จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 111
น้ำเสียงของหลี่มู่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เผยให้เห็นความมั่นใจอย่างแรงกล้า
เจิ้งฉุนเจี้ยนฟังแล้วใจสั่นสะท้าน
แปดปีผ่านไป เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายรองกันแน่ ความเปลี่ยนแปลงจึงมากถึงเพียงนี้ เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งจนถึงขั้นประหลาด นิสัยยังเข้มแข็งเด็ดขาดขึ้นมาก
เขาพลันรู้สึกว่า บางทีตอนนั้นนายท่านตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับคุณชายอาจเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ต้องมีสักวันที่นายท่านต้องเสียใจภายหลังจริงๆ
และตอนนี้ ในใจของหลี่มู่เริ่มวางแผนเดินทางไปเมืองฉางอันแล้ว
เดินทางไปเมืองฉางอัน นี่คือการตัดสินใจสุดท้ายของเขา
เหตุผลที่ทำเช่นนี้มีมากมาย
นอกจากเห็นใจมารดาผู้มีชีวิตอาภัพ เขายังรู้สึกว่าตัวเองมาถึงดาวดวงนี้ สวมรอยแทนหลี่มู่ตัวจริง เช่นนั้นก็ควรรับผิดชอบหน้าที่ของหลี่มู่คนนี้สักหน่อย
อย่างไรเสียเขาก็ใช้ฐานะนี้ในอำเภอรับผลประโยชน์
โดยเฉพาะครั้งที่เพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ หากไม่มีตัวตนนี้ช่วยปกปิด เขาก็อาจมีวันเวลาที่อเนจอนาถมาก
ในเมื่อฉวยโอกาสจากหลี่มู่คนนั้นมา ก็ควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
หลี่มู่ของโลกใบนี้ตกหน้าผา ไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เช่นนั้นเขาที่มาสวมรอยก็ควรจะแบกรับกรรมและความรับผิดชอบบางอย่างด้วย
ถึงแม้ไปเมืองฉางอันครั้งนี้อันตรายเสี่ยงภัยแน่นอน
แต่ว่าหลี่มู่ก็มีความเด็ดเดี่ยวของตัวเอง
เป็นคนกลัวตายได้ ขี้ขลาดได้ วิ่งหนีได้ ยอมแพ้ได้…เรื่องพวกนี้ทำได้หมด แต่มีเรื่องหนึ่งคือจะไม่แบกรับหน้าที่ไม่ได้เด็ดขาด
ซินแสเฒ่าเคยพูดไว้ คนคนหนึ่งไม่ลงมือทำเรื่องเรื่องหนึ่ง หนีไม่พ้นเหตุผลสองข้อ หนึ่งคือยกภูเขาไท่ซานข้ามทะเลตงไห่ นั่นคือทำไม่ได้ สองคือมิยอมหักกิ่งไม้ให้ผู้อาวุโส นั่นคือไม่ยินดีที่จะทำ[1] แม้แต่ซินแสเฒ่าที่ใจคับแคบยังมีความคิดเชื่อมั่นว่าชีวิตคนบนโลกพึงกระทำสิ่งที่ควรกระทำ และหลีกเลี่ยงในสิ่งไม่ควรกระทำ สั่งสอนหลี่มู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น ต่อให้เมืองฉางอันเป็นถ้ำเสือสระมังกร ไปสักครั้งแล้วจะอย่างไร
“ขอแค่มีเหตุผลที่ตัวเองยึดมั่น ต่อให้เป็นพ่อพระแล้วจะอย่างไรเล่า”
หลี่มู่ตัดสินใจเช่นนี้ ในใจแน่วแน่มั่นคง
แน่นอน เรื่องนี้จะรีบร้อนเกินไปไม่ได้
ก่อนจะไปเมืองฉางอันต้องทำความเข้าใจและเตรียมการเอาไว้บ้าง
อีกทั้งในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตอนนี้ คนที่รู้จักเมืองฉางอันที่สุด ไม่มีใครเกินไปกว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนและหลี่ปิงที่อยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นกุนซือหัวสุนัข[2]ของเจ้าเมืองชายชั่ว อีกคนหนึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของเขา นับเป็นคลังข้อมูลเคลื่อนที่สองคลังอย่างแน่นอน
‘โชคดีที่วันนี้ไม่ได้ฆ่าเจ้าสองตัวนี้ทิ้ง จะได้ให้พวกมันเขียนการกระจายตัวของขั้วอำนาจและรายชื่อยอดฝีมือทั้งหมดในเมืองฉางอัน รวบรวมออกมาเป็นหนังสือข้อมูล’
ในใจของหลี่มู่มีแผนแล้ว
แต่ว่าเขาไม่รีบร้อนอะไร
เขาไต่สวนเจิ้งฉุนเจี้ยนต่อ
“ผู้ตรวจสวีที่มาวันนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?” หลี่มู่ถาม
สีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนเปลี่ยนไปทันที ฉายแววหวาดเกรงรางๆ
“ผู้ตรวจสวีมาจากสำนักตรวจการเมืองฉางอัน ใต้เท้าท่านก็รู้ กฎหมายของสามจักรวรรดิของแผ่นดินใหญ่เสินโจวไม่มีอำนาจใดควบคุมผู้แข็งแกร่งในยุทธจักรที่มีชื่อเสียงพวกนั้นได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นสำนักตรวจการจึงถูกก่อตั้งขึ้น นี่เป็นหน่วยงานตรวจสอบที่เก้าสำนักเทพและจักรวรรดิทั้งสามร่วมกันก่อตั้ง เอาไว้ควบคุม กำหนดมาตรฐาน ตรวจสอบ ไต่สวนคนในยุทธจักรและกลุ่มอำนาจที่ขุนนางในจักรวรรดิจัดการยาก มีอำนาจมหาศาล จากการพัฒนาหลายต่อหลายปี ตำแหน่งของสำนักตรวจการถึงขั้นอยู่เหนือกว่ากฎหมายทั่วไปของจักรวรรดิ ยอดฝีมือในสำนักตรวจการล้วนมาจากคนในสำนักเทพทั้งเก้าและสำนักขั้นหกขึ้นไป…ผู้ตรวจสวีคนนั้นเป็นยอดฝีมือจาก ‘สำนักผืนทราย’ เมื่อสามปีก่อนมารับตำแหน่งที่สำนักตรวจการเมืองฉางอัน และเป็นหนึ่งในผู้ตรวจสอบทั้งเจ็ดสิบสองของสำนักตรวจการ…”
เจิ้งฉุนเจี้ยนอธิบายอย่างไม่ปิดบัง
ต้องขอบคุณวิธีการสอนแบบยัดเยียดบนโต๊ะอาหารของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสำนักตรวจการ ที่จริงหลี่มู่พอจะรู้อยู่บ้าง
เขาเองก็รู้เรื่องสถานะพิเศษของสำนักตรวจการในระบบขั้วอำนาจของโลกนี้เช่นกัน
“ ‘สำนักผืนทราย’? สำนักขั้นหกรึ? เกี่ยวอะไรกับ ‘สำนักดับนิวรณ์’ หรือ ‘สำนักหมาป่าสวรรค์’ พวกนี้หรือไม่?” หลี่มู่ถาม โดยปกติแล้วฝ่ายที่ใช้คำว่า ‘สำนัก’ ตั้งชื่อล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นกลุ่มที่ดูถูกไม่ได้เลย
“เป็นหนึ่งในหกสายสำนักโบราณ สืบทอดมาหลายพันปีขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนตอบ
หลี่มู่รู้อยู่ในใจแล้ว
บ้าเอ๊ย เป็นตัวโหดกันทั้งนั้นเลย
“ข้าสังหารผู้ตรวจสวีไป นานเท่าไหร่คนของสำนักตรวจการถึงจะรู้ตัว?” เขาถามอีก
เจิ้งฉุนเจี้ยนเข้าใจความหมายของหลี่มู่ ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วจึงตอบ “ผู้ตรวจสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในพื้นที่ที่ดูแล มักเดินไปตามที่ต่างๆ ร่องรอยไม่ชัดเจน อีกทั้งครั้งนี้ผู้ตรวจสวีไม่ได้มาด้วยภารกิจ ดังนั้นขอแค่ปิดข้อมูล ในระยะเวลาอันสั้น สำนักตรวจการเมืองฉางอันไม่มีทางพบเรื่องที่เขาหายตัวไป สามารถปกปิดได้ประมาณสามเดือนขอรับ”
สามเดือน?
แค่นั้นก็พอแล้ว
วิชาที่หลี่มู่ฝึกฝนเป็นเคล็ดเทพเซียน พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวจรวดที่ทะยานไปในท้องฟ้า เพิ่งจะมาดาวดวงนี้ได้แค่สองสามเดือนก็มีพลังเช่นนี้แล้ว ผ่านไปอีกสองสามเดือน พลังของเขาจะต้องปีนไปถึงขั้นระดับสูงสุดอีกครั้งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นต่อให้สำนักตรวจการมาหาถึงที่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
แต่ว่าจะปกปิดได้สามเดือนจริงหรือไม่ ยังมีเหตุปัจจัยให้เปลี่ยนแปลงได้
เวลาสามเดือนที่เจิ้งฉุนเจี้ยนอนุมานออกมาอยู่ในเงื่อนไขแรกที่ว่า ‘ข่าวปกปิดได้ดี’ แต่ความจริงคือในบรรดาคนที่รู้เห็นการตายของผู้ตรวจสวี ศิษย์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เขาก็ปล่อยไปแล้ว หากคนพวกนี้ปล่อยข่าวออกไป เช่นนั้นการมาแก้แค้นเอาคืนจากสำนักตรวจการอาจมาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ หลี่มู่ไม่มองในแง่บวกเกินไปนัก จะฝากความหวังไว้ที่ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ที่มีใจเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้
‘บ้าเอ๊ย จะวู่วามวางท่ามากเกินไปไม่ได้จริงๆ วู่วามครั้งหนึ่ง ต้องเช็ดก้นกันอีกครึ่งค่อนวันเลย…’ หลี่มู่ตบหน้าผากถอนใจ
เห็นทีเรื่องบางอย่างในแผนการก่อนหน้านี้ จะต้องเร่งขั้นตอนดำเนินการแล้ว
หลี่มู่ขบคิดพลางถามขึ้นอีก “ใช่แล้ว ของส่วนตัวของข้า เจ้าทำลายมันไปแล้วรึ?”
เจิ้งฉุนเจียนใจสั่นสะท้าน ก้มหัวลงด้วยท่าทางหวาดกลัว เพื่อปกปิดสีหน้าที่แท้จริงของตนไว้ “ข้าน้อยสมควรตายๆ ของของใต้เท้า ตอนนั้นข้าน้อยรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ จึง…ทำลายทิ้งไปแล้ว”
เขาไม่ได้พูดเรื่องจริงที่ส่งรองเท้ากีฬาและของอื่นๆ ทั้งสามชิ้นไป
เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้มีผู้เกี่ยวพันด้วยมากเกินไป ระดับที่พัวพันเป็นขั้นที่คาดไม่ถึง ดังนั้นต่อให้เผชิญการคุกคามจากความตาย เขาก็ไม่กล้าแพร่งพรายออกไป
หลี่มู่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนในตอนนี้ จึงไม่ได้สนใจมากนัก
ของสามชิ้นนั้นสำหรับเขาแล้วมีความหมายแค่เป็นของที่ระลึก ไม่ใช่ของที่เกี่ยวข้องกับชีวิต สูญเสียไปก็แค่ทำให้รู้สึกเสียดาย หากกล่าวถึงเรื่องโมโหฉุนเฉียว นั่นก็ไม่จำเป็นอีก
หลังจากนั้น เขาถามคำถามในด้านอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก็จบการสอบสวนครั้งนี้ลง
เจิ้งฉุนเจี้ยนกับหลี่ปิงต่างสวมโซ่ตรวนที่ทำขึ้นพิเศษ ตัดความเป็นไปได้ที่จะหนีทิ้งไป ก่อนถูกหลี่มู่โยนไว้ในห้องเก็บฟืนตรงเรือนหลังที่ว่าการคนละห้อง จากนั้นให้เขียนข้อมูล ข่าว ความลับ กำลังทหาร สถานการณ์ต่างๆ ในเมืองฉางอัน อีกทั้งฐานที่ตั้งของขั้วอำนาจสำนักต่างๆ…
ขอเพียงเป็นเรื่องที่พวกเขารู้ ไม่สนว่าจะเล็กหรือใหญ่ ต้องเขียนออกมาทั้งหมดอย่างละเอียด
อีกทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้สองคนนี้อู้งาน หลี่มู่ยังกำหนดจำนวนตัวอักษรที่พวกเขาต้องเขียนทุกวัน หากเขียนไม่ครบก็งดน้ำงดอาหาร ส่งขังในห้องมืดทันที
“หากสิ่งที่เขียนทำให้ข้าไม่พอใจ เช่นนั้นก็ลงนรกไปเถอะ”
นี่คือคำพูดของหลี่มู่
ทั้งสองคนกลัวไม่น้อย จึงทำออกมาอย่างสุดความสามารถ
หลี่มู่กลับอยู่ในห้องฝึกยุทธ์ เริ่มทบทวนประสบการณ์จากการต่อสู้วันนี้ และสรุปผลได้ผลเสียจากการฝึกฝนของหลายวันที่ผ่านมา
หลายวันมานี้พายุฝนโหมกระหน่ำ สู้ศึกหลายครั้ง ผลเก็บเกี่ยวของหลี่มู่มากมหาศาล
โดยเฉพาะศึกที่แอ่งน้ำตกเก้ามังกร ยิ่งสร้างอิทธิพลให้หลี่มู่อย่างลึกซึ้ง ไม่เพียงแต่ปั้นร่างขึ้นใหม่ ฝึก ‘หมัดยุทธ์แท้’ กระบวนท่าที่สาม ‘ทลายฟ้า’ จนชำนาญ แต่ยังได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับกัวอวี่ชิงผู้แข็งแกร่งที่ลึกล้ำเกินหยั่ง เขายิ่งได้รู้ถึงการมีอยู่ของวิชาเวท พลังที่ต่างจากกำลังภายในวรยุทธ์ อีกทั้งตัวเขายังควบคุมพลังเวทได้แล้วด้วย
นี่ทำให้หลี่มู่ตระหนักได้ว่า ตัวเองจะต้องจัดระเบียบบางเรื่องที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจตอนยังอยู่บนโลกให้ดีๆ
บางที ในประโยคที่พูดไปตามปากของซินแสเฒ่าอาจแฝงทฤษฎีวิถียุทธ์ไว้ก็ได้
พูดให้เกินจริงหน่อยคือ หลังจากทดลองอย่างง่ายๆ ก็ควบคุมพลังของเวทอัสนีได้อย่างง่ายดายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบางคำพูดที่ซินแสเฒ่าเคยกล่าวเลย หลี่มู่รู้สึกกระทั่งว่าแม้แต่ ‘ตดของซินแสเฒ่า’ ก็ยังหอม
ยามนี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือระลึกความทรงจำและจัดระเบียบคำพูด สิ่งที่เคยทำ และเรื่องสารพัดที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเคยสอนเสียใหม่ จากนั้นจัดระบบให้ชัดเจน และทำเป็นหมวดหมู่สมบูรณ์
สิ่งที่ต้องจัดระเบียบก่อนเป็นอันดับแรกคือ ‘ฮวงจุ้ย’ และ ‘ค่ายกล’ ที่ซินแสเฒ่าพูดถึงอยู่บ่อยๆ
ปกติซินแสเฒ่าอาศัยสองสิ่งนี้หลอกลวงผู้คน
ยามที่ออกไปทำพิธี ขอแค่เป็นวันหยุด หลี่มู่ก็จะติดสอยห้อยตามไปอยู่หลายครั้ง จึงได้เห็นและเรียนรู้เข้าใจเนื้อหาทั้งหลายด้านนี้ สิ่งที่ถูกเรียกว่าเรื่องงมงายบนโลกในตอนนั้น เมื่ออยู่ในโลกใบนี้จะเปล่งประกายเจิดจรัสแบบไหนกัน?
การจัดระเบียบเรื่องสำคัญในช่วงแรก หลี่มู่วางไว้ที่ ‘ค่ายกล’
เพราะเขาตัดสินใจจะวางค่ายกลไว้รอบที่ว่าการอำเภอ
หากค่ายกลที่ซินแสเฒ่าเอ่ยถึงทรงอานุภาพน่าอัศจรรย์จริงๆ ละก็ เช่นนั้นในโลกใบนี้ หลี่มู่แค่ต้องจัดวางตำแหน่งของสิ่งต่างๆ เช่นหิน ภูเขา ต้นไม้ ทางน้ำต่างๆ ก็สามารถสร้างค่ายกลลวงตาได้ ทั่วทั้งที่ว่าการจะถูกคุ้มกันอยู่ข้างใน เหมือนกับ ‘ค่ายกลแปดทิศ’ ในเรื่องสามก๊กที่ขงเบ้งวางไว้ ซึ่งมากพอจะขัดขวางกองกำลังทหารนับพันนับหมื่น
เช่นนี้แล้ว ในวันข้างหน้าต่อให้มีศัตรูบุกโจมตี ก็จะสามารถสกัดกั้นเอาไว้นอกที่ว่าการ ปกป้องสหายและบริวารไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ไม่เหมือนกับครั้งนี้ที่พวกชิงเฟิงไม่มีทางหนีทีไล่ ต้องตกอยู่ในสภาพจนตรอก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน
ระหว่างนั้น หลี่มู่ออกจากการปิดด่านฝึกฝนครั้งหนึ่ง มาตรวจนับของต่างๆ ที่พรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ส่งมาตามเงื่อนไข ครั้งนี้ด้วยแรงกดดันมหาศาลของหลี่มู่ สำนักในยุทธจักรต่างแสดงศักยภาพอันแข็งแกร่งออกมา แย่งกันส่งสิ่งของที่หลี่มู่เขียนมายังที่ว่าการอย่างกลัวล่าช้าภายในเวลาที่สั้นที่สุด
หยกต่างๆ ต้นไม้โบราณ ใบหญ้านกปลา หินผา ต้นไม้ประหลาดต่างๆ ถูกจัดวางตามประเภทอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ที่ว่าการ ทั้งยังมีคนคอยเฝ้าดู เรียบร้อยเป็นระบบระเบียบ ทำให้คนมามุงดูกันมากมาย
หลี่มู่สั่งให้คนนับจำนวน
บางสำนักที่ส่งมอบสิ่งของจนครบ กำลังรอพาคนระดับสูงของสำนักตนที่ถูกกักตัวเอาไว้ไปตาปริบๆ
หลี่มู่ประกาศรายชื่อคนที่ได้รับการปล่อยตัว แต่ไม่ได้ปล่อยคนพวกนี้ไปทันที เพราะต้องถ่วงเวลาอย่างสุดความสามารถ เพื่อปกปิดข่าวการตายของผู้ตรวจสวีเอาไว้ชั่วคราว
ผ่านไปอีกสามวัน
โดยพื้นฐานหลี่มู่จัดระเบียบ ‘ทฤษฎีค่ายกล’ ของซินแสเฒ่าเสร็จสิ้นแล้ว
ขั้นตอนการจัดระเบียบ ก็เป็นขั้นตอนของการเข้าใจให้ถ่องแท้อย่างหนึ่ง
หลี่มู่ทดลองและทดสอบแต่ละอย่าง ผลลัพธ์ที่ได้ยอดเยี่ยมนัก
ดังนั้นเขาจึงเริ่มวางค่ายกลรอบที่ว่าการอำเภอ เปลี่ยนแปลงที่ว่าการทั้งหมดครั้งใหญ่
สำหรับโลกใบนี้ พลังโฉมใหม่ใกล้จะถือกำเนิดขึ้นแล้ว
……………………………………………………
[1] ยกภูเขาข้ามทะเลตงไห่คือทำไม่ได้ ไม่ยอมหักกิ่งไม้ให้ผู้อาวุโสคือไม่ทำ มาจากตำราของนักปราชญ์ ‘เมิ่งจื่อ’ พูดถึงเรื่องการทำไม่ได้กับไม่ยอมทำ
[2] กุนซือหัวสุนัข เปรียบเปรยถึง คนที่ให้คำแนะนำไร้ประโยชน์หรือคอยเสนอความคิดชั่วร้ายให้