จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 77.2
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 77.2 ด้านหลังของผา
สังหารบอสที่เป็นมนุษย์ช่างให้ความรู้สึกที่สุดยอด ต่อให้คิดจนสมองแตก เขาก็คิดไม่ถึงว่าการสังหารฉินเซี่ยงเทียนจะทำให้เขาได้รับค่าประสบการณ์และพลังปราณมากมายปานนี้ นี่มันเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง
การฆ่าฉินเซี่ยงเทียนทำให้เขาได้รับโชคลาภครั้งใหญ่
ยืนอยู่บนเวทีประลองเป็นตาย ฉินเทียนจ้องไปยังเหล่าผู้อาวุโสก่อนจะถามเสียงเย็น “ฉินควงอยู่ไหน?”
บอสมนุษย์ให้ค่าประสบการณ์จนอิ่มหนำ นี่ทำให้ฉินเทียนกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะฆ่าฉินควงใจแทบขาด ค่าประสบการณ์หลักแสนออกจะดึงดูดใจไปแล้ว
ตั้งแต่ฉินเซี่ยงเทียนตาย ฉินเทียนก็เก็บถอนจิตสังหาร ในหมู่ของเหล่าศิษย์เต็มไปด้วยเสียงซุบซิบพูดคุย ศิษย์สายนอกส่วนใหญ่เคยได้ยินเรื่องของฉินเทียนมาบ้าง และเมื่อได้เห็นฉินเทียนสังหารผู้อาวุโสใหญ่ได้ในไม่กี่กระบวน ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัว
จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความคิดที่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น
สุดท้ายความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งก็กลายเป็นเคารพเทิดทูน พวกเขาเทิดทูนผู้แข็งแกร่ง
ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งจะไปที่ใด พวกเขาก็จะได้รับความเคารพจากผู้คน นี่คือโลกที่ผู้คนเคารพผู้แข็งแกร่ง
ศิษย์คนหนึ่งเดินไปที่ขอบของเวทีประลองเป็นตาย เขาก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาฉินเทียนขณะกล่าว “ผู้อาวุโสฉินควงและท่านประมุขไปที่เมืองขอบนภาขอรับ”
ฉินเทียนตื่นจากฝันหวาน “ไม่อยู่?”
เมื่อย้อนคิดถึงความจริงที่ว่าเขาได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้นที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นฉินซานเทียนและฉินควงที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำก็ยังไม่ปรากฏกาย นึกดูแล้วก็เป็นจริงตามนั้น
“เมืองขอบนภา?” แววตาของฉินเทียนเปลี่ยนไป ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อเขานึกถึงอวิ๋นม่านและเมิ่งเล่ยที่ตอนนี้ไม่ทราบชะตากรรมหลังตกจากผา
ฉินเทียนไม่ต้องการให้อวิ๋นม่านตกที่นั่งลำบาก คิดถึงตรงนี้ โทสะที่พอจะมอดดับไปได้บ้างก็ลุกโชนขึ้นอีกครา ซ้ำยังมากกว่าเก่า ร่างของฉินเทียนพลันหายลับก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้ากลุ่มผุ้อาวุโส “ประมุขและฉินควงไปที่เมืองขอบนภา?”
เหล่าผู้อาวุโสมองฉินเทียนอย่างรังเกียจก่อนจะหันหน้าหนีไม่ตอบคำ สีหน้าแต่ละคนแฝงแววเย่อหยิ่งถือดีเอาไว้ คุณธรรมอันสูงส่งภายในใจมองฉินเทียนอย่างหยามเหยียด
แม้ความเป็นความตายของผู้ประลองจะขึ้นอยู่กับโชควาสนา กระนั้นผู้ที่ถูกฆ่ากลับเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูล เรื่องนี้อุกอาจเกินไป นี่เท่ากับเป็นการไม่เห็นเหล่าผู้อาวุโสอยู่ในสายตา
“หืม……”
ฉินเทียนคว้าปกเสื้อของผู้อาวุโสคนหนึ่งยกขึ้น ก่อนจะถามเสียงเย็น “ข้าจะไม่ถามอีกเป็นครั้งที่สอง”
ฉินเทียนไม่ต้องการปฏิบัติต่อเหล่าผู้อาวุโสเฉกเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อฉินเซี่ยงเทียน แต่ในเมื่อใช้ไม้นวมไม่ได้ผล เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ไม้แข็ง
“ฉินเทียน…จะ….เจ้า..เจ้าช่างกำเริบเสิบสานนัก เจ้าคิดหรือว่า…ในตระกูลฉินนี้ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเจ้า?”
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าหัดเคารพผู้อาวุโสและปล่อยข้าลงเสีย มิเช่นนั้นหากท่านประมุขกลับมา เจ้าจะเดือดร้อน”
“อุกอาจมาก!”
“ปล่อยข้าลง ปล่อยข้า”
ผุ้อาวุโสที่ถูกยกปกเสื้อไม่อาจแม้แต่จะขยับร่าง พละกำลังของเขาสู้ฉินเทียนไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ร้องโวยวาย แรงกดดันค่อยๆกดทับลงบนร่างของเขา ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขารีบร้องขึ้นเสียงสั่น “ชะ…ใช่แล้ว พวกเขาเป็นตัวแทนของตระกูลฉินไปยังเมืองขอบนภา….”
“อวิ๋นม่านก็ด้วย?” ฉินเทียนถามต่อ
“ใช่ ใช่ อวิ๋นม่านต้องเดินทางไปแต่งงานกับหยางหลิน งานแต่งจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้…..”
ผู้อาวุโสคนนั้นรีบกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจทนต่อแรงกดดันที่ฉินเทียนปล่อยออกมาได้อีกแล้ว
เพื่อจัดการเหล่าผู้อาวุโสที่รู้จักแต่การข่มเหงคนอ่อนแอ เพื่อจัดการกับเหล่าคนที่วันๆไม่ทำงานทำการใดๆ ฉินเทียนมีวิธีการมากมายยิ่ง
“พรุ่งนี้?” ฉินเทียนปล่อยมือ ผู้อาวุโสคนนั้นร่วงลงกองกับพื้นอย่างหมดแรง เขาหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างหนัก เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆมองเขาด้วยความสงสาร ใบหน้าของพวกเขาไม่เย่อหยิ่งดังเช่นก่อนหน้านี้อีก ทั้งหมดยืนกุมมืออย่างนอบน้อม ไม่มีผู้ใดกล้าสบสายตากับฉินเทียน
ตระกูลฉินเป็นตระกูลที่เคารพผู้เข้มแข็ง ขอเพียงเป็นผุ้แข็งกร่ง ท่านก็สามารถท้าทายต่อประมุขของตระกูล หากว่าสำเร็จ ท่านก็สามารถนั่งตำแหน่งประมุข
เดิมทีฉินเทียนต้องการท้าทายฉินซานเทียนในงานประเมินตอนอายุสิบแปดปี หากแต่ตระกูลฉินในเวลานี้ไม่ใช่ตระกูลฉินในอดีตอีกแล้ว
เขาไม่กังวลเกี่ยวกับงานประเมินตอนอายุสิบแปดปีอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานี้คือการช่วยอวิ๋นม่านออกมา แต่ผู้ที่เขาต้องต่อกรก็คือราชาพายัพหยางฮง ฉินเทียนจิตใจหนักอึ้ง แม้เขาจะไม่ทราบว่าราชาพายัพมีอำนาจมากเพียงใด แต่เมื่อสามารถตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้ นั่นย่อมหมายความว่าเขามีขุมกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านกองทัพทั้งอาณาจักร
ฉินเทียนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะคิดขึ้นในใจ ‘อาณาจักรขอบนภางั้นรึ?’
‘ไม่ว่าใครหน้าไหน หากกล้าขวางทางข้า ตาย!’
เมืองชิงเหอตั้งอยู่ห่างจากเมืองขอบนภาราวสามร้อยห้าสิบลี้ ฉินเทียนเชื่อมั่นว่าสามารถไปถึงเมืองแห่งนั้นได้ในหนึ่งคืน
ก่อนที่ฉินเทียนจะเดินทางไปเมืองขอบนภา เขาต้องการไปยังหน้าผาแห่งนั้นก่อน เขาเชื่อมั่นว่าเจ้าอ้วนนั่นต้องยังไม่ตาย หรือต่อให้ตายแล้ว เขาก็จะฉุดดึงอีกฝ่ายกลับมาจากโลกหลังความตาย ก่อนหน้านี้คังเทียนจี๋กล่าวไว้ว่าหากสามารถใช้ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุงสุด การสร้างร่างหรือฟื้นจากความตายก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
“เจ้าอ้วน ข้ารู้ว่าเจ้าต้องยังไม่ตาย ข้ายังอยากผจญภัยไปกับเจ้าอยู่นะ……”
จากนั้นเขาก็หันกลับไปข้างหลัง “ใครพาข้าไปด้านหลังผาได้บ้าง?”
“ข้า……”
“ข้า……”
……………………………………
ศิษย์บางคนรีบก้าวออกมาด้านหน้า ฉินเทียนฉีกยิ้มขณะมองไปยังยามเฝ้าประตูที่พาเขาเข้ามา “รู้ทางหรือไม่?”
แววตาของยามเฝ้าประตูฉายแววประหลาดใจ “รู้….รู้ขอรับ”
“ดี อย่างนั้นข้าเลือกเจ้า”
…………………………………….
ผาด้านหลังตระกูลฉิน ทั้งเย็นเยียบ ทั้งมืดสนิท
คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้มีความผิด สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของที่นี่ทำให้นักโทษเก้าในสิบไม่อาจมีชีวิตรอดเกินหนึ่งปี แม้แต่ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงก็ยากจะรอด
ที่นี่มีเพียงฤดูเดียวตลอดปี นั่นคือฤดูหนาว ที่แห่งนี้แทบไม่ต่างอะไรกับนรกขุมหนึ่ง
เมื่อฉินเทียนมาถึงหน้าผา หัวใจของเขาก็บีบรัด นี่ไม่ใช่ที่ที่คนจะอาศัยอยู่ได้ แม้แต่ตัวเขาที่อยู่ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณก็ยังรู้สึกหนาวยะเยือก ยามเฝ้าประตูที่อยู่ด้านข้างยังย่ำแย่ยิ่งกว่า เวลานี้กระทั่งก้าวเดินยังทำได้อย่างลำบาก
“เจ้ากลับไปก่อน”
ฉินเทียนทราบว่ายามเฝ้าประตูถึงขีดจำกัดแล้ว หากยังเดินหน้าต่อ ตัวเขาคงขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วมือ
ยามเฝ้าประตูรีบร้อนจากไปราวกับได้รับอภัยโทษ ขืนอยู่นานกว่านี้เขาคงถูกสายลมอันชั่วร้ายพัดตกผาไป
ฮู ฮู ฮู…….
สายลมยังคงพัดกระทบร่างของฉินเทียน แต่เขาก็ไม่ได้ใช้พลังปราณคลี่คลุมกาย เพราะเมื่อสายลมที่แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายนี้พัดกระทบร่าง มันก็จะถูกคัมภีร์มังกรฟ้าดูดซับไป คัมภีร์มังกรฟ้านี้นับเป็นของวิเศษคุ้มกายจริงๆ
ขณะที่เดินไปตามทาง ฉินเทียนก็คิดถึงตอนที่เมิ่งเล่ยพาอวิ๋นม่านมาซ่อนตัวที่นี่ ยิ่งคิดในใจของเขาก็ยิ่งเย็นเยียบ จิตสังหารเริ่มแผ่กำจาย
“ฉินควง ฉินเซี่ยงเทียน บิดาไม่มีวันอภัยให้พวกเจ้า!”
“ย่าห์ ย่าห์…ฮ่าห์…”
มีเสียงคนกำลังฝึกดังมาจากทางจุดสูงสุดของหน้าผา ดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบจากสายลมแม้แต่น้อย ฉินเทียนจ้องมองไปยังตำแหน่งที่มาของเสียง แล้วก็ต้องประหลาดใจ
“ฉินเฟิง!”