จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 67
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 67 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการเก็บกวาด
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ฉินเทียนก็เริ่มคุ้นชินกับกลุ่มของหลินหยาน เมื่อเขาได้ยินว่าทั้งกลุ่มล้วนแต่เป็นศิษย์ของสำนักเทียนจี๋ เขาก็ตกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เกี่ยวข้องกับสำนักเทียนจี๋รวดเร็วถึงเพียงนี้ เนื่องด้วยแตกต่างจากแผนเดิม ดังนั้นเขาจึงต้องปรับเปลี่ยนแผนการบางส่วน
ตะวันลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม พวกสัตว์อสูรที่อยู่ภายในป่าเริ่มกระปรี้กระเป่า เสียงร้องคำรามที่ดังกึกก้องทำให้ผู้คนสยิวกายด้วยความกลัว เพราะหลังจากนี้อีกไม่นาน เทศกาลการล่าในยามค่ำคืนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
“น้องฉิน แยกกันตรงนี้เถอะ ความเอื้อเฟื้อของเจ้า พวกข้าขอจดจำไว้ในใจ” หลินหยานกล่าวพลางส่งสัญญาณให้กลุ่มของเขาหยุดเท้า
เดิมทีฉินเทียนตั้งใจจะพาพวกหลินหยานไปพักที่ถ้ำของเขาหนึ่งคืน แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพวกหลินหยานมีท่าทีจะแยกตัวจากไป เทือกเขาคุนหลุนในยามค่ำคืนนั้นอันตรายยิ่ง ในเรื่องนี้เขาทราบกระจ่างยิ่งกว่าผู้ใด การเร่งรีบเดินทางในตอนกลางคืนนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก
แต่แน่นอนว่ากลุ่มของหลินหยานไม่ได้จะเดินทางกลับสำนักเทียนจี๋
ความล้มเหลวในภารกิจกำจัดราชาซากศพ และสูญเสียเครื่องรางกำจัดปีศาจไปถึงสองชิ้นนั้นยากจะแบกรับไว้ได้ การเดินทางกลับสำนักในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากการหว่านโปรยเมล็ดพันธุ์ แต่ไม่มีต้นกล้างอกเงย
เทือกเขาคุนหลุนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต่างไปจากขุมทรัพย์ การล่าราชาซากศพก็ไม่ต่างอะไรจากการพนัน การล่าสัตว์อสูรระดับห้าก็เช่นเดียวกัน เป็นการพนันที่ต้องลงเดิมพันด้วยชีวิต
ในมุมมองของหลินหยาน กลุ่มของพวกเขาตระหนักดีถึงสิ่งที่กำลังจะกระทำ ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมพร้อม
ฉินเทียนย่อมไม่เข้าใจถึงการเตรียมใจของพวกหลินหยาน และคิดว่าพวกเขากำลังจะเดินทางกลับสำนักเทียนจี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยวาจาฉุดรั้งแต่อย่างใด จากนั้นพวกเขาจึงแยกทางกัน
ก่อนจากกันยี่เชียนหานยังไม่ลืมถลึงตามองฉินเทียนอย่างอาฆาตจนทำให้ฉินเทียนเหงื่อตก สายตาที่ทิ่มแทงนี้ราวกับหลุมน้ำแข็งอันเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกเหน็บหนาวเหลือประมาณ ฉินเทียนรีบเบนสายตาหลบ เขาไม่กล้าสบประสานสายตาน่ากลัวคู่นั้นแล้ว
เขารู้สึกว่าการเอาเปรียบนางตอนที่นางปกป้องตัวเองไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด ตอนนั้นจิตใจของเขาใสกระจ่างดุจผิวทะเลสาบ ตัวเขาที่เป็นบุรุษย่อมต้องมีสัญชาตญาณของบุรุษ จะให้ควบคุมไว้นั้นเป็นเรื่องยาก…..อืม อกของนางให้ความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆ
เพื่อหลบหลีกสายตาจากยี่เชียนหาน ฉินเทียนรีบเดินหนีไปอีกทางก่อนจะหายเข้าไปในป่าอย่างไร้ร่องรอย…….
“เชียนหาน เขาทำอะไรให้เจ้างั้นหรือ? เจ้าถึงได้จ้องเขาแบบนั้น”
ฉางเฟิงเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสไว สายตาที่ยี่เชียนหานใช้มองฉินเทียนตั้งแต่ที่นางฟื้นขึ้นมานั้นแปลกไปแล้ว อีกทั้งยังท่าทางหลบหน้าหลบตาของฉินเทียนอีก เขามั่นใจว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ
ยี่เชียนหานเงียบไม่ตอบคำ ปกตินางก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อหลินหยานออกคำสั่ง นางก็ปฏิบัติตาม ในกลุ่มนี้นั้นความแข็งแกร่งของนางอยู่ลำดับสอง อยู่ในระดับเก้าของขั้นรวบรวมวิญญาณ หากจากขั้นกลั่นวิญญาณอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ยี่เชียนหานเป็นหญิงสาวสะคราญโฉม ในสำนักเทียนจี๋นางนั้นมีฉายาว่านางงามน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามการลงมือของนางนั้นโหดอำมหิต นางไม่เคยปล่อยผู้ที่ตอแยนางไปง่ายๆ ดังนั้นนางจึงมีอีกฉายาว่า ‘เทพธิดาไร้ปราณี’
สำหรับฉินเทียน ในใจนางย่อมมีความคิดฆ่าฟัน แต่เมื่อทราบว่าฉินเทียนเอาชนะหยางฮั่นในหนึ่งกระบวนท่า จิตสังหารก็เบาบางลง อันที่จริงนางกลับรู้สึกยินดีเล็กๆ
หยางฮั่นเป็นผู้ที่นางหมายสังหารแม้ในยามหลับฝัน
“เอาล่ะ ไม่พูดกันเรื่องนี้อีก ข้าจะเริ่มแบ่งหน้าที่ล่ะนะ…”
เมื่อเห็นยี่เชียนหานนิ่งเงียบ หลินหยานย่อมคิดว่าฉินเทียนไม่ได้ทำอะไรนาง และเริ่มแจกแจงงาน
สัตว์อสูรระดับห้าราวกับหายเข้ากลีบเมฆ
หลินหยานและกลุ่มของเขาตามหาสัตว์อสูรระดับห้าเพื่อหวังสังหารเอาแก่นภายในจากมัน การเดินทางมาครั้งนี้จึงจะไม่สูญเปล่า แก่นภายในสำคัญต่อระดับบ่มเพาะปัจจุบันของพวกเขา ดังนั้นหลินหยานจึงต้องการล่วงลึกเข้าไปในเทือกเขาคุนหลุนเพื่อหาสัตว์อสูรระดับห้า…..
หลินหยาน ฟางขุย และยี่เชียนหานคอยรับผิดชอบการสังหารสัตว์อสูร ขณะที่ฉางเฟิงคอยเก็บแก่นภายในและเลือดเนื้อของพวกมัน เสวี่ยติงซานคอยเลือกเฟ้นหญ้าวิญญาณ
ทั้งห้าแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ด้วยการสอดประสานอย่างลงตัว พวกเขาก็คล้ายกับพายุหอบหนึ่งกวาดผ่านป่าไป
ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน ทุกสิ่งที่สามารถนำไปขายทำกำไรหรือนำมาใช้ล้วนถูกเก็บไป ไม่เว้นแม้แต่หญ้าวิญญาณราคาต่ำ จะเห็นได้ว่าพวกเขาต้องอยู่อย่างขมขื่นเพียงใดในสำนักเทียนจี๋
แต่ไม่ว่าอย่างไรสำนักเทียนจี๋ก็นับเป็นสำนักใหญ่ในโลกผู้ฝึกตน การเข้าร่วมสำนักได้ถือเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตายิ่ง อย่างไรก็ตามในสำนักไม่มีผู้ใดตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเท่ากับพวกเขาแล้ว พวกเขากระทั่งล่าสัตว์อสูรระดับต่ำเพื่อไม่ให้กลับไปมือเปล่า
‘ยากจนข้นแค้น’ คำนิยามนี้สามารถอธิบายสถานการณ์ในเวลานี้ของพวกเขา
ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าของพวกเขาก็ยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม สายสัมพัธ์ฉันท์สหายนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ในยามกลางคืนที่หมู่เมฆแน่นขนัด
ท้องฟ้าดำปื้นทั้งผืนแผ่น บรรยากาศดูอึมครึมราวกับฝนห่าใหญ่กำลังจะเทลงมา
ฉินเทียนเอนตัวพิงผนังถ้ำพลางคิดย้อนถึงท่าโจมตีอันทรงพลังของหยางฮั่น ความแข็งแกร่งหลังกระบวนท่านั้นทำให้ฉินเทียนถึงกับขนลุก ท่านั้นทำให้เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างขั้นรวบรวมวิญญาณและขั้นกลั่นวิญญาณ ตัวเขาคล้ายยืนอยู่หน้าขุนเขาลูกหนึ่ง
แรงกดดัน เป็นแรงกดดันที่มหาศาลนัก
สองปีก่อน ฉินเซี่ยงเทียนอยู่ในระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี เขาจะทะลวงผ่านไปแล้วหรือยังนะ?
ถึงตอนนั้นจิ้งจอกเฒ่าฉินซานเทียนจะมีการแสดงออกอย่างไร ใช่จะยืนอยู่ฝั่งข้าไหม?
ฉินเทียนไม่เคยคิดเกี่ยวเรื่องนี้มาก่อน เขาเพียงคิดสังหารคนเหล่านั้นในอีกสามปีให้หลัง แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าตนเองประเมินพลังของคนกลุ่มนั้นต่ำไป ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขั้นกลั่นวิญญาณ เขาไม่แน่ใจว่าจะจัดการอีกฝ่ายได้หรือไม่
วันนี้เขาทำให้หยางฮั่นขุ่นเคือง อนาคตของเขาในสำนักเทียนจี๋คงไม่ง่ายแล้ว เพื่อไม่ต้องถูกรังแก เพื่อกลับไปและสังหารบอสใหญ่ทั้งสองที่ตระกูล เขาก็เหลือหนทางเดียวแล้ว
เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ภายในครึ่งเดือน เขาจะต้องทะลวงผ่านขั้นกลั่นวิญญาณ!
สายตาของฉินเทียนเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น เขจาลุกขึ้นก่อนจะโผทะยานออกจากถ้ำไป…..
มาวมาวที่หลับอยู่พลันสะดุ้งก่อนจะลุกขึ้นวิ่งตามฉินเทียนไป
ท้องฟ้ามืดครึ้มอึมครึม หากแต่จิตใจของฉินเทียนกลับใสกระจ่างดุจคันฉ่อง
ภายใต้ดาบกระดูกที่กวาดผ่าน สัตว์อสูรตัวแล้วตัวเล่าที่ล้มลง แถบค่าประสบการณืของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นดินโดยรอบอาบย้อมไปด้วยโลหิตจากสัตว์อสูร อีกทั้งตัวเขาเองก็เช่นกัน สัตว์อสูรระดับสี่ที่ก่อนหน้ายังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่รายรอบตอนนี้กลับยืนขาสั่น บางส่วนเริ่มหันหลังวิ่งหนีสุดชีวิต
ฉินเทียนฆ่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตรงกันข้ามเขากลับตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ มาวมาวเองก็ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากเจ้านาย มันจึงสู้อย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามขณะที่มันกระโจนเข้าใส่ศัตรู วินาทีถัดมามันก็ถูกยันกระเด็นโดยสัตว์อสูรระดับสี่ หากไม่ใช่ว่าผิวหนังของมันหนา เวลานี้มันคงกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว
มาวมาวกัดฟันอย่างขุ่นเคืองก่อนจะกางกรงเล็บตวัดใส่อย่างดุดัน คมเขี้ยวสายลมที่เล็กจนตาแทบมองไม่เห็นพลันพุ่งออก หากหลังใช้ออกมาวมาวก็ลิ้นห้อยก่อนจะหน้าคะมำใส่พื้นราวกับหมาตาย
ยิ่งล่วงลึกจำนวนของสัตว์อสูรก็ค่อยๆลดลง พื้นที่รอบข้างกองสุมไว้ด้วยซากศพ ศพเหล่านั้นล้วนถูกแล่เนื้อหนัง กระทั่งหญ้าวิญญาณตามข้างทางยังถูกถอนไป
ฉินเทียนได้แต่ประหลาดใจ “กลุ่มยาจกจากใดกัน? นี่ไม่เก็บกวาดจนเกลี้ยงเกลาไปหน่อยเหรอ? ต้องร้อนเงินขนาดไหนเนี่ย สังหารสัตว์อสูรระดับสี่ได้ แต่กระทั่งหญ้าวิญญาณก็ยังเก็บไปไม่เหลือ?”
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ เข้ามาในเทือกเขาคุนหลุนได้ย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดา สมควรไม่เหลือบแลของที่แทบเรียกว่าเป็นขยะเหล่านี้ หากแต่เส้นทางเบื้องหน้าของเขากลับถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะยากจนเพียงใดก็คงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้กระมัง?”
เขาเลิกขบคิดให้มากความ และเดินไปตามร่องรอยซากศพ เขาต้องการจะดูโฉมหน้าเหล่าขอทานที่กระทำเรื่องเช่นนี้…..