จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 78
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 78 เต๋าแห่งการฆ่า
“ฉินเฟิง!”
ฉินเทียนค่อนข้างประหลาดใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อนยังคงสดใหม่ในความทรงจำ เพียงเพราะประโยคเดียวจากฉินควง ฉินซานเทียนได้ลงโทษให้ฉินเฟิงไปสำนึกผิดที่ผาด้านหลังเป็นเวลาสามปี ประโยคนี้ไม่ต่างอะไรกับการตัดสินโทษตาย เพราะผู้ที่ถูกผลักไสมาที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกตระกูลละทิ้ง
นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่มีมนุษย์อยู่รอดในสถานที่โหดร้ายเช่นนี้ได้ ฉินเฟิงมีคิ้วคมเข้มดุจกระบี่ นัยน์ตาทั้งสองเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันแน่วแน่ เมื่อเทียบกับสามปีก่อนแล้ว ดูราวกับเขาได้ผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น ฉินเฟิงในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
เมื่อพบเห็นฉินเทียน ฉินเฟิงก็หยุดการฝึก ใบหน้าของเขาฉายชัดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเองก็ถูกลงโทษ?”
จบคำ ฉินเฟิงก็หัวเราะเป็นเชิงเยาะเย้ยในความโง่เขลาของตน หากไม่ถูกลงโทษ คนดีๆที่ไหนจะเหยียบย่างมาที่นี่?
ไม่มีใครในตระกูลฉินที่ยินดีจะมาเยือน ‘ผานรก’ แห่งนี้ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีเขาเพียงคนเดียวที่สามารถรอดชีวิต เขาพึ่งพาจิตใจที่หวงแหนชีวิตจนรอดมาได้ และตอนนี้เขาก็ชักจะชอบที่นี่ขึ้นมาแล้ว ที่นี่ได้เปิดกรุยเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแก่เขา
“ไม่ใช่ว่าครบสามปีแล้วรึ? เจ้าไฉนยังไม่ออกไป?” ฉินเทียนตอบกลับด้วยประโยคคำถาม จากนั้นจึงยกมือไพล่หลังพลางจ้องมองไปยังขอบฟ้าที่มืดมิด ในใจจมอยู่ในความคิด
ลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่าน ฉินเทียนยกมือเกาหน้า แต่ถึงอย้่างนั้นฉินเทียนก็ยังรู้สึกจิตใจสงบ เขารู้สึกดื่มด่ำไปกับความสงบของที่นี่ เขาระงับความโกรธในใจ จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม “ดูเหมือนที่นี่จะยังไม่เลว ตอนนี้เจ้าบรรลุขั้นรวบรวมวิญญาณแล้ว”
ฉินเฟิงยืนนิ่งอย่างงุนงง ทั้งเขาและฉินเทียนต่างก็อยู่ในรุ่นเดียวกัน หากแต่เงาร่างของฉินเทียนกลับดูสูงใหญ่ถึงเพียงนั้น เขาเหมือนชายชราที่กร้านโลก ทั้งฉลาดและมองการณ์ไกล ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนความทะเยอทะยานไว้ภายใน ฉินเทียนให้ความรู้สึกราวสามารถมองเหยียดผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เกิดอะไรขึ้น? ฉินเฟิงได้แต่สงสัย
เรื่องที่น่าตกตะลึงที่สุดสำหรับเขาก็คือความแข็งแกร่งของฉินเทียน ที่ผ่านมาเขาคิดว่าช่องว่างระหว่างพวกเขามีอยู่ไม่มาก หากกัดฟันฝึกปรืออย่างหนักก็คงไล่ตามได้ทัน ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าช่องว่างนั้นยิ่งมาก็ยิ่งกว้างขึ้น และเขาคงไม่อาจทำให้มันหดแคบลง
“ระดับบ่มเพาะของเจ้า……..ถึงขั้นใดแล้ว?” ฉินเฟิงนิ่งอยุ่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจถามออกไป สามปีมานี้ ฉินเทียนก็คือเป้าหมายที่เขาไล่ตาม หลังจากก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นรวบรวมวิญญาณ ฉินเฟิงก็คิดว่าเขาคงล้ำหน้าฉินเทียนไปแล้ว
อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ตัวเขายังคงถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
กลิ่นอายระหว่างพวกเขาแตกต่างกันเกินไป
“ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ” ฉินเทียนตอบขณะที่สายตายังคงมองไปที่ไกลๆ จากนั้นจึงเอ่ยปากถาม “เมิ่งเล่ยตกลงไปจากตรงไหน?”
“ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ…..ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ…….”
ฉินเฟิงราวกับไม่ได้ยินคำถามของฉินเทียน เขาเอาแต่พึมพำคำว่า ‘ระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ’ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างตกตะลึง ใบหน้าเผยยิ้มเย้ยหยันตนเอง ความมั่นใจที่มีก่อนหน้าพลันพังทลายไม่มีชิ้นดี
“ช่องว่างที่ยิ่งมาก็ยิ่งกว้าง…..” ฉินเฟิงรู้สึกขมขื่น ทั้งร่างกลายเป็นไร้พลัง เขากลับหลงคิดว่าด้วยความช่วยเหลือของสายลมของที่นี่จนตัดผ่านไปขั้นรวบรวมวิญญาณ และใช้เวลาอีกหนึ่งปีขัดเกลาจนมาอยู่ที่ระดับสาม เขาก็คงนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าฉินทียนจะพุ่งพรวดล้ำหน้าไปไกลถึงระดับเก้าขั้นรวบรวมวิญญาณ
ฉินเทียนยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? นี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!
ครู่ต่อมาเขาก็จำได้ว่าฉินเทียนเอ่ยถาม ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขมขื่นขณะยิ้มเฝื่อน “ขออภัย ข้าปกป้องเขาไว้ไม่ได้ หากว่าข้าแข็งแกร่งกว่านี้ บางทีเมิ่งเล่ยก็อาจจะไม่ตาย”
ฉินเทียนคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะเอ่ยคำขอโทษออกมา ดังนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าช่วยเล่าสถานการณ์ตอนนั้นให้ฟังได้หรือไม่?”
ฉินเฟิงมองฉินเทียนก่อนจะนั่งลง เขาจ้องไปยังที่ที่ห่างไกล ขณะที่แววตาฉายแววโศกเศร้า เขาบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง ความไม่เต็มใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า มือรวบกำเป็นหมัดสั่นด้วยความโกรธ
ฉินเทียนนั่งฟังเงียบๆขณะที่ความโกรธภายในใจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเล่าอย่างยาวนาน ฉินเฟิงก็ระบายลมหายใจยาว “ขณะที่เกิดเรื่อง ท่านประมุขเพียงมองดูอย่างเย็นชาอยู่ด้านข้าง”
“หากเขาทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยช่วยพูดให้เมิ่งเล่ยก็ยังดี เมิ่งเล่ยก็คงไม่ถูกผู้อาวุโสใหญ่ผลักตกผา น่าสงสารนัก…..”
“ตระกูลฉินในเวลานี้ไม่ใช่ตระกูลฉินดังเก่า…..”
“ฉินซานเทียนเป็นพวกดื้อรั้น ทั้งยังจิตใจคับแคบ เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดในตระกูลก้าวล้ำนำหน้า เพื่อที่เขาจะสามารถกระทำตามอำเภอใจได้ในตระกูลฉินแห่งนี้ ทว่าเขาก็ยังคงถูกจำกัดไว้โดยเหล่าผู้อาวุโส เพื่อตำแหน่งประมุขตระกูลแล้ว เขาจะต้องประนีประนอม มิเช่นนั้นคงยากจะรักษาตำแหน่งไว้”
“ตระกูลฉินในเวลานี้เสื่อมโทรมลง….”
กล่าวจบฉินเฟิงก็หลับตา เขาสู้ทนกัดฟันบ่มเพาะมาหลายปีเพราะต้องการจะเปลี่ยนแปลงตระกูล แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว เขาก็สมเพชตัวเอง ตัวเขาในตอนนี้ยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอจะต้านรับหนึ่งท่าของฉินซานเทียนเสียด้วยซ่้ำ นับประสาอะไรกับการเปลี่ยนแปลงทั้งตระกูล?
“อาใช่แล้ว ดูเหมือนตระกูลหยางแห่งเมืองขอบนภาจะให้ความสำคัญกับอวิ๋นม่านนะ พวกนั้นถึงกับมอบแก่นสัตว์อสูรถึงสามแก่นเป็นของหมั้น ผู้อาวุโสเองก็ตัดผ่านขั้นกลั่นวิญญาณด้วยแก่นที่ได้มานี้เอง มิเช่นนั้นคงอยุ่ระดับชั้นเดิม”
“สามแก่น? อย่างนี้นี่เอง” ฉินเทียนขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด ‘อีกสองอยู่กับฉินซานเทียนและฉินควง รวมเป็นสามแก่นพอดี ฉินซานเทียนเอยฉินซานเทียน เจ้ากลับไม่รักษาสัญญา กระทั่งปล่อยให้เมิ่งเล่ยถูกโยนลงผาขณะตนเองยืนดูอยู่ด้านข้าง เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็อย่าตำหนิว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน’
คิดถึงตรงนี้ จิตสังหารก็แผ่ออกจากร่าง
อากาศคล้ายเย็นกว่าเก่า ฉินเฟิงที่ทนความหนาวเหน็บของสถานที่นี้มาได้หลายปีพลันอดสยิวกายคราหนึ่งเสียไม่ได้
“กลับไปที่ตระกูลฉินเถอะ”
“ตระกูลฉินต้องการเจ้า”
จู่ๆฉินเทียนก็เอ่ยขึ้น เมื่อสามปีก่อนตอนงานชุมนุม ความรู้สึกที่เขามีต่อฉินเฟิงยังไม่เลว อีกทั้งเขายังสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ ในอนาคตเขาจะต้องกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เป็นแน่ อีกทั้งฉินเฟิงยังสามารถซุ่มฝึกฝนอย่างหนักและฉินเทียนก็เข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใด
ฟังจากที่ฉินเฟิงกล่าวมา เขาสามารถจับความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตระกูลได้ในคำพูดของฉินเฟิง
แม้ว่าฉินเทียนเองก็ต้องการจะทำเช่นนั้น หากแต่เขาไม่มีเวลาเพียงพอ ทั้งยังไม่ต้องการเสียเวลาไปกับตระกูล สำหรับฉินเทียนแล้ว ตระกูลฉินนั้นเล็กเกินไป เป้าหมายของเขาสูงและไกลกว่านั้นมาก
หลังจากสังหารฉินเซี่ยงเมทียนและรับเอาค่าประสบการณ์และพลังปราณจำนวนมาก เขาก็ทราบแล้วว่าชั่วชีวิตนี้คงต้องเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการฆ่าฟัน เขาจำเป็นต้องก้าวข้ามบอสที่เป็นมนุษย์อีกนับไม่ถ้วน หลงเสี่ยวเทียนแห่งสำนักเทียนจี๋ ประมุขของนิกายพันปีศาจ คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบอสที่แข็งแกร่ง และฉินเทียนจะต้องเหยียบย่ำพวกเขาเพื่อเติบโต
นี่ก็คือ เต๋าแห่งการฆ่าฟัน
นี่ก็คือเต๋าของเขา!
ฉินเฟิงประหลาดใจก่อนจะกล่าวอย่างเต็มฝืน “ไม่มีคำสั่งให้กลับจากประมุข ข้าก็ไม่สามารถกลับไป ถึงต่อให้กลับไปได้ ข้าก็ไม่ต้องการรับการดูถูกขณะที่ตนไม่สามารถกระทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นการมีชีวิตอยู่ของข้าคงไร้ความหมาย ข้าอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน และเมื่อข้าทะลวงผ่านไปขั้นกลั่นวิญญาณได้ ข้าก็จะมีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงตระกูล ถึงตอนนั้นข้าค่อยออกไป…..”
“นี่ให้เจ้า” ฉินเทียนนำแก่นที่เคยเป็นของฉินเซี่ยงเทียนออกมาจากแหวนมิติและยื่นให้ฉินเฟิง “ฉินเซี่ยงเทียนตายแล้ว ตำแหน่งประมุขตระกูลจะเป็นของเจ้า”
ฉินเทียนกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ฉินเฟิงไม่รู้สึกว่าเขากำลังโกหก เขาจ้องมองแก่นก่อนจะกัดฟันรับไว้ “ขอบใจ”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขากล่าว ‘ขอบใจ’ และมันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นกว่าเดิม
“สำหรับฉินซานเทียน….เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เจ้าวางใจได้ ที่ข้ามอบแก่นให้เจ้าก็เพื่อเป็นแรงจูงใจที่จะฟื้นฟูตระกูล ตระกูลฉินในเวลานี้ต้องการคนเช่นเจ้า” ฉินเทียนลุกขึ้นยืนพลางมองไปยังขอบฟ้า
“เมิ่งเล่ย เจ้าต้องยังมีชีวิตอยู่…..”
“ข้าเชื่อว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่!”