเทียน นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นนายน้อยของมัน เป็นบุตรชายของผู้มีพระคุณ
เหตุผลจึงเรียบง่ายเช่นนี้เอง
“นายน้อยเก็บมันไว้เถอะ ฝีมือของข้าแค่งูๆปลาๆ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป จงเก็บมันไว้เผื่อวันที่ท่านต้องใช้มันเถอะ”
เมิ่งเล่ยกล่าวพร้อมเลียนท่าทางผู้ทรงภูมิ กระนั้นการแสดงออกของเขากลับดูตลกอย่างยิ่ง
ฉินเทียนขยับเคลื่อนไหวและยัดเม็ดยาไปในมือของเมิ่งเล่ยก่อนจะสั่งว่า “เจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรือ?”
“ข้ายังต้องการให้เจ้าปกป้องคนผู้หนึ่ง”
เมิ่งเล่ยกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่งก่อนจะจำใจรับไว้ กระนั้นมันก็คิดว่าจะไม่ยอมใช้อย่างเด็ดขาด มันรำพึงรำพันกับตัวเอง “ในเมื่อนายน้อยยังไม่ต้องการใช้มัน เช่นนั้นข้าก็จะเก็บเอาไว้ให้ท่าน”
เมื่อได้ยินว่าฉินเทียนต้องการให้ตนคอยปกป้องคนผู้หนึ่ง มันก็รีบตอบทันที “นายน้อยโปรดบอกมา ข้ารับรองว่าจะปกป้องมันผู้นั้นให้จงได้”
“อวิ๋นม่าน”
นอกจากเมิ่งเล่ยแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่เขาสามารถฝากฝังให้ดูแลอวิ๋นม่านได้ เด็กหญิงนางนี้จิตใจดีเกินไป แม้ว่านางจะแข็งแกร่งไม่เลว แต่การไม่กล้าทำร้ายอีกฝ่ายก็นับเป็นจุดอ่อนร้ายแรง ในช่วงที่เขาไม่อยู่นี้ ปัญหาย่อมต้องเกิด และคนที่เขาสามารถไว้วางใจก็มีแต่เมิ่งเล่ย
เมิ่งเล่ยรีบรับคำ
คำพูดของฉินเทียนคือคำสั่งที่มันต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดหรืออะไรก็ตาม
“วันพรุ่งนี้จงกลับไปที่ตระกูลฉิน อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย ข้าจะพูดคุยเรื่องนี้กับท่านประมุขเอง”
หลังจากมอบหมายเรื่องราวเสร็จสิ้น ฉินเทียนก็ไปพบกับฉินซานเทียน แม้จะพอเดาได้ลางๆว่าฉินซานเทียนจะไม่ยอมยกเกราะวิญญาณให้กับเขา เขาก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้เสนอเงื่อนไขขอให้เมิ่งเล่ยกลับเข้าตระกูลได้
เมิ่งเล่ยย่อมไม่เต็มใจที่จะกลับสู่ตระกูลโดยลำพัง กระนั้นมันก็ไม่กล้าโต้แย้งฉินเทียน สุดท้ายจึงต้องจำใจผงกศีรษะรับ
“อีกสามปีข้าจะกลับมา จัดการในสิ่งที่ข้าสมควรจัดการ จากนั้นข้าจะนำเจ้าออกท่องเที่ยวไปกับข้า”
ฉินเทียนตบบ่าเมิ่งเล่ย เขาไม่ต้องการจะแยกจาก แต่ก็ทราบดีว่าเขาจำเป็นจะต้องแข็งแกร่ง เขาจะต้องตัดผ่านโดยเร็ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่รอคอยให้เขาจัดการ
สองบอสใหญ่ยังคงมีชีวิตอยู่ นั่นทำให้เขาไม่มีความสุข
ดวงตาของเมิ่งเล่ยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา มันพยายามอดกลั้นไม่ให้ร่ำไห้ออกมา
คืนนั้นภายในตระกูลฉิน ที่พักของฉินซานเทียน
“ฮ่าฮ่า ฉินเทียน เจ้าช่างทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่เลว ไม่เลว อนาคตของตระกูลฉินคงต้องฝากไว้กับเจ้าแล้ว”
เมื่อกล่าวจบฉินซานเทียนก็วางมือลงบนบ่าของฉินเทียนและเผยรอยยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกออกมา
มีกระแสพลังปราณขุมหนึ่งลอบไหลผ่านเข้ามาทางบ่าของเขา เขาแสร้งเป็นไม่ทราบเรื่องและกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว”
พลังปราณไหลไปที่จุดตันเถียนของเขา ชอนไชตรวจสอบทุกซอกทุกมุม กระนั้นก็ไม่พบสิ่งใด แม้จะส่งพลังปราณเข้าไปแล้วก็ยังตรวจไม่พบสิ่งใด นี่ทำให้ฉินซานเทียนรู้สึกงุนงงอย่างมาก
เสียงคำรามของมังกรและเสียงกระทืบพสุธาของคชสาร ทั้งยังแสงสีขาวนั่นที่ทำให้พลังของฉินเทียนเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า สิ่งเหล่านั้นทำให้มันรู้สึกไม่ดี มันเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถฉีกร่างฉินเทียนและเปิดเผยความลับที่ฉินเทียนซ่อนอยู่ได้
“ท่านประมุข เรื่องเกราะวิญญาณระดับสูงที่เคยกล่าวก่อนหน้านี้…” กระนั้นในใจของเขาคิดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าทราบว่าเจ้าจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเอ้ย แต่บิดาผู้นี้จะไม่ปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสอันใด จงรอก่อนเถอะ”
“ฮ่าฮ่า….” ฉินซานเทียนหัวเราะและรวมรั้งพลังปราณกลับคืน มันกลับไปนั่งบนเก้าอี้ และเผยสีหน้าไม่สู้ดีออกมา มันยิ้มเจื่อนก่อนจะกล่าวว่า “ในสงครามระหว่างตระกูล พลังของตระกูลฉินได้เสื่อมถอยลงอย่างมาก ในเมื่อเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้มันได้เต็มกำลัง เช่นั้นก็รอให้เจ้าทะลวงผ่านไปยังขั้นรวบรวมวิญญาณก่อนเถอะ จากนั้นข้าจะมอบมันให้กับเจ้า”
“รู้อยู่แล้วว่าต้องแบบนี้” ฉินเทียนสบถเย็นชาอยู่ในใจและแสดงสีหน้าที่เศร้าโศกออกมา ฉินซานเทียนจึงรีบกล่าวต่อ “เช่นนั้นให้ข้ามอบรางวัลชิ้นอื่นก่อนเถอะ บอกว่าสิว่าเจ้าต้องการอะไร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวข้าย่อมต้องคำนึงถึงตระกูลก่อน ทว่าข้าอยากจะขอให้ท่านประมุขอนุญาติให้เมิ่งเล่ยกลับคืนสู่ตระกูล ในอนาคตเงินประจำเดือนของข้าให้มอบแก่เขา ไม่ทราบว่า…”
“ไม่มีปัญหา แน่นอนว่าย่อมได้ ข้าเองก็ตั้งตารอคอยการกลับมาของพวกเจ้าทั้งหมดเช่นกัน” ฉินซานเทียนพลันรับปาก เทียบกับต้องเสียเกราะวิญญาณระดับสูงแล้ว สู้ให้เมิ่งเล่ยกลับสู่ตระกูลยังดีกว่าเป็นไหน
อีกทั้งเงินประจำเดือนของฉินเทียนเองก็ไม่ได้มากอะไร
อย่างไรก็ตาม ฉิซานเทียนพลันหยุดชะงักก่อนจะกล่าวถามว่า “เจ้าบอกว่าเงินประจำเดือนของเจ้าให้มอบต่อมัน แล้วตัวเจ้าเล่า?”
“อา ข้าจะเข้าไปฝึกฝนภายในเทือกเขาคุนหลุนสักหลายปี” ฉินเทียนตอบโดยไม่ปิดบัง
“เข้าเทือกเขาคุนหลุนเพื่อฝึกฝนหรือ?”
ฉินซานเทียนตกตะลึง แววตาของมันสว่างวูบ จกานั้นจึงหัวเราะออกมา “ประเสริฐ หากตระกูลฉินเรามีศิษย์หมั่นเพียรเช่นเจ้า ตระกูลฉินเราก็คงไม่เป็นสองรองใคร”
ฉินเทียนคลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้าหวังให้ข้าตกตายหรือ?”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนวาจากันอีกหลายคำก่อนจะเอ่ยคำอำลา
หลังจากออกมาแล้ว สีหน้าของฉินเทียนก็เปลี่ยนไป เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราตรีด้วยแววตาดุจสุนัขจิ้งจอก….