จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 106
มือเท้าของเว่ยชงเกร็งกระตุก ลมหายใจรวยริน แม้แต่แรงจะพูดก็ไม่เหลือแล้ว
หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาสำแดงพลังขั้นปรมาจารย์สูงสุดออกมา คงไม่มีใครเชื่อจริงๆ ว่าเขาที่หลี่มู่ลากเหมือนสุนัขขี้เรื้อนจะเป็นยอดฝีมือจริงๆ
ขณะนี้ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หนุ่มสาวทั้งหลายต่างตะลึงตาค้างตัวแข็ง
ผลลัพธ์เช่นนี้ พวกเขาไม่อาจรับได้
คนชั่ว คนลอบวางแผนร้าย คนสารเลวโหดเหี้ยม คนโง่กำเริบอวดดีในสายตาของพวกเขา กลับสำแดงพลังที่ไม่อาจเข้าใจได้และคาดไม่ถึงออกมา พลังโจมตีบดขยี้ซึ่งหน้าเช่นนั้น แม้แต่ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์สูงสุดอยู่ต่อหน้าคนคนนี้ยังพ่ายแพ้ยับเยิน ลบล้างทัศนคติทั้งสาม[1]ของพวกเขาไปแล้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
จอมยุทธ์น้อยทั้งหลายไม่อาจเข้าใจได้
ในหมู่พวกเขา โจวเจิ้นไห่ที่ก่อนหน้านี้สีหน้าลิงโลดยินดี ตอนนี้เหมือนใจร่วงไปในหุบเหวลึกหมื่นจั้ง เย็นเยียบไปทั้งร่าง
ความพ่ายแพ้ของยอดฝีมือระดับเว่ยชง หมายความว่าแค้นที่สังหารลูกของเขาเหมือนจะชำระไม่ได้ไปตลอดกาลแล้ว
ต่อให้วันหลังหลี่มู่ตายในยุทธจักร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีก
พลังที่เขาสามารถขับเคลื่อนได้ รวมถึงแผนการต่างๆ จนถึงวันนี้ก็มาถึงขีดจำกัดที่เศรษฐีบ้านนอกของที่นี่จะทำได้แล้ว แต่เมื่อขีดจำกัดนี้อยู่ต่อหน้าหลี่มู่ กลับไร้ค่าเสียจนน่าหัวเราะ
เขาหันหลับมามองพี่ชายร่วมสายเลือดโจวเจิ้นชิวที่อยู่ข้างๆ ตามสัญชาตญาณ
“หากพี่ใหญ่ลงมือสุดกำลังแล้วละก็…”
เขาประเมินอยู่ในหัวครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร
เวลานี้ โจวเจิ้นชิวหลับตาลง
ในหัวของเขาสังเกตและศึกษาไม่หยุด หากเมื่อครู่ตนเองลงมือ เผชิญหน้ากับความเร็วและพลังประหลาดจนถึงขั้นไร้เหตุผลแบบนั้นของหลี่มู่ ตนจะมีโอกาสชนะหรือไม่
ส่วนคนในยุทธจักรเหล่านั้น สีหน้าตอนนี้ยิ่งน่าขบขันเข้าไปใหญ่
ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้า ใบหน้าแสบร้อนเหมือนโดนตบแรงๆ หลายฉาด ศัตรูคู่อาฆาตคู่นี้มองตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ และต่างเห็นความหวาดกลัวลนลานในดวงตาของอีกฝ่าย
มีเพียงแค่ในเวลานี้เท่านั้น พวกเขาถึงได้กระจ่างอย่างแท้จริงว่าตนเองล่วงเกินศัตรูแบบไหนเข้าแล้ว
ไม่ใช่ หากพูดให้ชัดยิ่งกว่าก็คือ ความจริงพวกเขา สำนักเบื้องหลังพวกเขา รวมถึงสำนักทั้งหมดที่ก่อเรื่องในอำเภอขาวพิสุทธิ์เสียจนบรรยากาศอึมครึมเมื่อหลายวันก่อน ต่อให้ร่วมมือกันแล้วก็เกรงว่าคงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นศัตรูของผู้เยาว์คนนี้ได้เลย
ทุกคนรวมกันแล้ว น่ากลัวว่ายังไม่อาจสู้กับขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ใช้เพียงมือเดียวได้
ขนาดเว่ยชงที่เป็นระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ยังพ่ายแพ้ยับเยิน เหมือนหุ่นกระบอกร้อยเชือก เช่นนั้นพลังที่แท้จริงของหลี่มู่ไปถึงขั้นใดกัน?
คำถามนี้ คิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าจะทำให้คนสติแตก
คิดให้ละเอียดแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
คิดให้ละเอียดแล้ว…อยากจะร้องไห้
คนในสำนักยุทธจักรทุกคนต่างกำลังขบคิด วันนี้ตนเองไม่ควรมาปรากฏตัวที่ลานแห่งนี้เลย
บนขั้นบันได หลี่มู่โยนโซ่เหล็กเหมันต์ในมือทิ้งไป
“ข้าจำได้ว่า เจ้าบอกจะให้ข้าตายทั้งเป็น?” เขามองไปยังเว่ยชง
เว่ยชงหอบหายใจคล้ายวัวตัวผู้ใกล้ตาย ดวงตาแดงก่ำ กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าค่อนข้างลนลานว่า “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“วางใจได้ ข้าจิตใจดีมีเมตตา ไม่ซี้ซั้วทรมานใครหรอก” หลี่มู่ยิ้มแยกเขี้ยว
ไม่ซี้ซั้วทรมานใคร?
หากหนิงจ้งซานและฉู่ซูเฟิงที่อยู่ในนรกได้ยินคำนี้แล้วละก็ ต้องเต้นผางโต้แย้งอย่างแน่นอน
แน่นอน เว่ยชงไม่รู้ว่าลานหน้าของที่ว่าการอำเภอเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินหลี่มู่พูดเช่นนี้ เขาก็พอจะโล่งใจได้บ้าง คนที่ปากชอบพูดให้ผู้อื่นตายทั้งเป็นอย่างเขา ที่จริงแล้วในใจกลัวเป็นที่สุดว่าตนจะพบกับการปรนนิบัติเช่นนั้นบ้าง
“ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกอย่างสบายๆ” หลี่มู่เอ่ยเสริมอีกประโยค
สีหน้าของเว่ยชงแข็งค้างไปในทันที
“เจ้า…ข้าคือผู้อาวุโสของสำนักดับนิวรณ์ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ มิฉะนั้นสำนักดับนิวรณ์ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ขั้วอำนาจของฝั่งเรากระจายอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจว มหาจักรวรรดิทั้งสาม แม้แต่ในที่ราบทุ่งหญ้าก็มียอดฝีมือของสำนักเรา หากเจ้าฆ่าข้า จะโดนไล่ล่าสังหารสุดหล้าฟ้าเขียว”
เว่ยชงร้องลั่น
สำนักดับนิวรณ์?
โจวเจิ้นชิวที่ลืมตาขึ้นแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที
คนในยุทธจักรบางคนที่เคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักดับนิวรณ์ สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
นี่เป็นกลุ่มอำนาจที่ใหญ่มากทีเดียวเชียว ในเมืองฉางอันแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนสำนักขั้นหกก็ล้วนยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพล ต่อให้เป็นสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์แห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน เทียบกับสำนักดับนิวรณ์แล้วยังห่างชั้นกันอีกไกล
ถึงอย่างไร สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็มีชื่อเสียงโด่งดังแค่ในฉินตะวันตกเท่านั้น ทว่าดับนิวรณ์เป็นสำนักเก่าแก่มาแต่โบราณ ขั้วอำนาจกระจายไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจว หากพูดถึงประวัติศาสตร์ กระทั่งว่ายาวนานเสียยิ่งกว่าสำนักเทพทั้งเก้าบางสำนักด้วยซ้ำไป
ยอดฝีมือที่ใช้ค้อนคนนี้ ที่แท้เป็นคนของสำนักดับนิวรณ์?
ภูมิหลังแบบนี้ค่อนข้างยิ่งใหญ่และน่าตกใจ
แต่สีหน้าของหลี่มู่กลับดูไม่สนใจอะไร เขาพูดขึ้นว่า “อ้อ เจ้าพูดมาก็ถูกอยู่ เช่นนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ข้าฆ่าเจ้าเงียบๆ คนของสำนักดับนิวรณ์ไม่มีทางรู้หรอก”
“เจ้า…คนที่นี่เยอะขนาดนี้ อย่างไรข่าวก็ต้องแพร่ออกไปแน่” เว่ยชงร้อนรนแล้ว
หลี่มู่พยักหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไร “อ้อ เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ว่าเรื่องนี้ง่ายจะตาย ข้าฆ่าพวกเจ้าปิดปากให้หมดก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
เพียงพูดออกมาเช่นนี้ คนที่อยู่ที่นั่นทั้งหมดต่างหน้าเขียวคล้ำ
เหล่าลูกศิษย์หนุ่มสาวของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ใบหน้าพลันฉายแววตื่นตระหนกอย่างยากจะควบคุมได้ เก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว โดยเฉพาะจ้าวหลิง มือนางกุมด้ามกระบี่ทันที ส่วนลูกศิษย์ชายที่ชมชอบนางมาตลอดยิ่งตกใจจนแม้แต่กระบี่ก็ชักออกมาแล้ว
ชาวยุทธ์บางคนยิ่งไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว หมุนตัวหนีไปทันที
ฟุ่บ ฟุ่บ!
ลูกธนูอากาศที่ไร้รูปร่างแหวกอากาศไป
“อ๊าก…”
“ขาของข้า…”
ชาวยุทธ์ที่วิ่งหนีไปโดนธนูยิงปักเข่าล้มลงไปบนพื้นจุดเดิม ไม่มีข้อยกเว้นสักคน
“ใครหนีก่อนคนนั้นตายก่อน”
หลี่มู่ท่าทางเหมือนราชาปีศาจที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา
คนในยุทธจักรคนอื่นๆ ที่แต่เดิมคิดหนีก็ตกใจจนเข่าอ่อน ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย พลังที่หลี่มู่สำแดงออกมาน่ากลัวเกินไปจริงๆ
ก็เหมือนเมื่อครู่นี้ เพียงดีดนิ้วออกไป ดัชนีลมก็พุ่งราวลูกธนู ต่อให้ท่าร่างล้ำเลิศเพียงใดก็ยากจะหนีจากธนูปักเข่าไปได้
“เจ้า…เจ้าหนุ่ม อย่าได้วู่วามไป คิดให้ละเอียด ระหว่างพวกเราใช่ว่าจะย้อนคืนกลับมาไม่ได้ ทั้งยังไม่ได้มีความแค้นฝังลึกอะไร ไยจึงต้องสังหารล้างผลาญกัน เจ้าปล่อยข้าไป วันหลังข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก เส้นทางใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ต่างคนต่างไปเป็นเช่นไร?”
เว่ยชงร้องขออย่างอัปยศอดสู
แต่สิ่งที่คิดเขาในใจกลับเป็น หากครั้งนี้ตนหนีไปได้ จะต้องรวบรวมยอดฝีมือในสำนักมาฆ่าล้างอำเภอขาวพิสุทธิ์ เอาเลือดล้างทั่วที่ว่าการสักครั้ง แล้วก็สังหารคนพวกนี้ที่เห็นภาพน่าอดสูของเขาให้สิ้น
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” หลี่มู่พยักหน้าคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
เว่ยชงแอบดีใจ ยิ่งพยายามขึ้นอีก เอ่ยขึ้นว่า “ข้าพูดเรื่องจริง อันที่จริงข้ารู้สึกว่าเจ้ามีศักยภาพสูงมาก หากพวกเราไม่ประมือก็คงไม่ได้รู้จักกัน มาเป็นสหายกันก็ได้ เจ้าคิดลองดู เจ้าอายุน้อยเช่นนี้ก็เป็นถึงขุนนางเมือง หากได้การสนับสนุนจากสำนักดับนิวรณ์ของข้า วันหน้าในวงการขุนนางของฉินตะวันตกจะต้องก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อนาคตไกลแน่นอน”
หลี่มู่พยักหน้า “ก็จริงนะ เช่นนั้นแล้วพวกเราเปลี่ยนจากสงครามเป็นสันติภาพก็ได้”
เว่ยชงดีใจลิงโลด “ใช่แล้วๆๆ ถูกต้องแล้ว ไม่มีความแค้นใดที่แก้ไขไม่ได้”
คนในยุทธจักรทั้งหลายที่นั่นได้ยินถึงตรงนี้ก็ต่างถอนใจช้าๆ
เป็นเช่นนี้ดีที่สุด
ขอแค่ราชาปีศาจตนนี้ไม่เปิดฉากสังหาร เช่นนั้นก็ไม่ต้องฆ่าคนปิดปาก คนที่นั่นทุกคนก็จะรอดชีวิต
ทุกคนล้วนดีอกดีใจ
ทว่าก็ได้ยินหลี่มู่พูดต่อไป “แต่มีเรื่องหนึ่ง ข้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่”
“เรื่องใด? เจ้าบอกมาเลย ขอแค่เจ้าพูดออกมา ข้ารับประกันว่าสามารถทำได้” เว่ยชงเอ่ยอย่างมั่นใจ
เขารู้สึกว่าตนเองควบคุมความคิดของหลี่มู่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
หลี่มู่ถาม “จริงรึ?”
“แน่นอนว่าจริงอยู่แล้ว ในจักรวรรดิฉินตะวันตก พลังของข้าเกินกว่าที่เจ้าคิดไว้” เว่ยชงยิ้มตอบ
‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นกระทิงแดงรึอย่างไร ยังจะมาพลังเกินกว่าที่คิดอีก[2]’
หลี่มู่พูดพลางยิ้มตาหยี “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก คืออย่างนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ เห็นแล้วขยะแขยงอยากจะอ้วก หากเจ้าหน้าตาดีขึ้นอีกนิดข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เป็นอย่างไร?”
“เจ้า…” เว่ยชงอึ้ง จากนั้นก็โมโหสุดขีด “เจ้าล้อเลียนข้า?”
“ฮ่าๆ จะพูดว่าล้อเลียนได้อย่างไร ข้าก็แค่อยากฆ่าเจ้าเท่านั้น จะได้ช่วยเจ้าไปเกิดเร็วหน่อย กลับไปในท้องแม่แล้วแก้ไขอะไรเสียใหม่ ทั้งหมดนี้คิดเผื่อเจ้าเชียวนะ” หลี่มู่กล่าว
“เจ้า…อภัยให้ไม่ได้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้า…” เว่ยชงพยายามดิ้นรน โกรธแค้นอับอายจนถึงขีดสุด เขารู้ว่าตนเองถูกหยามหมิ่นเข้าแล้ว
“ข้าหวังดีเจ้าก็ไม่รับ” หลี่มู่แบมือเอ่ย “แต่ว่าเจ้าวางใจเถิด ข้าคนนี้กระตือรือร้นชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทำเรื่องดีไม่หวังสิ่งตอบแทน ถึงเจ้าจะด่าข้า แต่ข้าก็ยังคงตัดสินใจจะช่วยให้เจ้ากลับไปแก้ไขใหม่”
“ไม่ๆๆ หลี่มู่ เจ้าอย่าวู่วาม ข้า…” เว่ยชงรีบร้อนร้องขอ
ทว่าหลี่มู่ไม่เปลี่ยนใจ
“จำเอาไว้ ชาติหน้าเกิดเป็นคนดีเสียล่ะ”
สุดท้าย หลี่มู่ก็ยังคงดีดนิ้วออกไป พลังสะเทือนอวัยวะภายในของเว่ยชงจนแหลก สังหารเขาดับดิ้น จบชีวิตปีศาจสำนักดับนิวรณ์ที่เที่ยวเข่นฆ่ามือเปื้อนเลือด
ในลานส่วนหน้าของที่ว่าการเงียบกริบ
หลี่มู่หันหลังกลับมามองคนอื่นๆ
ตุบ!
คนในยุทธจักรบางคนตกใจจนเข่าอ่อน คุกเข่าทันที อ้อนวอนขอให้หลี่มู่เมตตา อย่าได้ฆ่าปิดปาก และขอร้องให้หลี่มู่ปล่อยพวกเขา นับจากนี้พวกเขาไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์ต่อทางการของอำเภอขาวพิสุทธิ์อีกแล้ว
หลี่มู่มองไปยังโจวเจิ้นชิว
“ผู้อาวุโสโจว สัญญาสองกระบี่ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?” เขาถาม
มุมปากของโจวเจิ้นชิวกระตุกเบาๆ
‘ดำเนินต่อไปกับปู่เจ้าสิ’
ผู้อาวุโสสายนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่บารมีสูงส่งกำลังสบถด่าในใจ
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า สัญญาสองกระบี่เป็นโมฆะ” เขายิ้มขมขื่น
นิ่งไปพักหนึ่ง โจวเจิ้นชิวก็พูดอีก “ยุทธจักรแต่ละยุคสมัยล้วนมีบุคลมากความสามารถปรากฏกาย ทุกคนสมควรได้รับการยกย่องชมเชย ใต้เท้าหลี่พรสวรรค์ล้ำเลิศ ตลอดชั่วชีวิตข้าก็เพิ่งเคยได้พบ ข้าจะอยู่ที่นี่รับผิดชอบทุกสิ่ง ขอใต้เท้าหลี่ได้โปรดเมตตา ปล่อยลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ข้างหลังข้าพวกนี้ไป พวกเขายังอายุน้อย เป็นจอมยุทธ์ที่ดีของฉินตะวันตกเรา ก่อนหน้านี้พูดจาไร้มารยาทก็เพราะวู่วามเกิน แต่มิได้มีเจตนาร้ายใด”
“ไม่ต้อง ผู้อาวุโส ข้ารับผิดชอบเอง” อัจฉริยะสาวงามจ้าวหลิงก้าวออกมา ถลึงตามองหลี่มู่ มีท่าทางยอมหักแต่ไม่ยอมงออย่างที่อำนาจใดๆ ก็ไม่อาจสั่นคลอนได้ “หลี่มู่ วันนี้เป็นข้าที่ด่าเจ้า เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าข้าเสีย แต่ไว้ชีวิตศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าด้วย”
……………………………………………………
[1] ทัศนคติทั้งสาม ประกอบด้วยทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า
[2] สโลแกนโฆษณากระทิงแดงที่ประเทศจีนคือ ‘กำลังวังชาเหนือกว่าที่คิด’ หลี่มู่จึงคิดเชื่อมโยงประโยคของเว่ยชงเข้ากับคำโฆษณา