จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 101
ดวงตาของหลี่มู่ฉายแววตกใจ
เสียงนั้นเหมือนดังมากจากสี่ทิศ ก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะมีมดปลวกที่น่าสนใจอยู่ด้วยตัวหนึ่ง หลี่มู่รึ? ฮ่าๆ ช่างน่าสนใจ ฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายจนถึงระดับนี้เชียวหรือ”
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก ฟังดูล่องลอยจนไม่อาจบอกทิศทางได้
ทุกคนพลันรู้สึกว่าแสงอาทิตย์เหนือหัวมืดหม่นลง
ที่แท้ กลางอากาศมีหมอกสีดำเป็นกลุ่มก้อนลอยกระจายอย่างไร้สุ้มเสียงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เหมือนดั่งเมฆดำที่หนาหนักลอยต่ำ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือลานส่วนหน้าของที่ว่าการอำเภอ
“ชิ”
หลี่มู่สีหน้าเฉยชา
พวกแสร้งเป็นผีทำตัวเป็นเจ้ามาอีกคนหนึ่งแล้ว
“พาคนไปจากที่นี่ก่อนเถอะ” เขาพูดกับหมอและพัศดีสามสี่คนนั้น
สีหน้าของหมอตึงเครียด สีหน้าของพัศดีสามสี่คนนั้นซึ่งมีน้องภรรยาของเจินเหมิ่งเป็นผู้นำก็ตึงเครียดเช่นกัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของศัตรูราวภูตผีที่อยู่ในความมืดคนนี้ ได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่กล้าชักช้า ยกเปลหามผ้ามา วางเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยกขึ้นมุ่งไปเรือนด้านหลังพร้อมกันกับพวกเฝิงหยวนซิงสามคน
“หึๆ คิดจะไป? ยังไม่ถึงเวลานา ข้าว่าอยู่ที่นี่ทั้งหมดนั่นแหละ”
เสียงราวภูตผีนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
วูบ!
ไอหมอกสีดำที่ราวกับหมอกยามเช้าหมุนวน กลุ่มหนึ่งในนั้นเหมือนมีชีวิต แปลงเป็นกระบี่คมแหวกฟันท้องฟ้า พุ่งไปยังพัศดีที่ยกเปลหาม
“รนหาที่ตาย”
หลี่มู่คำรามเสียงต่ำ แล้วดีดนิ้วออกไป
พลังปราณโปร่งแสงสายหนึ่งแหวกอากาศดุจกระบี่คม มาถึงก่อนหน้าหมอกดำ ก่อนปะทะจนมันสลายไปในพริบตา
สำหรับเคล็ดวิชาลับของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ การใช้ในรูปแบบต่างๆ ของขั้นแรก หลี่มู่ทำได้อย่างชำนาญแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่หยิบจับสรรพสิ่งในฟ้าดินมาทำต่างธนูได้เหมือนกัวอวี่ชิง แต่เดิมทีเขาก็เป็นนักธนูยอดฝีมืออยู่แล้ว จึงพัฒนา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้โดดเด่นไม่เหมือนใคร และต่างจากกัวอวี่ชิง สามารถทำได้ถึงขั้นไม่ต้องอาศัยคันศรและลูกธนูของจริง เพียงดีดนิ้ว พลังปราณก็แข็งแกร่งดั่งธนูทรงพลานุภาพ
“เอ๊ะ?”
เสียงเหมือนภูตผีนั่นเผยอาการตกใจ
“ยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก ฮ่าๆ ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะต้านทานไปได้อีกสักกี่น้ำ”
เสี้ยวขณะต่อมา ละอองหมอกหนาสีดำก็ปกคลุมไปทั่วฟ้า ก่อนจะรวมตัวกันแปลงเป็นกระบี่สีดำหลายต่อหลายเล่ม พุ่งแทงไปยังร่างของพัศดีคนต่างๆ กันในทันทีด้วยความเร็วดุจสายอัสนี
“แสร้งเป็นผีทำตัวเป็นเจ้า”
หลี่มู่พึมพำ นิ้วมือขวาทั้งห้างอลง นิ้วก้อย นิ้วชี้ นิ้วนาง และนิ้วกลางเป็นธนู นิ้วโป้งเป็นคันศร จากนั้นดีดออกไปติดๆ กัน
ในอากาศมีเสียงเหมือนสายธนูสั่นระรัว
พลังปราณที่โปร่งแสงแต่ละสายพุ่งออกไปดุจลูกธนู ทั้งหมดล้วนไปถึงก่อนกระบี่ไอหมอกดำ ขยี้จนมันแหลกสลายลงทั้งหมด
ความเหี้ยมโหดฉายขึ้นในดวงตาของหลี่มู่
ร่างของเขาเพียงขยับ ชั่วขณะต่อมาก็ปรากฏกายในที่ไกลออกไปอีกสามสี่จั้ง เมื่อยกมือขึ้น ดาบฝ่ามือก็ซัดออกมา
‘ตัดอสุนี’
พลังบริสุทธิ์ราวกับปราณดาบไร้รูปร่าง แบ่งแยกท้องฟ้าออกจากกัน
หมอกดำยาวหลายสิบจั้งละลายเหมือนเนยที่ถูกผ่าโดยมีดร้อนๆ
“เจ้า…น่าสนใจ” เสียงประหลาดใจดังออกมาจากไอหมอกดำอย่างเร่งร้อน
จากนั้นก็เห็นหมอกดำทั้งหมดรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเหมือนวาฬสูบน้ำ ก่อนจะก่อเค้าร่างที่คล้ายภาพมายาคล้ายของจริง ประหนึ่งภาพวาดทิวทัศน์จากพู่กันซึ่งเอาท้องฟ้ามาเป็นกระดาษ
ร่างของหลี่มู่กะพริบวูบอีกครั้ง มาปรากฏเบื้องหน้าเงาร่างนี้ราวเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา ดาบฝ่ามือฟาดลงมาอีกครั้ง
ร่างนั้นไหววูบหลบคมดาบไป
ปราณดาบปะทะกลางอากาศ ฟันลงในแนวตั้ง ไกลออกไปสามสี่จั้ง ปราณดาบไร้รูปร่างผ่าครึ่งต้นไม้โบราณขนาดห้าหกคนโอบจากตรงกลางจนเป็นสองซีกพอดี ดาบเดียวแยกเป็นสองท่อน รอยผ่าเรียบกริบราวกระจก
หลี่มู่ร่อนลงตรงที่เดิม
พวกเฝิงหยวนซิงก็ถูกหามไปไว้ในเรือนด้านหลังแล้วเรียบร้อย
แสงเพลิงสีดำวูบไหว ละม้ายร่างมนุษย์ผู้หนึ่ง จากนั้นปรากฏขึ้นข้างกาย ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยน ดูไปแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก เสียงราวภูตผีก่อนหน้านี้ดังมาจากข้างในนั้น เอ่ยขึ้นว่า “หึๆ น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ หลี่มู่ เจ้าเริ่มทำให้ข้ารู้สึกถึงความโกรธขึ้นมาแล้ว”
นี่เป็นผู้แข็งแกร่งด้านวรยุทธ์ที่แปลกนัก
คนนอกยากจะมองเห็นร่างของเขาได้ชัดเจน ราวกับเป็นร่างแปลงของเปลวไฟอย่างไรอย่างนั้น
แปลกประหลาด
ชั่วร้าย
น่ากลัว
ยามเห็นเงาร่างนี้ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนก็ตะกายลุกขึ้นมาได้ราวฉีดเลือดไก่ สีหน้ายินดีเป็นล้นพ้น
“ผู้ตรวจสวี ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว เจ้าหลี่มู่คนนี้ไม่เคารพกฎหมาย สังหารเพื่อนร่วมอาชีพ ทำร้ายประชาชน โทษสมควรตายพันครั้ง” ดวงตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนฉายแววเคียดแค้นอย่างคลุ้มคลั่ง ตวาดลั่นว่า “สำหรับคนถ่อยชั่วช้าสารเลวเช่นนี้ ไม่ต้องปรานี สังหารมันไปเลยเสีย”
ฉู่ซูเฟิงจ้องหลี่มู่เขม็งด้วยสีหน้าเคียดแค้น หัวเราะเสียงเย็นก่อนกล่าว “เจ้าเศษสวะ ผู้ตรวจสวีจากสำนักตรวจการมาถึง วันตายของเจ้าก็มาถึงแล้ว ดูซิว่าเจ้าจะกำเริบเสิบสานไปได้ถึงเมื่อไหร่”
จากนั้นเขาก็หมุนตัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพยุงเจิ้งฉุนเจี้ยนที่ขาหักขึ้นมา ท่าทางถ่อมตัว
“ยังจะคุกเข่าอยู่อีกทำไม ลุกขึ้นมาให้หมด”
เจิ้งฉุนเจี้ยนมองกองทหารชุดเกราะดำที่คุกเข่าอยู่รอบๆ แล้วตวาดอย่างโมโห
สิ่งที่ได้เจอในวันนี้ เป็นความอัปยศอย่างแท้จริงที่สุดนับแต่ที่เขาเกิดมา ทำให้เขาโกรธแค้นแทบคลั่ง
หนิงจ้งซานที่ถูกโซ่ตรวนล่ามอยู่ ตอนนี้ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา ไม่ทำเป็นแกล้งตายแล้ว เขาลุกขึ้นมาด้วยการพยุงของทหารชุดเกราะดำคนหนึ่ง จากนั้นโคจรพลังไม่หยุด รวบรวมกำลังภายในที่แตกซ่านกลับมาใหม่ ฟื้นฟูพลังคืนมาบ้าง
มุมปากของเขายกยิ้มเย็น สีหน้าชั่วร้าย “วันสุดท้ายของเจ้ามาถึงแล้ว”
แม้แต่หลี่ปิงที่กลัวจนสติไม่ปกติไปแล้วยังลุกขึ้นมาโดยมีทหารเกราะดำคนหนึ่งช่วยพยุงเช่นกัน หลังจากที่ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ดีแล้ว คุณชายผู้สูงส่งคนนี้สั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น ถึงขนาดกับน้ำตาไหล ในใจของเขามีเพียงแค่ความคิดเดียวคือ ข้ารอดแล้ว ในที่สุดก็รอดแล้ว…
ความคิดที่จมอยู่ในความหวาดกลัวก่อนหน้านี้สลายหายไปหมด เขากุมบาดแผลบนขาของตน สีหน้าท่าทางเหมือนกับหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิง ต่างจ้องหลี่มู่เขม็งอย่างชั่วร้ายเคียดแค้น แทบจะถลกหนัง เลาะเอ็น ดื่มเลือดของหลี่มู่เสียเดี๋ยวนั้น
ทหารเกราะดำที่แต่เดิมคุกเข่าอยู่บนพื้น ตอนนี้ก็ลุกขึ้นทั้งหมด
สีหน้าของรองนายพลสามคนนั้นต่างเหี้ยมโหดเช่นกัน
ในสำนักตรวจการไม่มีพวกอ่อนหัด
นี่เป็นกฎเหล็กที่ทุกคนทั่วทั้งจักรวรรดิฉินตะวันตกหรือทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวต่างรู้กัน
ถึงแม้หลายปีมานี้เพราะเหตุผลมากมาย จำนวนการลงมือของสำนักตรวจการจึงน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่หากสำนักตรวจการลงมือเมื่อใด แทบจะไม่มีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ แค่คนของสำนักตรวจการปรากฏตัว เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ว่าเรื่องจะจัดการยากเพียงใด ก็แทบเขียนเครื่องหมายจบประโยครอได้แล้ว
รองนายพลทั้งสามก็กำลังขบคิดในใจแล้วว่า อีกเดี๋ยวหลังจากหลี่มู่ถูกควบคุมตัวจะใช้ทัณฑ์ทรมานอะไรมาระบายอารมณ์ดี
บรรยากาศทั่วทั้งลานส่วนหน้าที่ว่าการอำเภอพลิกผันทันใด
พัศดีสามสี่คนที่ยังเหลืออยู่สีหน้าซีดขาว ถอยไปอยู่รอบนอกทันที
หลี่มู่ยังยืนอยู่บนบันไดของโถงหลัก สีหน้าเรียบนิ่ง เหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับตนแม้แต่น้อย
เขามองบาดแผลบนข้อมือของตัวเอง
มันสมานตัวดีทั้งหมดแล้ว เหลือแค่รอยจางๆ รอยหนึ่งเท่านั้น
“พวกเจ้าถอยไปเถอะ สั่งให้มือปราบและองครักษ์ที่ว่าการรวมพล เตรียมทำความสะอาดสนามต่อสู้” หลี่มู่พูดกับพัศดีทั้งหลาย
เหล่าพัศดีสีหน้าซีดขาว ครั้นได้ยินคำของหลี่มู่ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็มุ่งไปยังประตูใหญ่ของที่ว่าการ
“ห้ามไปไหน” ฉู่ซูเฟิงเปลี่ยนสีหน้า ตวาดลั่นพูดอย่างโอหัง “ห้ามไปแม้แต่คนเดียว วันนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่หมดทุกคน เอาเลือดล้างที่ว่าการอำเภอ”
“ใช่แล้ว ความอัปยศของพวกข้าจะต้องใช้เลือดของมดปลวกต่ำต้อยพวกนี้มาล้าง” หนิงจ้งซานตะโกนขึ้นมาบ้างด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด
ในเมื่อพัศดีพวกนี้ฟังคำสั่งของหลี่มู่ ก็ต้องตายทั้งหมด
“เจ็บไม่จำจริงๆ เลยนะ”
หลี่มู่เริ่มสะบัดไม้สะบัดมือ
“พูดตามตรง หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้คิดไว้ชีวิตพวกเจ้าเพื่อให้พวกชิงเฟิงล้างแค้นเองแล้วละก็ ลำพังคนพรรค์นี้อย่างพวกเจ้าได้กลายเป็นเนื้อสับไปนานแล้ว”
เสียงของหลี่มู่พลันดังขึ้นข้างหูหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิง
ระยะใกล้ราวกับกำลังกระซิบคุยกัน ทั้งสองคนถึงขั้นสัมผัสได้ในเวลาเดียวกันว่าข้างหลังเหมือนมีลมรดต้นคอจากนั้นทั้งสองคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็พลันรู้สึกเบื้องหน้าพร่าเลือน พลังมหาศาลทะลักมา ร่างโดนกระชากออกไปอย่างควบคุมไม่ได้
เสียงร้องตื่นตะลึงดังขึ้นมา
แสงเงาหมุนวน
ทหารชุดเกราะและพวกรองนายพลรู้สึกแค่เบื้องหน้ามีเสี้ยวเงาเลือนรางกะพริบไหว เร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
ต่อให้เป็น ‘ผู้ตรวจสวี’ ผู้นั้น ก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไร
จนเมื่อครรลองสายตาของหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิงกลับมาเป็นปกติ ก็ค้นพบอย่างประหวั่นพรั่นพรึงว่าพวกเขาถูกหิ้วออกมาจากกลุ่มคนเหมือนกับลูกไก่ มายังบันไดหน้าประตูโถงหลัก
“คุกเข่าให้ดี”
หลี่มู่ตบไปที่ไหล่ของพวกเขาเบาๆ ประหนึ่งพ่อสอนลูกชาย
เขาไม่ได้ใช้แรง
แต่ทั้งสองคนสั่นเทิ้มหวาดกลัวสุดขีด
พวกเขาไม่อาจคิดได้เลยว่า ทำไมภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ตรวจสวีแห่งสำนักตรวจการปรากฏตัวขึ้น หลี่มู่ยังจับตัวพวกเขาออกมาราวหยิบของออกจากกระเป๋า ตอนนี้ ฝ่ามือที่หลี่มู่ตบลงมาบนร่างของพวกเขาก็ดั่งอาวุธทิ่มแทง ทำให้พวกเขาหวาดวิตกนัก ขาอ่อนไร้แรงราวกับควบคุมไม่ได้ คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุบจริงๆ
“น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หลี่มู่ เจ้ากล้าลงมือชิงตัวคนต่อหน้าข้าเชียวรึ?”
แสงเพลิงสีดำหมุนวน น้ำเสียงเคร่งเครียด
หลี่มู่เดินลงไปทีละก้าว ทีละก้าว “แล้วเจ้าจะทำไม?”
เขาเกลียดเวลามีคนมาอวดดีต่อหน้าเขาเป็นที่สุด
“น่าสนุกจริงๆ นะเนี่ย? เจ้ามันรนหาที่ตาย ข้าคือผู้ตรวจสวีแห่งสำนักตรวจการ เจ้าลงมือต่อหน้าข้าทั้งยังหยามหมิ่นข้าเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่…” เงาแสงเพลิงดำกลุ่มนั้นสั่นกะพริบรุนแรง หัวเราะเสียงเย็นยะเยือก
ยังพูดไม่ทันจบ
หมัดหนึ่งก็พุ่งทะลุเงาแสงเพลิงดำกลุ่มนั้น โจมตีมันจนแหลกสลาย
และก็ตัดบทเสียงคำรามชั่วร้ายของเขาด้วยเช่นกัน
“ลับๆ ล่อๆ อวดเก่ง จะวางท่าก็ต้องมีทักษะหน่อย พวกเจ้าตัวร้ายจะมีสมองหน่อยได้ไหม เปลี่ยนบทพูดอย่างอื่นอะไรบ้าง…หน่ายใจซะจริงๆ คนกากเช่นเจ้าเอาความมั่นใจมากจากไหนกันหา…นึกว่ากำลังเสริมที่เจิ้งฉุนเจี้ยนรอจะเก่งกาจแค่ไหน ที่แท้ก็แค่ไอ้หน้าโง่ที่กำลังภายในและพลังฝึกวิชาเวทไม่ได้เรื่องนี่เอง”
หลี่มู่พูดพร้อมยิ้มเหยียดหยาม
นิ้วมือทั้งสิบของเขาประสานปางมือราวสายอัสนี
ในอากาศมีเสียงสายฟ้าอยู่รางๆ ราวคลื่นซัดมาแต่ไกล
แสงเส้นสายฟ้าสีม่วงอ่อนแต่ละสายพลันแผ่ออกมาจากนิ้วทั้งห้าของเขาราวกับตาข่ายผืนหนึ่ง ก่อนจะกางออกไปในท้องฟ้า แล้วรวบหมอกสีดำที่ลอยไหลวนนั่นเอาไว้ข้างใน
……………………………………………………