จอมยุทธ์ระบบเลเวล Invincible Level Up - ตอนที่ 82
จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 82 วุ่นวาย!
ฉินซานเทียนกลายเป็นบอสมนุษย์อีกคนหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เขาทำเพียงยืนดูอยู่ด้านข้างตอนที่เมิ่งเล่ยถูกทำร้ายตกผา เขาก็กลายเป็นบอสมนุษย์สำหรับฉินเทียน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของฉินเทียนมากนัก เพราะในอดีต ฉินควงก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ หลังจากทราบว่าฉินเทียนสังหารฉินหยาง เขาก็กลายเป็นบอสที่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
ระบบได้ยืนยันตัวตนของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ฉินเทียนสามารถสังหารพวกเขาได้โดยไม่มีความลังเลใดๆ ตราบที่มีโอกาส เขาจะสังหารอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
เมื่อบอสปรากฏกาย มันย่อมต้องถูกล่า หากไม่ล่ามัน เขาจะเพลิดเพลินไปกับค่าประสบการณ์และค่าปราณมากมายจากที่ไหนอีกล่ะ?
“ฉินซานเทียน รอก่อนเถอะ ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกเอง” ฉินเทียนแค่นเสียงในใจขณะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ค่าประสบการณ์ที่ได้จากการสังหารบอสมนุษย์ทำให้ฉินเทียนตื่นเต้นยินดี ต้องสังหารสัตว์อสูรมากมายเพียงใดกว่าได้ค่าประสบการณ์ถึงแสนหน่วยกันล่ะ?
อย่างไรก็ตาม ยังไม่จำเป็นต้องรีบสังหารฉินซานเทียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลืออวิ๋นม่านในช่วงชุลมุน ฉินเทียนสงบสติอารมณ์ลง เขาเปิดใช้งานเคล็ดมังกรฟ้า และเตรียมตัวพร้อม……..
ที่ลานจัสตุรัสของวังหลวง หยางหลินประคองอวิ๋นม่านที่แข็งทื่อราวกับตอไม้ขึ้นเวที
เสียงแตรดังขึ้นอย่างยาวนานจนกังวานไปทั่วทั้งเมือง จกานั้นไม่นากลองที่อยู่ด้านข้างเวทีก็ถูกตีจนดังกระหึ่ม มวลชนเริ่มคุกเข่าลง
ฉินเทียนขมวดคิ้วมุ่น กลิ่นอายสังหารของเขาจับสัมผัสบางสิ่งได้ กลิ่นอายของมือสังหารเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันราวกับว่ากำลังจะลงมือ
มือสังหารอีกสองคนเองก็เตรียมเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน…….
และก็เป็นดังคาด มือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หลังคาพลันพุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางเสียงดังของกลอง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการคงอยู่ของเขา…..
ปัง!
แควก!
หยางหลินแค่นเสียง ชุดคลุมสีเหลืองของเขาพลันถูกฉีกกระชากด้วยพลังปราณจนเผยให้เห็นชุดเกราะที่กำลังเปล่งแสงอยู่ จากแสงที่เปล่งออกมาก็ทำให้ทราบได้ว่ามันไม่ใช่ชุดเกราะธรรมดาสามัญ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นชุดเกราะระดับสูง
ทว่านี่กลับเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจ เป้าหมายของมือสังหารคนแรกคือการดึงดูดความสนใจของหยางหลิน และทำให้เขาคลายการระวังป้องกันอวิ๋นม่าน…….
วินาทีถัดมา มือสังหารอีกสองคนก็เคลื่อนไหวลงมือ หลังจากควบแน่นพลังปราณ ทั้งสองก็ยิงกระสุนปราณออกด้วยความเร็วสูงสุด
ฉินเทียนตกใจและเริ่มกังวลขึ้นมา ‘เป้าหมายของพวกมันคืออวิ๋นม่าน!’ ในเวลาเดียวกัน ฉินเทียนก็พุ่งตัวออกไป
“มือสังหาร!……..”
“ทหารองค์รักษ์อยู่ที่ไหน?”
“ฆ่าเจ้าพวกนั้นซะ!…..”
หยางหลินที่อยู่บนเวทีมองไปยังกลุ่มมือสังหารด้วยความโกรธ เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเป้าสังหารจะเป็นอวิ๋นม่าน แม้ว่าตัวเขาจะตกอยู่ในอันตราย อวิ๋นม่านจะต้องปลอดภัย เมื่อมีนางอยู่ บิดาของเขาจะได้ปกครองโลกใบนี้ นอกจากนี้ยังสามารถนำตัวนางไปมอบต่ออาจารย์ของเขาเพื่อช่วยให้อาจารย์ของเขารอดพ้นภัยพิบัติและก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า บรรลุขอบเขตขั้นเซียน
เผชิญหน้ากับสองมือสังหารขั้นกลั่นวิญญาณ หยางหลินไม่กล้าประมาท เขารีบหยิบผงภูติฝูออกมา และใช้พลังปราณสาดกระจายออกรอบตัว
ร่างกายของอวิ๋นม่านพลันถูกปกคลุมไปด้วยเส้นใยสีขาวนับไม่ถ้วน เส้นใยนี้ทั้งแข็งแกร่งและยากต่อการทำลาย
มือสังหารทั้งสองตกตะลึง นี่เป็นของสมบัติขั้นอมตะระดับกลาง
มือสังหารทั้งสองเร่งเปิดใช้พลังปราณและพละกำลังทั้งหมด…..
“ไม่เจียมตัว!”
หยางหลินปลดปล่อยจิตต่อสู้ พลังปราณภายในร่างพลันพุ่งสูงขึ้น ด้วยผงภูติฝูคอยปกป้องอวิ๋นม่าน หยางหลินก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป พลังปราณอันหนาแน่นของเขาควบแน่นจนกลายเป็นหอก และมีภาพเซียนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของเขา ใหอกในมือถูกจนกำแน่น ใบหน้าของเขาเผยจิตสังหารออกมาเต็มเปี่ยม
ในฐานะผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณ เขาย่อมสามารถชักดึงพลังแห่งฟ้าดินมาใช้ออก
มือสังหารทั้งสามต่างมุ่งเป้าไปยังหยางหลินเพราะในหมู่พวกเขาไม่มีผู้ใดที่สามารถทำลายอุปกรณ์ระดับอมตะขั้นกลางได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกเขาคือสังหารหลินหยางก่อน เมื่อไม่มีพลังปราณคอยค้ำจุน มันก็ย่อมจะเสื่อมพลังไปเอง ถึงตอนนั้นการจะสังหารผู้บ่มเพาะตัวเล็กๆระดับหนึ่งขั้นรวบรวมวิญญาณอย่างอวิ๋นม่านก็จะเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับประเมินพลังของหยางหลินต่ำไป
นิกายหนานเทียนเป็นสำนักใหญ่อันดับของแถบมหาสมุทรหนานจี่ที่มีขุมกำลังอันแข็งแกร่ง ลือกันว่าพวกเขามีผู้บ่มเพาะขอบเขตแท้จริงที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่าและบรรลุเป็นเซียนอยู่
สำหรับหยางหลินที่เป็นศิษย์คนสำคัญของนิกายแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาย่อมเป็นที่จินตนาการได้
พลังปราณโหมกระหน่ำทั่วเวที ชาวเมืองที่เป็นคนทั่วไปต่างยกมือขึ้นกุมศีรษะพลางเตลิดหนี ด้วยจำนวนคนที่มากมายเกือบแสนคน ทั่วทั้งลานจัสตุรัสจึงเปลี่ยนเป็นวุ่นวายขึ้นมา เสียงกรีดร้องดังระงม ผู้คนบางส่วนถูกระลอกพลังปราณกระแทกจนกลายเป็นผุยผง
วุ่นวาย!
เนื่องเพราะถูกห่อหุ้มด้วยผงภูติฝู อวิ๋นม่านจึงปลอดภัยไร้กังวล แต่เช่นนั้นแล้วฉินเทียนจะพานางหลบหนีไปท่ามกลางความวุ่นวายได้อย่างไร? ในฝูงชน ฉินเทียนขยับเคลื่อนไหวราวภูติพราย หลีกเลี่ยงการชนปะทะกับผู้คน เพียงไม่กี่ลมหายใจ เขาก็มาถึงด้านล่างของเวที…..
“ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้เวที!”
“ทหารองค์รักษ์อยู่ไหน?”
“สังหารทุกคนที่เข้าใกล้เวทีซะ!”
หยางฮงลุกขึ้นสั่งการ เสียงของเขาดังกึกก้องประหนึ่งฟ้าร้องดังกรอกหู ทหารองค์รักษ์ในชุดเกราะทองพลันเริ่มการเข่นฆ่า…….
ทหารองค์รักษ์หลายร้อยนายที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นรวบรวมวิญญาณเริ่มตั้งแนวป้องกันรอบเวทีเพื่อทำให้แน่ใจว่าแม้แต่ยุงสักตัวก็ไม่อาจฝ่าผ่านไปได้
ฉินเทียนกระโดขึ้นพลางปลดปล่อยพลังปราณออกมา เขาก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยความเร็วสูงสุด จิตสังหารของเขาปะทุออกขระที่กู่ร้องอยู่ในใจ ‘พลังมังกรพิสุทธิ์!’
หอกในมือของเซียนศักดิ์สิทธิ์แทงออกไม่หยุดยั้ง หยางหลินหลบหลีกกลุ่มมือสังหารพลางเล็งหอกไปยังฉินเทียน
“ไอ้เวรเอ๊ย! เจ้าก็สู้ของเจ้าไปสิ ยังจะมายุ่งกับข้าทำไม!”
ฉินเทียนสบถ และหันไปเผชิญหน้ากับหอกที่พุ่งเข้ามา เขาไม่กล้าประมาทอย่างเด็ดขาด คัมภีร์มังกรฟ้าเพิ่มพลังขึ้นอย่างเฉียบพลัน มังกรกู่ร้อง คชสารย่ำเหยียบ พลังปราณอันแข็งแกร่งพลันห่อหุ้มทั่วร่างของฉินเทียน
“ฉินเทียน…”
อวิ๋นม่านตกใจจนหน้าซีดเผือด แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่มองเห็นฉินเทียน หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี “ยังมีชีวิตอยู่ ฉินเทียนยังมีชีวิตอยู่……”
ใบหน้าของอวิ๋นม่านซูบตอบ ไม่มีเค้ารอยอันน่ารักและมีความสุขอย่างที่เคยมี ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา นางต้องเผชิญกับความทรมาณอย่างที่สุด เมิ่งเล่ยตกหน้าผาก็เพราะนาง มารดาของนางถูกจับเป็นตัวประกันก็เพราะนางอีก ความคิดอยากตายวนเวียนอยู่ภายในหัวของนางทุกเสี้ยวนาที แต่นางก็ไม่มีแม้กระทั่งความแข็งแกร่งที่จะตกตาย……
นับตั้งแต่ที่เข้ามาในวังหลวง หยางหลินได้ใช้วิธีการบางอย่างปิดผนึกพลังปราณของนางเอาไว้ ร่างกายของนางอ่อนแอลงก็เพราะไม่อาจใช้พลังปราณได้แม้แต่น้อย แม้แต่การเดินปกติก็ยังต้องมีคนคอยช่วยประคอง ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา นางเกลียดชังตัวเองยิ่ง ทั้งยังต้องทนอยู่ด้วยความเกลียดชัง
ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว และดวงตาที่หม่นหมอง ฉินเทียนแทบคิดว่านั่นไม่ใช่อวิ๋นม่านเมื่อเทียบกับอวิ๋นม่านที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและแก่นแก้วเมื่อสามปีก่อน อวิ๋นม่านทั้งสองช่วงเวลานั้นแตกต่างราวกับเป็นคนละคน
ความเจ็บปวดแล่นกระทบจิตใจของเขา เผชิญหน้ากับหอกที่พุ่งเข้ามา เขาตะโกนก้อง “ทำลาย!”
ความโกรธที่ฝังไว้ภายในพลันปะทุออก
ในช่วงเวลานี้ เขาได้แสดงให้เห็นถึงเค้าความบ้างคลั่ง
เป็นความบ้าคลั่งที่ไม่สนกฏเกณฑ์ใดๆ……