จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 60
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 60 ไว้หน้าเจ้าแล้ว เจ้าพาลไม่รับ
“มาวมาว ระวัง!”
ลูกธนูที่แฝงด้วยปราณพุ่งแหวกฝ่าอากาศมา เป้าหมายของมันคือส่วนขาของมาวมาว
“กรรรร! กรรรร!”
มาวมาวแยกเขี้ยวอันแหลมคมพลางคำรามเสียงต่ำ มันจ้องมองลูกธนูที่กำลังพุ่งเข้ามา มามาวพลันยันขาถีบตัวกระโดดหลบขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม! แค่นี้ก็ยังพลาด แล้วพวกเจ้าจะไปทำอะไรได้?” คำเหน็บแนมของหญิงสาวทำให้ใบหน้าของบุรุษทั้งสองเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียด คิ้วของพวกเขากระตุก พวกเขาที่ต้องการจะแก้มือล้วงหยิบเอาลูกธนูขึ้นมาพาดสายอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นปรามทั้งสอง จากนั้นมันจึงหันไปมองยังดงไม้ที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะกล่าวว่า “สหาย ออกมาเถอะ”
ฉินเทียนพลิกตัวลงบนพื้น มาวมาวที่ติดตามมาด้วยหยุดเท้าอยู่ข้างกายฉินเทียน มันจ้องมองหญิงสาวด้วยท่าทางข่มขู่
หญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ฉินเทียนครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “อาซาน ฆ่ามันซะ”
สำหรับนางแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหากต้องการสังหารผู้ใดก็ตามที่ทำให้นางไม่พอใจ
“ขอรับ”
คนรับใช้ที่อยู่ข้างกายหญิงสาวพลันพุ่งเข้าหาฉินเทียน มันรั้งรวมพลังปราณเข้าสู่กระบี่ในมือทั้งสองเล่มพร้อมฟันออก
ชายหนุ่มที่เอ่ยปากทักยกมือขึ้นกอดอก มองดูฉินเทียนอย่างสนใจพลางยกยิ้มเย็น
สำหรับพวกมันแล้ว ฉินเทียนก็เปรียบได้กับคนที่ตายไปแล้ว
พริบตาต่อมาเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
มาวมาวส่งเสียงเห่า มันแยกเขี้ยวกางเล็บ คมมีดสายลมขนาดเล็กจิ๋วพลันปรากฏขึ้นหลายสาย ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา คมมีดสายลมที่ถูกสร้างขึ้นก็หดตัวลงเรื่อยๆก่อนจะสาลยหายไป สุดท้ายมาวมาวก็ทรุดลงกับพื้นแลบลิ้นอย่างหมดแรง
“ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าโชว์ให้ขายหน้า”
ฉินเทียนเยาะเย้ยพลางมองดูบุรุษที่กำลังพุ่งเข้าหา คิ้วของเขาขมวดก่อนที่กลิ่นอายของเขาจะเฉียบคมขึ้น โดยไม่รอให้บุรุษผู้นั้นมาถึง เขาพลันเคลื่อนไหว มีดกระดูกทั้งสองเล่มพลันปรากฏขึ้นในมือ เขาฟาดมีดส่งคมมีดปราณออกไป
“คมมีดปราณที่อ่อนแอนัก แค่นี้ยังไม่อาจระคายผิวข้าด้วยซ้ำ”
บุรุษที่เรียกว่าอาซานแค่นเสียงอย่างเย็นชา มันสะบัดกระบี่ในมือขวาทำลายคมมีดปราณไปอย่างง่ายดาย ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความถือดี แต่เมื่อมันมองไปข้างหน้า มันก็พบว่าฉินเทียนได้หายตัวไปแล้ว
มันหลั่งเหงื่อเย็น สัญชาตญาณสั่งให้มันรีบห่อหุ้มทั่วร่างด้วยปราณทันที ความรู้สึกสั่งให้มันหันกลับไปมองทางด้านหลัง
ทว่ามันก็สายไปแล้ว เมื่อบุรุษนั้นหันมา มีดสั้นในมือของฉินเทียนทั้งสองเล่มที่แทงเข้าไปที่เอวจนโลหิตฉีดพุ่ง
ฉินเทียนดึงมีดสั้นกลับก่อนจะถอยกลับไป
“เจ้าสวะที่ไร้ประโยชน์เอ้ย”
หญิงสาวด่าทอออกมา ตอนนี้นางรู้สึกขัดใจอย่างมาก
นอกจากหญิงสาวที่ด่าทอออกมาแล้ว บุรุษที่เหลืออีกสามคนต่างนิ่งเงียบ ผู้รับใช้ที่ชื่ออาซานนั้นไม่ได้อ่อนแอเลย มันเป็นผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมวิญญาณ กระนั้นก็ยังถูกจัดการในกระบวนท่าเดียว หากไม่ใช่เพราะฉินเทียนไม่ได้ตั้งใจเอาชีวิต มันคงตกตายไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉินเทียนสามารถจัดการศัตรูได้ในหนึ่งการเคลื่อนไหว มาวมาวก็กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี
หญิงสาวที่เห็นท่าทางเช่นนั้นก็ยิ่งทวีความโกรธมากขึ้น ชายหนุ่มชุดขาวยกมือขึ้นวางบนบ่าของหญิงสาวอย่างนุ่มนวลเป้นการปลอบโยน จากนั้นมันจึงก้าวออกมากล่าวด้วยท่าทีสุภาพ “พี่ชาย พวกเราขออภัยที่ล่วงเกินท่าน ขอพี่ชายโปรดอภัยให้พวกเรา”
ฉินเทียนหัวเราะอย่างเย็นชา เขาไม่ได้ตอบคำ หากแต่หันไปมองหญิงสาวที่เย่อหยิ่งนั้น ก่อนจะวกสายตากลับมามองมาวมาวและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
“ต้องการจะจากไปงั้นหรือ?”
“มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”
หญิงสาวตะโกนออกมาเมื่อเห็นว่าฉินเทียนกำลังจะจากไป จากนั้นนางพลันชักกระบี่ออกมา ภาพดอกบัวปรากฏขึ้นวูบขณะที่นางพุ่งเข้าหาฉินเทียนอย่างสง่างาม
“มารดามันเถอะ ไว้หน้าแล้ว ยังไม่คิดรับไว้อีกหรือ!”
ฉินเทียนขุ่นเคือง พลังปราณของเขาพลันปะทุขึ้นพร้อมแรงกดดันมหาศาล ชายหนุ่มชุดขาวตกตะลึง เขาเร่งเร้าลมปราณเพิ่มความเร็วที่ฝ่าเท้าเพื่อไปหยุดยั้งหญิงสาว “หยุดมือ”
“หลบไปท่านพี่ ข้าจะผ่าแยกร่างของมัน!”
หญิงสาวชักสีหน้า ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ นี่จึงทำให้นางโมโหมาก
ชายหนุ่มชุดขาวพยายามหยุดยั้งหญิงสาวอย่างยากลำบาก เขาหันมาขอโทษฉินเทียนอย่างด้วยรอยยิ้มเฝื่อน “นางอารมณ์ร้อน ขอท่านอย่าใส่ใจ”
“หึ”
ฉินเทียนกลอกตา เขาจ้องมองหญิงสาวเขม็งก่อนที่จะกระโดดขึ้นต้นไม้ เขาชำเลืองมองคนกลุ่มนี้อยู่เป็นพักๆก่อนจะหายเข้าไปในป่า
“ท่านพี่ ไฉนจึงปล่อยมันไป? มันเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมวิญญาณระดับสี่เท่านั้น ไม่เห็นต้องไปพูดดีกับมันเลย!”
เมื่อเห็นฉินเทียนจากไป ชายหนุ่มก็พลันสีหน้ามีดครึ้มพลางลดเสียงกล่าว “อาซานอยู่ในขั้นรวบรวมวิญญาณระดับห้า การที่เขาถูกจัดการในท่าเดียว เจ้าคิดว่าบุคคลเช่นนั้นยังจะเป้นเพียงขั้นรวบรวมวิญญาณระดับที่สี่จริงๆน่ะหรือ?”
หลังได้ยินคำถามของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดี เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดของอาซานแล้ว นางก็แค่นเสียงเย็น “สวะ ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ”
สิ้นคำกล่าว หญิงสาวก็เหวี่ยงกระบี่ในมือทันที
อาซานนิ่งตะลึง มันไม่เคยคิดเลยว่าคุณหนูที่มันสาบานจะปกป้องนั้นจะต้องการฆ่ามันเพียงเพราะความล้มเหลวในครั้งนี้ มันท้อแท้ ความเจ็บปวดที่เอวของมันคล้ายเพิ่มขึ้นกว่าเก่า มันปิดตาลงช้าๆคล้ายยินยอมรับชะตากรรมแล้ว
เคร้งงงง!
เมื่อกระบี่ใกล้จะได้ลิ้มรสโลหิต ชายหนุ่มชุดขาวสะบัดกางพัดต้านรับเอาไว้ก่อนที่จะหันมากล่าวกับหญิงสาว “ตอนนี้จำนวนคนนั้นสำคัญ หากเจ้าสังหารไปคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเราก็จะลดลงมาก”
“ท่าน….”
ท่านพี่ไม่ให้ข้าสังหารเจ้าคนชั่วนั่นกับลูกหมาที่ข้างกายมัน มาตอนนี้ท่านยังมาขัดข้าอีกหรือ?
“
หญิงสาวขุ่นเคืองยิ่ง กลิ่นอายของพลันเพิ่มความก้าวร้าวดุร้าย ภาพลักษณ์ที่สูงส่งสลายหายไป เหลือไว้เพียงความร้ายกาจ
หนังตาของชายหนุ่มกระตุก ในใจของมันเริ่มโมโหขึ้นบ้างแล้ว กลิ่นอายที่แข็งแกร่งถูกรั้งรวมสู่พัดในมือ สีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทว่าพริบตาต่อมา มันก็ระบายลมหายใจออกมาพลางสะกดข่มความโกรธ มันคว้ากุมมือของหญิงสาวลูบอย่างนุ่มนวลพลางกล่าวว่า “น้องหญิงที่รัก เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป เมื่อพวกเราสังหารราชาซากศพได้แล้ว พวกเราจะตามหาคนผู้นั้น ถึงตอนนั้น ข้าจะช่วยเจ้าสังหารมันเอง”
“จริงหรือ?” ความโกรธของหญิงสาวมอดลงขณะที่นางเอนตัวซบชายหนุ่ม
“ข้าเคยโกหกเจ้าหรือ?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างนุ่มนวลขณะที่ในใจเต็มใไปด้วยจิตสังหาร หากไม่ใช่เพราะยำเกรงพลังของซุนสือแล้วล่ะก็ มันคงสังหารนางไปแล้วเพราะความไร้เหตุผลของนาง
ซุนสือ หนึ่งในแปดผุ้อาวุโสแห่งสำนักเทียนจี๋
………………………………………
“มาวมาว ในอนาคตเจ้าจงอย่าหาเรื่องใส่ตัวอีก ด้วยพลังระดับที่สามของเจ้าแล้ว เจ้ายังจะเอาชนะผู้ใดได้?”
ฉินเทียนยืนอยู่บนยอดต้นไม้ใหญ่ต้นไม้ใหญ่หนึ่งขณะทอดมองตะวันลับขอบฟ้า
มาวมาวส่งเสียงหงิงๆอยู่ข้างๆ ท่าทีของมันคล้ายไม่ยินยอมพร้อมใจ
แม้ว่าพลังโจมตีของมาวมาวอาจจะไม่มาก กระนั้นความเร็วและปฏิกริยาของมันยังสูงกว่าคนทั่วไป นั่นทำให้ฉินเทียนปลาบปลื้มไม่น้อย
หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาปีกว่า ฉินเทียนก็รุ้สึกผูกพันกับมัน ตอนที่มันถูกยิงลูกธนูเข้าใส่ตอนนั้น ฉินเทียนแทบจะหัวใจวายเพราะความกังวล
“คนพวกนั้นไม่เหมือนเข้ามาภายในนี้เพราะต้องการล่าสัตว์ปีศาจ แต่พวกมันจะมาที่นี่ทำไมหากไม่ใช่เพื่อล่าสัตว์ปีศาจ?”
“ชายชุดขาวนั้นแข็งแกร่งยิ่ง บางทีมันอาจจะอยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณแล้ว”
“ดูจากเสื้อผ้าแล้วไม่คล้ายมาจากตระกูลธรรมดา โดยเฉพาะหญิงสาวที่น่ารังเกียจนั้น ดูจากความเย่อหยิ่งของนางแล้ว เดาว่าคงมาจากตระกูลทรงอำนาจ เพียงแต่พวกมันเข้ามาภายในนี้ด้วยเหตุใด?”
ฉินเทียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้าย มุมปากของเขาจะเผยอขึ้นยกยิ้มเย็นอย่างชั่วร้าย….