จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 109
เขตเรือนหลังที่ว่าการ
“ขาของเขา รักษาเอาไว้ไม่ได้”
เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงอยู่ในสภาวะสลบไสล
หลังจากผ่านการตรวจ หมอยาสาวงามจ้าวหลิงให้คำตอบเช่นนี้
หลี่มู่มองไปยังหมอจากโรงหมอ ‘โพธิสัตว์บนดิน’
เมื่อครู่ตอนจ้าวหลิงตรวจอาการบาดเจ็บอีกครั้ง ‘โพธิสัตว์บนดิน’ ก็อยู่ข้างๆ ทั้งสองยังพูดคุยอะไรกันด้วย
ครั้นเห็นคำถามในสายตาของหลี่มู่ ‘โพธิสัตว์บนดิน’ ฝืนยิ้ม กล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยละอายยิ่งนัก สภาพที่จริงหนักว่าที่ข้าตรวจในตอนแรก ร่างกายบวมเน่าเฟะสาหัสกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ วิชาแพทย์ของหมอจ้าวล้ำลึกกว่าข้าหลายเท่า ความเห็นของนางนั้นถูกต้อง”
หลี่มู่พยักหน้า
เห็นได้ชัด ผลเช่นนี้ทำให้เขาผิดหวังนัก ราวกับถูกน้ำเย็นสาดเข้าที่ใจ
“เลือดชามนั้นไม่มีผลอะไรเลยอย่างนั้นรึ?” หลี่มู่ถามอย่างไม่ยอมแพ้
“หากไม่มีเลือดชามนั้น เกรงว่าเขาคงจะตายไปนานแล้ว” จ้าวหลิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
หลี่มู่ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ว่าเจ้าไร้น้ำยา หรือตั้งใจจะแก้แค้นข้า?”
จ้าวหลิงเหมือนเม่นพองขน พูดอย่างโมโหทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าสงสัยข้าได้ แต่ขออย่าได้สงสัยความสามารถและเกียรติของหมอยา หากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ข้ารักษาคนของเจ้า”
โอ้โฮ ยัยเด็กนี่ดุจริง
หลี่มู่ไม่คิดเล็กคิดน้อย ถามขึ้นอีกว่า “ไม่มีความหวังอะไรเลยหรือ? ขอแค่รักษาขาของเขาเอาไว้ ข้าหาวิธีเอายารักษาวิเศษต่างๆ มาได้ เจ้าต้องการอะไรบอกมาตรงๆ ได้เลย”
“เจ้าจะไปขูดรีดมากระมัง?” จ้าวหลิงทำหน้าเหยียดหยาม
นางรู้ซึ้งถึงวิธีการของราชาปีศาจตนนี้เป็นอย่างดี ยอดฝีมือทั้งหลายของพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ วันนี้ยังอยู่ในคุกหนาวชื้นรอไถ่ตัวอยู่เลย ส่วนยอดผู้อาวุโสทั้งหลายที่มาประกันตัวคนยังถูกกักขังอยู่ในที่ว่าการให้เขียนหนังสือไถ่ตัว ในสายตาของนาง ราชาปีศาจหลี่มู่นกบินผ่านถอนขน ปลาว่ายผ่านจับขอดเกล็ด การ ‘หาวิธี’ ที่ว่าจะต้องไปขูดรีดข่มขู่คนในยุทธจักรที่น่าสงสารเหล่านั้นอีกแน่
“เจ้าไม่ต้องสนว่าข้าหามาได้อย่างไร แค่พูดว่ามีวิธีอื่นอีกหรือไม่เถอะ” หลี่มู่ถลึงตาใส่ “ขอแค่เจ้ารักษาขาของเขาเอาไว้ได้ ข้าจะให้อิสระเจ้า ปล่อยเจ้าไป”
จ้าวหลิงตาลุกวาว แต่ก็หมองหม่นลงในทันที
“ธรรมะช่วยคนที่มีวาสนาต่อกัน หมอรักษาโรคไม่รักษาความตาย ต่อให้เจ้าเอายาวิเศษมาได้ ก็ไม่อาจรักษาขาของเขาเอาไว้” จ้าวหลิงโมโหเดือดปุดๆ แก้มพองเหมือนหนูแฮมสเตอร์เขมือบบะหมี่ลงไปทั้งชาม จากนั้นก็คิดอย่างจริงจัง และตรวจอาการบาดเจ็บของชิงเฟิงอย่างละเอียดอีกครั้ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง “พอจะรักษาขาทั้งสองข้างของเขาไม่ให้ถูกตัดได้ แต่ไม่มีทางลุกขึ้นมาได้อีก ยิ่งไม่อาจเดินได้เหมือนคนทั่วไปด้วย”
หลี่มู่จ้องนาง
จ้าวหลิงมองตอบอย่างโมโห
“เอาเถอะ เจ้าทำให้เต็มที่” หลี่มู่พูด
“หึ ต้องให้เจ้าพูดด้วยหรือ หมอยาล้วนทำสุดความสามารถต่อคนไข้ที่มารักษาทุกคน” หงส์ฟ้าน้อยที่หยิ่งทะนงเชิดหน้า พยายามแสดงเกียรติและรัศมีอำนาจในฐานะหมอยาเต็มที่
“อีกสามคนที่เหลือเล่า?” หลี่มู่ถามขึ้นอีก ก่อนจะชี้ไปยังหม่าจวินอู่ เฝิงหยวนซิง และเจินเหมิ่ง
จ้าวหลิงพูดอย่างมั่นใจ “คนที่แขนขาด แขนไม่อาจกลับคืนมาได้แล้ว เสียเลือดมากต้องพักฟื้นหนึ่งเดือน อีกสองคนที่เหลือภายในครึ่งเดือนนี้ ข้ารับประกันว่าพวกเข้าจะหายสนิท ไม่มีแผลเป็น”
หลี่มู่พยักหน้า
คำตอบนี้ชัดเจนกว่าคำพูดของ ‘โพธิสัตว์บนดิน’ หมอจากโรงหมอนัก เวลาที่ใช้ก็น้อยกว่า
นี่ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่า วิชาแพทย์ของหงส์ฟ้าน้อยลึกซึ้งและยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
“ดี เช่นนั้นก็ทำให้ข้าเห็น หากทำไม่ได้ละก็ ผลภายหลัง…เจ้ารู้ดี” หลี่มู่แยกเขี้ยวยิงฟัน ความชั่วร้ายฉายบนใบหน้า
จ้าวหลิงราวเห็นรอยยิ้มของมารร้าย หนาวสะท้านขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้
หลี่มู่พูดจบก็ออกไปจากห้อง
เขากลับมายังห้องพักของตน
“หืม ห้องเปลี่ยนโฉมใหม่หมดแล้ว รูปแบบใหม่ไม่เลวเลย เจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นคนปรับเปลี่ยนเหรอ?” ชั่วขณะที่เข้ามาในห้อง หลี่มู่ดวงตาวาววับ
ห้องพักเปลี่ยนไปมาก เทียบกับเมื่อก่อนยิ่งมีรูปแบบและความเป็นศิลปะอย่างชัดเจน เพิ่มชั้นหนังสือ ชั้นวางของและต้นไม้เข้ามา โต๊ะก็เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนชุดน้ำชากับถ้วยชามกระเบื้องลายครามยกชุด…ตำแหน่งวางเครื่องนอนก็เปลี่ยนหมด
ข้ารับใช้ข้างกายบอกหลี่มู่ ทั้งหมดนี้เจิ้งฉุนเจี้ยนสั่งให้คนเปลี่ยนแปลงการตกแต่งด้วยตนเองยามที่เข้ามาพักเมื่อหลายวันก่อน
“เจ้างูพิษนี่รสนิยมในการเสพสุขช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลี่มู่ทอดถอนใจ
จากนั้นเขาเปิดตู้สามสี่ใบ พบว่าของส่วนตัวบางอย่างของตนหายไปแล้ว รวมถึงเสื้อกล้าม กางเกงกีฬา และรองเท้ากีฬายี่ห้อหลี่หนิงที่ตนสวมใส่ติดมาดาวดวงนี้ตอนถูกส่งข้ามมาจากโลกด้วย
“หลังจากเข้าพักอาจารย์เจิ้งก็สั่งให้คนทำลายของทุกอย่างในห้องพักเจ้าค่ะ” ข้ารับใช้รายงาน
ไอ้เจ้าชาติสุนัขนี่
หลี่มู่อดด่าในใจไม่ได้
ถึงแม้ของสามสี่ชิ้นนั้นจะไม่มีราคาอะไร แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นของที่ติดมาจากโลก ต่อไปในเวลายี่สิบปีอันเนิบช้า อย่างน้อยก็ถือเป็นความคิดถึง ยามคิดถึงก็เอามาดูต่างหน้าได้ มีนัยเป็นของที่ระลึก ทว่าตอนนี้ถูกทำลายเสียแล้ว
“เปลี่ยนเครื่องนอนใหม่ทั้งชุด ของตบแต่ง ต้นไม้ กับเครื่องใช้อื่นๆ ไม่ต้องเปลี่ยน”
หลี่มู่เอ่ยสั่ง
เขาไม่ได้เป็นโรครักสะอาด แต่ก็ไม่อยากจะนอนบนที่นอนผ้าห่มที่คนอื่นเคยใช้
ข้ารับใช้รับคำสั่ง รีบออกไปทำตามคำสั่ง
นับจากหลี่มู่เป็นขุนนางเมือง ขุดรากถอนโคนพรรคเสินหนง ริบทรัพย์ตระกูลโจวและจวนนายตรวจการ ปัญหาด้านการเงินของที่ว่าการก็ได้รับการแก้ไข เปลี่ยนจากสถานการณ์ลำบากในอดีตที่เงินหนึ่งตำลึงยังต้องนับวันใช้เป็นเงินทองมีเหลือแหล่ ดังนั้นการจับจ่ายใช้สอยด้านนี้จึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
หลี่มู่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก หมุนตัวไปห้องฝึกยุทธ์
เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่สนใจด้านการยุทธ์เท่าใดนัก ดังนั้นหลังจากยึดครองเรือนด้านหลัง ก็ไม่สนใจห้องฝึกยุทธ์ที่เทียบกันแล้วลับตาทั้งยังมืดทึบ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร การจัดวางตบแต่งทุกอย่างในห้องฝึกยุทธ์ของหลี่มู่ อาวุธต่างๆ บนชั้นวางหรือของอื่นๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่ว่า สิ่งที่ต่างไปจากวันวานก็คือใจกลางห้องมีคนเพิ่มมาสองคน…
หลี่ปิงและเจิ้งฉุนเจี้ยน
เจิ้งฉุนเจี้ยนแน่นอนว่ายังไม่ตาย
หลี่มู่ต้องการรู้เรื่องบางอย่างของหลี่มู่ที่ตกหน้าผาไปคนนั้น จะให้เจิ้งฉุนเจี้ยนตายไม่ได้ เรื่องการควบคุมพลัง ตอนนี้เขาทำได้ชำนาญนัก หัตถ์ดาบในตอนนั้นมองแล้วเหมือนหนักหนา แต่ที่จริงก็แค่ปิดหูปิดตาคน โจมตีให้เจิ้งฉุนเจี้ยนสลบไปเท่านั้น
เจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่ปิงต่างยังสลบไสล
ฝ่ายหลังที่จริงกลัวจนสลบไป
หลี่มู่ไม่วางใจ จึงพุ่งไปตบเสียทีหนึ่งทันที ทำให้หลี่ปิงสลบอย่างสมบูรณ์ จากนั้นยกมือตบเจิ้งฉุนเจี้ยนที่สลบอยู่อีกหลายทีให้ตื่นขึ้นมา
“อ๊า…” เจิ้งฉุนเจี้ยนลืมตาตื่นพลางครวญคราง
สายตาของเขาเลื่อนลอยเล็กน้อย หลังจากนั้นเมื่อมองเห็นหลี่มู่ก็สั่นเทิ้มอย่างไม่รู้ตัวทันที เขาอดกลั้นต่อความเจ็บปวด หมอบกับพื้นแต่โดยดี ก่อนพูดประจบประแจง “ใต้…ใต้เท้าหลี่…”
หลี่มู่ไม่ได้มีท่าทีที่อ่อนลงด้วยเลย กล่าวขึ้นทันที “บอกเรื่องที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ออกมาให้หมด ทำไมเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายรอง? มารดาของข้าตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“ตะ…ใต้เท้า ท่านเป็นคุณชายคนที่สองของใต้เท้าเจ้าเมือง ข้าน้อยรับใช้อยู่ในจวน แน่นอนว่าควรเรียกท่านว่าคุณชายรอง ถึงแม้ท่านจะออกไปจากจวนหลายปีแล้ว แต่ข้าน้อยไม่เคยลืมเรื่องนี้…” เจิ้งฉุนเจี้ยนร้อยเรียงเรื่องราวอย่างสุดกำลัง กลัวจะทำให้หลี่มู่โมโหเข้า
อะไรนะ?
ครั้งนี้เป็นตาหลี่มู่ตกใจบ้าง
หลี่มู่คนดวงซวยที่ตกหน้าผาคนนั้น ขุนนางเมืองที่ตนสวมรอยแทน ตัวตนที่แท้จริงเป็นลูกชายของเจ้าเมืองฉางอันอย่างนั้นหรือ นี่มัน…โคตรจะน่าสนใจจริงๆ
แต่ก็ไม่ถูกต้องน่ะสิ
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงหมิงเยวี่ยไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งจากการเลียบๆ เคียงๆ หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาพอจะได้ข้อมูลบางอย่างมาเลาๆ หลี่มู่ของโลกนี้เป็นแค่บัณฑิตไส้แห้งเท่านั้น ไม่มีภูมิหลังอะไร
ตอนนั้น พวกโจวอู่และเจิ้งหลงซิ่งที่ไม่เห็นหลี่มู่อยู่ในสายตายึดอำนาจของเขา ไม่ใช่เพราะพวกเขาตรวจสอบ ยืนยันว่าหลี่มู่เป็นแค่บัณฑิตยากจนไร้ที่พึ่งหรอกรึ?
หากหลี่มู่เป็นลูกชายคนที่สองของเจ้าเมืองหลี่แห่งฉางอัน เช่นนั้นโจวอู่และเจิ้งหลงซิ่งทั้งสอง ต่อให้กล้าอย่างไรก็คงไม่ทำอย่างนั้น
นอกจากนั้น ในเมื่อหลี่มู่เป็นลูกชายของเจ้าเมืองหลี่ เช่นนั้นทำไมตอนที่ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงอ้อนวอนก่อนตายจึงพูดว่า ครั้งนี้พวกเจิ้งฉุนเจี้ยนรับคำสั่งจากเจ้าเมืองหลี่มาอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เพื่อแอบขัดขาหลี่มู่ จากนั้นคิดหาวิธีกำจัดเขาทิ้ง
หลี่มู่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ท่าทางปลงอนิจจังเหลือแสน เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “เรื่องในอดีตข้าจำไม่ค่อยได้แล้ว เจ้าว่ามาแล้วกัน หลายปีมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ท่านแม่ของข้านางเป็นอะไรไป?”
เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ติดใจสงสัยอะไร
หนึ่ง เพราะตอนนี้เขาโดนตบจนมึน ความหวาดกลัวเอ่อล้นเต็มอก อีกทั้งฝ่ามือสามสี่ทีเมื่อครู่นั้นทำให้ตอนนี้หูของเขายังดังวิ้งๆ อยู่ สอง เพราะสำหรับเจิ้งฉุนเจี้ยน คุณชายรองในวันนี้ไม่ใช่พวกอ่อนปวกเปียกว่าง่ายเมื่อแปดปีที่แล้วคนนั้น อีกทั้งออกจากบ้านมาแปดปี เรื่องราวมากมายจำไม่ได้ก็เป็นปกติ
ในใจคิดแต่ว่าจะประจบหลี่มู่แลกชีวิตอย่างไร เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าวอย่างรีบร้อน “เมื่อแปดปีก่อน คุณชายรองล่วงเกินใต้เท้าเจ้าเมืองเพื่อปกป้องฮูหยิน หลังจากตัดความสัมพันธ์พ่อลูกเด็ดขาดก็ออกจากบ้าน หายไปไร้ร่องรอย ชีวิตในจวนของฮูหยินตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ได้รับคำเยาะหยันหยามหมิ่นและถูกประพฤติแย่ๆ ด้วยไม่น้อย บ่าวรับใช้ภักดีข้างกายทั้งหลายจุดจบต่างอเนจอนาถนัก ฮูหยินโดนไล่ออกจากจวน อาศัยเย็บผ้าประทังชีวิต…”
เรื่องที่คล้ายกับหวางเป่าชวน[1]ถูกเล่าออกมาจากปากของเจิ้งฉุนเจี้ยน
หลี่มู่ฟังอยู่นาน ในที่สุดก็เข้าใจ
ที่แท้หลี่มู่ของดาวดวงนี้เป็นลูกชายของเจ้าเมืองฉางอันจริงๆ
เรื่องราวในอดีต หากใช้คำพังเพยมาบรรยายก็คือ ‘เด็กไม่มีแม่ พูดแล้วเรื่องยาว’
ท่านเจ้าเมืองในตอนนั้น ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นแค่บัณฑิตยากจนที่มีชื่อเสียง ส่วนมารดาของหลี่มู่เป็นบุตรีตระกูลขุนนางทหารที่มีคุณูปการของฉินตะวันตก เป็นดอกไม้งามเลื่องชื่อของจักรวรรดิ งดงามชวนตะลึง เจ้าเมืองในอดีตก็เป็นบุคคลมีความสามารถ รูปร่างหน้าตางามสง่า ทั้งยังมากพรสวรรค์ สอบเคอจวี่[2]ได้อันดับทั่นฮวา[3] ชื่อเสียงโด่งดังในวันเดียว เขาพบมารดาของหลี่มู่โดยบังเอิญ และตกตะลึงในความงามของนาง จึงเกี้ยวพาราสีทุ่มแรงใจไปมาก ในที่สุดบัณฑิตยากจนคนนี้ก็ได้รับการยอมรับจากคุณหนูตระกูลขุนนางทหารที่มีคุณูปการ และได้ตบแต่งกับนาง ภายใต้การสนับสนุนจากตระกูลขุนนางนี้ ทั่นฮวาหนุ่มมากความสามารถกลายเป็นขุนนางท้องถิ่นของจักรวรรดิฉินตะวันตกทีละก้าวๆ จนได้ควบคุมดูแลเมืองฉางอัน เมืองที่มีพื้นที่เป็นอันดับสี่ของฉินตะวันตกซึ่งได้ชื่อว่า ‘เสบียงคลังแห่งจักรวรรดิ’
……………………………………………………
[1] หวางเป่าชวน ตัวละครจากเรื่อง ‘หงจงเลี่ยหม่า’ กล่าวถึงตัวนางหวางเป่าชวน เลือกเซวียผิงกุ้ยบัณฑิตผู้ยากจนเป็นคู่ บิดาจึงโกรธและขับไล่ออกจากบ้าน หลังแต่งงานไม่นานเซวียผิงกุ้ยไปเป็นทหาร ทิ้งนางให้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างยากลำบากถึงสิบแปดปี วันหนึ่ง เซวียผิงกุ้ยบังเอิญยิงนกพิราบที่นางเขียนจดหมายพร่ำรำพันถึงความลำบาก จึงมารับนางกลับไปอยู่ด้วยกัน
[2]การสอบเคอจวี่ คือการสอบเข้ารับข้าราชการของจีน มีทั้งหมดสามรอบ รอบแรกเป็นระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบแรก จะได้คุณวุฒิเรียกว่า ‘ซิ่วไฉ’ ผู้ที่ผ่านรอบนี้จะเข้าไปสอบรอบที่สองได้ รอบสองคือระดับภูมิภาค ผู้ที่สอบผ่านจะได้คุณวุฒิ ‘จวี่เหริน’ ส่วนรอบที่สาม ผู้ที่ผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเป็นข้าราชการ และได้คุณวุฒิ ‘จิ้นซื่อ’ สามอันดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดจะมีชื่อเรียกเรียงลำดับสูงไปต่ำคือ ‘จ้วงหยวน’ (จอหงวน) ‘ปั้งเหยี่ยน’ และ ‘ทั่นฮวา’
[3] ชื่อลำดับของผู้ที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับสาม