จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 114
ยามเงยหน้ามองไปยังหิมะที่ขาวโพลนตลอดทั้งปี ในใจของโจวเจิ้นชิวเกิดความคาดหวังเล็กๆ ขึ้นมา
หวังว่าเวลาหนึ่งปีที่อยู่ข้างกายตัวประหลาดผู้นั้น จ้าวหลิงจะเติบโตขึ้นในแบบที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักวาดหวัง อย่างไรเสีย พรสวรรค์ของนางก็โดดเด่นนัก เสียดายที่ไร้เดียงสาและรักความสมบูรณ์แบบมากเกินไปหน่อย ซ้ำไม่รู้ถึงความชั่วร้ายอันตรายของโลก
ให้คนประหลาดอย่างขุนนางเมืองน้อยคนนั้นขัดเกลานาง ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ไม่รู้ทำไม ในใจของโจวเจิ้นชิวมีความรู้สึกเฝ้ารอและเชื่อมั่นขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นพิเศษ
ถึงแม้หลี่มู่จะสังหารโจวอู่หลานชายของเขา แต่ในความเป็นจริง โจวอู่ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย ก็ถือว่าหาเรื่องใส่ตัวเช่นกัน
“สัญญาสองกระบี่…สักวันหนึ่งข้าจะไปตามสัญญาแน่นอน”
เขาพูดกับตัวเอง
สำหรับจอมยุทธ์คนหนึ่ง ไม่มีอะไรเทียบกับการเจอคู่ต่อสู้ที่ทำให้ตื่นเต้นและยิ่งเลือดร้อนเดือดพล่าน
และหลี่มู่ สำหรับโจวเจิ้นชิวแล้วเป็นคู่ต่อสู้เช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เนิ่นนานหลังจากนั้น
โจวเจิ้นชิวถอนสายตาจากยอดเขาหิมะ มองลงไปข้างล่าง
เชิงเขาของยอดเขาหลักมีท้องทุ่งอุดมสมบูรณ์ที่เป็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง ได้รับการบุกเบิกให้เป็นที่นา สวนผัก และสวนผลไม้
เกษตรกรที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์กำลังสาละวนอยู่ในท้องทุ่ง
สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ใหญ่โต ยอดฝีมือในสำนักไม่ใช่เซียนที่ไม่ดื่มกิน ต้องกินอาหารสามเวลาและพืชพรรณธัญญาหารเช่นกัน เกษตรกรทั้งหมดหนึ่งพันกว่าคนดำรงชีวิตสืบเชื้อสายอยู่ที่นี่ ราวกับเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
รวมถึงคนในตระกูลโจวทั้งหลายรวมถึงโจวเจิ้นไห่ เพราะโจวเจิ้นชิว ทั้งหมดจึงถูกจัดให้อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ทำงานทำไร่ไถนา หลบซ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราว
โจวเจิ้นไห่ที่มีใจเคียดแค้นก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
หลังพ่ายแพ้กลับมาครั้งนี้ หลี่มู่ทำให้โจวเจิ้นไห่กลัวไม่น้อย เงียบลงไปเยอะ แต่เป็นเพราะวางความแค้นลงได้ แล้ว หรือกำลังวางแผนแก้แค้นครั้งต่อไปก็ไม่อาจรู้ได้
……
ขณะเดียวกัน ในอำเภอขาวพิสุทธิ์
หลี่มู่เดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์
ห้องข้างหลังเขามีเครื่องหยกขนาดเล็กใหญ่ต่างกันที่แกะสลักเป็นรูปร่างต่างๆ สามสิบกว่าชิ้นวางอยู่ บนผิวมีลวดลายและตัวอักษรที่เนื้อหาไม่ชัดเจน มองไปแล้วพิลึกกึกกือ หากอยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักหยก งานแกะสลักเช่นนี้คือการสิ้นเปลืองวัสดุชั้นดีอย่างแน่นอน
นี่คือผลงานของหลี่มู่ในหลายวันที่ผ่านมา
และก็เป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการวางค่ายกล
แหล่งน้ำไม่มีตาน้ำน้ำไม่ไหลริน ค่ายกลไม่มีแหล่งกำเนิดย่อมไม่เกิดผล
เครื่องหยกพวกนี้มีหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลัง
หลี่มู่ตรวจตรางานทุกอย่างรอบที่ว่าการอย่างจริงจัง ภายใต้การติดตามของหลี่เจาเฉิน
ต้นไม้นานาพรรณทั้งหมดสามร้อยกว่าต้นถูกปลูกรอบๆ ที่ว่าการ ขุดเจาะทางน้ำเก้าสายเชื่อมต่อกัน ดึงน้ำสะอาดจากบ่อน้ำใหม่เชื่อมกับตาน้ำที่มีแต่เดิม สร้างเป็นทางน้ำไหลต่อเนื่อง คดเคี้ยววนล้อมรอบที่ว่าการ สุดท้ายไหลรวมไปยังแม่น้ำข้างล่างที่ว่าการอำเภอ
เวลาเดียวกัน หินผาภูเขาจำลองเจ็ดสิบสองลูกก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งทิศทางต่างกันรอบที่ว่าการ
กำแพงหลังเขตเรือนด้านหลังก็ถูกรื้อทิ้ง ขยายสร้างไปข้างหลังหลายร้อยจั้ง ป่านอกกำแพงด้านหลังก็ตัดแต่งใหม่ ตัดต้นไม้เอนเอียงบางต้นทิ้ง จากนั้นปูหญ้าใหม่ขยายพื้นที่ไปจนถึงหน้าหุบเหว
ทั้งหมดทำเสร็จตามความต้องการของหลี่มู่ อีกทั้งยังไม่บกพร่องตกหล่นแม้แต่น้อย
ตอนนี้เหลือเพียงแค่บ่อแห้งๆ ขุดลึกลงไปใต้พื้นราวจั้งกว่ารวมสามสิบหกบ่อ ก้นบ่อเสริมความแข็งแกร่งด้วยหิน ระหว่างรอยแยกอุดด้วยปูนขาว ราวกับเป็นห้องขังหินใต้ดิน ดินที่เตรียมเอาไว้ถมที่ปากบ่อยังไม่ได้ถมลงไป
นอกจากหลี่มู่ ไม่มีใครรู้ว่าบ่อแห้งสามสิบหกบ่อนี้เอาไว้ทำอะไร
หลี่มู่สำรวจรอบหนึ่ง รู้สึกพอใจมาก
“ไม่เลว หลายวันนี้ลำบากเจ้าแล้ว” เขาตบไหล่ของหลี่เจาเฉิน
พัศดีน้อยคนนี้ความคิดความอ่านว่องไว ทำงานละเอียด รู้จักยืดหยุ่น ควรค่าแก่การเลี้ยงดูไว้
“วันหลังเจ้าไม่ต้องอยู่ในคุกแล้ว มาอยู่ในที่ว่าการแทน เริ่มทำจากหัวหน้ามือปราบก่อนก็แล้วกัน” หลี่มู่พูดอย่างพอใจ
หลี่เจาเฉินลิงโลด “ขอบคุณใต้เท้าที่อบรม”
หลายวันนี้เขาโยกมาอยู่ในที่ว่าการอำเภอชั่วคราว โดยปกติ หลังจากเรื่องแล้วเสร็จก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ในคุก สิ่งที่หวังไว้แต่เดิมคือทำหน้าที่ให้เยี่ยมยอด ได้รับการยอมรับจากใต้เท้า เช่นนี้บางทีอาจพ้นจากตำแหน่งพัศดีมาเป็นองครักษ์หรือไม่ก็มือปราบได้
ตอนนี้ในที่สุดก็สมปรารถนาแล้ว
อีกทั้งดีกว่าที่หวังไว้ เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าเลย
เลื่อนตำแหน่งได้อย่างง่ายดายโดยแท้
“ข้าน้อยยินดีสละชีพเพื่อใต้เท้า แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่อิดออด” หลี่เจาเฉินแสดงความภักดีอย่างไม่พลาดโอกาส
หลี่มู่หัวเราะ กล่าวว่า “ติดตามข้าขอแค่ทำงานให้ดีก็พอ ไม่จำเป็นต้องพลีชีพ”
หลี่เจาเฉินหัวเราะฮี่ๆ เกาหัวโดยไม่รู้ตัว ในใจตื่นเต้นจนเกินเหตุ
ดีใจจริงๆ ยามฝันเกรงว่าคงยิ้มจนตื่นกระมัง
หัวหน้างั้นรึ นับจากนี้เขาก็เป็นขุนนางแล้ว
“เอาละ ไปเถอะ อนุญาตให้เจ้าพักหนึ่งวัน ไปจัดการเรื่องรับตำแหน่งหน้าที่ ทักทายน้าของเจ้าเสียหน่อย แล้วกลับไปดูที่บ้าน” หลี่มู่ให้ความสำคัญกับคนหนุ่มคนนี้มาก เรื่องดีๆ ต้องทำให้ถึงที่สุด เขาเงียบไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากที่ว่าการ ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”
“น้อมรับคำสั่ง ขอบคุณใต้เท้าขอรับ” หลี่เจาเฉินดีใจเป็นล้นพ้น รับคำสั่งแล้วจากไป
หลี่มู่ยิ้มน้อยๆ
เขาจะเริ่มวางค่ายกลแล้ว
หากเทียบการวางค่ายกลเป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ เช่นนั้นงานก่อสร้างก่อนหน้านี้ก็คือการเตรียมตัววัสดุอุปกรณ์ทดลอง ต่อไปการควบคุมความร้อน ขั้นตอน ปริมาณ จะต้องไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย ถึงจะทำการทดลองสำเร็จอย่างแท้จริงและได้ผลลัพธ์ที่ตนเฝ้ารอ
หลี่มู่เดินนับก้าว เมื่อแน่ใจว่าตำแหน่งของบ่อแห้งทั้งสามสิบหกบ่อไม่มีอะไรผิดพลาด ก็กลับมายังห้องฝึกยุทธ์ หยิบเครื่องหยกที่ขนาดต่างกันสามสิบหกก้อนออกมา ก่อนวางลงไปในบ่อแห้งสามสิบหกบ่อตามหมายเลขกำกับและทิศทางทีละก้อน
หลังจากวางเสร็จ เขาก็เริ่มเฝ้าสังเกต
เครื่องหยกที่อยู่ในบ่อแห้งไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“ไม่ถูก…”
เขาตระหนักได้ว่า การคิดคำนวนของตนก่อนหน้านี้น่าจะมีปัญหา
มิฉะนั้น เครื่องหยกพวกนี้ควรจะเกิดปฏิกิริยาที่น่าอัศจรรย์บางอย่างขึ้น
ดังนั้นเขาจึงเริ่มคิดให้ละเอียด
คำพูดของซินแสเฒ่าน่าจะไม่ผิด คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวคือ ตำแหน่งดาวของโลกกับดาวดวงนี้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นตำแหน่งและลำดับการวางเครื่องหยกก็ต้องปรับด้วย?
เขาขบคิด จากนั้นจึงเริ่มปรับตำแหน่งเครื่องหยกที่อยู่ในบ่อแห้ง
ขั้นตอนการปรับนี้เสียเวลาและซับซ้อน ราวกับแก้รหัสบัตรธนาคารของคนอื่น ต้องเรียงลำดับตัวเลขต่างๆ ทดลองทีละอัน
ดีที่หลี่มู่รู้ตำแหน่งทิศทางคร่าวๆ ไม่ได้หลับหูหลับตาลอง
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม
“สำเร็จแล้ว”
หลี่มู่ร้องออกมาอย่างดีใจ
พริบตาที่วางหยกขนาดกำปั้นชิ้นที่สามสิบหกลงไปในบ่อ หยกก็สั่นเบาๆ ทันที จากนั้นพื้นผิวมีละอองหมอกประกายสีเงินจางๆ ลอยเอ่อ เหมือนจะมีพลังอะไรจะพุ่งออกมา และเพียงแค่เวลาสั้นๆ สิบกว่าอึดใจ ละอองหมอกประกายเงินก็เริ่มหนาแน่นขึ้น
หลี่มู่ถมบ่อแห้งทั้งสามสิบหกบ่อทันทีอย่างไม่ลังเล
ปรากฏการณ์ประหลาดของหยกถูกดินกลบเอาไว้ชั่วคราว
หลี่มู่สูดลมหายใจลึก เดินไปยังตำแหน่งที่เลือกเอาไว้นานแล้วโดยเร็ว ก่อนประสานปางมือเหนี่ยวนำเวทอัสนีลึกลับออกมา
วิชาเวทอัสนีนี้ซินแสเฒ่าให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีชื่อว่า ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ สามารถนำพลังอัสนีในฟ้าดินมาฝึกฝนและเพิ่มพลังให้กับค่ายกล ทำให้ค่ายกลมีจิตใจ ในขณะเดียวกัน วิชาอัสนีนี้สามารถผสานพลังฟ้าดินเข้าไปในค่ายกล ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการเปิดค่ายกลหลังจากจัดวางแล้ว
หลี่มู่ก็ลองเป็นครั้งแรกเช่นกัน
……
ครืน เปรี้ยง
สายฟ้าฟาดพลันดังขึ้นกลางท้องฟ้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
คนทั้งหลายที่อยู่บนถนนในเมืองต่างตกใจ พากันมองไปยังทางที่ว่าการอย่างตื่นตระหนก
เห็นเพียงเมฆดำก้อนใหญ่ลอยมาจากภูเขาอย่างรวดเร็วนัก ราวกับมีพลังบางอย่างกำลังขับไล่ชั้นเมฆดำกลุ่มนี้ จากนั้นปกคลุมพื้นที่เหนือที่ว่าการก่อน แล้วแผ่กระจายไปทั่วทั้งเมืองอำเภอโดยมีที่ว่าการเป็นจุดศูนย์กลาง
เพียงชั่วพริบตา เมฆดำก็บดบังดวงอาทิตย์ทั้งสองบนฟ้า
แสงสว่างมืดสลัวลง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฝนจะตกรึ?”
“เมฆนี้…ไม่เหมือนเค้าของพายุฝนเลย”
คนจำนวนมากตกใจอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จู่ๆ ก็เกิดสภาพอากาศเช่นนี้ในฤดูนี้ เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ น้อยครั้งที่จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ราวกับว่าเพียงชั่วพริบตา กลางวันก็เปลี่ยนเป็นกลางคืน
ครืน เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
เห็นเพียงสายฟ้าสีม่วงเส้นหนากะพริบวูบวาบอยู่ในเมฆดำเหนือที่ว่าการอำเภอ ราวกับงูสีม่วงเริงระบำ เกิดเป็นภาพที่ทั้งสวยงามและแปลกประหลาด แสงอัสนีสีม่วงแต่ละเส้นแหวกเมฆดำ ทั้งยังมีแนวโน้มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เวลาหนึ่งถ้วยชา เหนือที่ว่าการอำเภอก็คล้ายทะเลสายฟ้าสีม่วง งดงามวิจิตรอย่างน่าเหลือเชื่อ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดึงดูดความสนใจขององค์ชายน้อยฉินเจิ้งที่กำลังทำการบ้านอยู่บนหอเอื้องสุคนธ์อย่างไม่ต้องสงสัย
“พี่หญิง ดูเร็วเข้า” เขาโยนพู่กันทิ้ง วิ่งออกไประเบียงทางเดินด้านนอก มองไปยังทางที่ว่าการอย่างตกใจ
องค์หญิงฉินเจินเดินออกมา ในดวงตาคู่งามฉายแววประหลาด
นั่นคือวิชาเวทอย่างนั้นหรือ?
“เป็นวิชาเวท”
ร่างของหวางเฉินปรากฏขึ้น
สีหน้าของเขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
“นี่มัน…พลังของวิชาเวท วิชาอัสนีที่มีพลังทำลายล้างน่าหวาดหวั่น แต่ว่าเป็นวิชาอัสนีแบบใดกัน ถึงได้มีพลังเช่นนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว เหนี่ยวนำอัสนีสวรรค์สีม่วงราวกับงูคลั่ง ไม่เคยได้เห็นได้ยินมาก่อน…”
หวางเฉินสีหน้าตื่นตะลึง พึมพำกับตัวเอง
เขากำลังครุ่นคิด ในอำเภอขาวพิสุทธิ์เหมือนไม่มีจอมเวทคนอื่นอยู่อีก
เช่นนั้นเป็นใครที่กำลังสำแดงเวทอัสนี?
หรือในที่ว่าการอำเภอจะมีจอมเวทขั้นปรมาจารย์ซ่อนอยู่…ไม่สิ สามารถสำแดงวิชาอัสนีแบบนี้ น่ากลัวว่าจะล้ำหน้าปรมาจารย์ ไปถึงขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว ในที่ว่าการมีจอมเวทขั้นยอดปรมาจารย์ซ่อนอยู่หรือ?
หวางเฉินมองฉินเจิน
ฉินเจินมองไปทางที่ว่าการไม่วางตา
หอเอื้องสุคนธ์เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถมองสำรวจที่ว่าการอำเภอได้ เพราะตำแหน่งและความสูงที่ตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อยืนอยู่ที่ทางเดินนอกหอ จึงเหมือนแค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสอัสนีสีม่วงได้ ทั้งสามคนจึงสามารถสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่าคนอื่นว่า ในแสงอัสนีนี้แฝงไว้ด้วยพลังที่น่ากลัวเพียงใด
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เสียงฟ้าผ่าพลันหยุดลง
อัสนีสีม่วงทั่วฟ้าก็หายตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว
เมฆดำสลายตัวไป
ท้องฟ้าใสกระจ่างดุจถูกชะล้าง ดวงอาทิตย์ทั้งสองลอยสูง ผืนฟ้าปลอดโปร่ง เวลาช่วงบ่ายเป็นช่วงที่แสงแดดดีที่สุด
หลายคนมองไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับภาพมายา ลึกลับและไม่เป็นจริง
บนหอเอื้องสุคนธ์ ฉินเจินและหวางเฉินมองตากันแวบหนึ่ง รู้สึกแปลกใจอย่างมาก
เวทอัสนีน่ากลัวขั้นนั้นปรากฏขึ้นอย่างอัสนีพิโรธ สลายไปดั่งหมอกควัน ไม่มีพลังทำลายล้างใดๆ เมื่อสั่งสมพลังจนถึงขีดสูงสุดก็พลันสลาย ทำให้คนรู้สึกเหมือนท่าดีทีเหลว
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ดูนั่น เหมือนที่ว่าการอำเภอจะเปลี่ยนไปแล้ว”
ตอนนี้เอง องค์ชายน้อยฉินเจิ้งชี้ไปยังที่ไกลๆ พลางร้องขึ้นอย่างตกใจ
……………………………………………………