จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 60
ยอดฝีมือสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ส่วนมากสูญเสียกำลังต่อสู้ภายใต้ฝ่ามือของหลี่มู่แล้ว
นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเอง?
หลี่มู่ใช้สายตาประหลาดยิ่งก้มมองฝ่ามือของตนเอง แล้วมองไปยัง ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงที่ถูกตะขอเหล็กร้อยสะบักหลังอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ามีชื่อเสียงสะท้านไปทั่วยุทธจักรพายัพมาหลายปีแน่หรือ? ไยจึงอ่อนแอเช่นนี้?”
“เจ้า…รังแกกันเกินไปแล้ว”
เถี่ยเจิ้นตงโกรธจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระอักเลือดสีดำออกมาแล้วสลบเหมือดไป
“เอ๋ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
หลี่มู่คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสคนนี้จะอ่อนแอถึงเพียงนี้
สายตาของเขามองไปยังเวทีสังเกตการณ์ของพรรคมังกรฟ้า
พวก ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนผู้นำระดับสูงของพรรคมังกรฟ้าเห็นสายตาที่กวาดมาจากลี่มู่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควัน ใจเต้นกระสับกระส่าย
“ข้าสนิทกับใต้เท้าหลี่กังแห่งเมืองฉางอัน…” ตงฟางเจี้ยนทำอะไรไม่ได้ก็พูดประโยคนี้ออกมา แต่ยังพูดไม่ทันจบหน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นทันที ยากจะเก็บงำความอับอาย เพราะนี่ก็เป็นการแสดงความอ่อนข้อให้กับขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แล้ว
หลี่มู่หัวเราะ “ข้ารู้จักกับประธานาธิบดีของอเมริกาด้วยเถอะ จะมีประโยชน์อะไรเล่า”
ร่างเขาราวสายฟ้า กระโดดข้ามท้องฟ้ากว่าสามสิบจั้งมาปรากฏอยู่บนเวทีสังเกตการณ์พรรคมังกรฟ้าในพริบตา
รวดเร็วดุจปีศาจ
“เหตุใดต้องขุดรากถอนโคนกันเช่นนี้…ขุนนางเมืองหลี่ ทำสิ่งใดต้องเหลือทางถอยไว้บ้าง วันหน้าพบกันจะได้ไม่มีปัญหา”
ตงฟางเจี้ยนอกสั่นขวัญแขวน
เสียงกระบี่ดังอ้อยอิ่ง กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝัก
เขาวางตาข่ายกระบี่ถี่ยิบไว้เบื้องหน้า ซัดเงากระบี่มากมายออกไป ในขณะที่โจมตีเพื่อป้องกันก็ผละตัวไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ตงฟางเจี้ยนเป็นอันดับหนึ่งในสี่กระบี่ไวแห่งยุทธจักรทิศพายัพ ความชำนาญในวิชากระบี่ไม่ธรรมดา เงากระบี่หนาแน่นดั่งกำแพงเหล็ก ไอเย็นยะเยือก ปราณกระบี่หมุนวน กลิ่นอายที่คมกริบราวตัดเหล็กเฉือนหยกได้ทะลักไปในอากาศ ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
“อย่าหลงตัวเองนักเลย วันหน้าข้าไม่ได้อยากจะเจอเจ้าอีกเสียหน่อย”
ฝ่ามือของหลี่มู่ทะลวงเข้าไปในม่านกระบี่เป็นชั้นๆ อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เงากระบี่ทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา
เห็นเพียงหลี่มู่จับกระบี่ของตงฟางเจี้ยนเอาไว้อย่างแม่นยำท่ามกลางเงากระบี่นับร้อยนับพัน
จับกระบี่ด้วยมือเปล่า
ที่จริงนี่ไม่ใช่ทักษะพิเศษอะไร
ความเร็วของปฏิกิริยาตอบสนอง พลังสายตา และความแข็งแกร่งของฝ่ามือ หลี่มู่เหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้ เหนือกว่าขีดสุดของจอมยุทธ์ขั้นรวมจิตอย่างสิ้นเชิง เงากระบี่ทับซ้อนที่เร็วเหมือนสายฟ้าในสายตาคนอื่น แต่ในสายตาเขาเหมือนกับภาพช้า ไม่มีภัยคุกคามอะไรเลย
ข้อมือเพียงสะบัด
กระบี่คมกริบที่มีชื่อเสียงลือเลื่องในยุทธจักรเล่มนี้ก็สั่นขึ้นอย่างที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ตงฟางเจี้ยนร้องลั่น หูโขว่ปริแตก เลือดอาบย้อมนิ้วทั้งห้า ไม่อาจจับกระบี่ที่เขารักดั่งชีพเล่มนี้ได้อีก
“ขุนนางเมืองหลี่ ไว้ชีวิตด้วย…ข้าคือหลานแท้ๆ ของเจ้าเมืองหลี่แห่งเมืองฉางอัน ข้า…” ตงฟางเจี้ยนตะโกนลั่นภายใต้สถานการณ์คับขัน
เขาหวาดกลัวเป็นที่สุด
วันนี้หากหลี่มู่จัดการเขาจนสลบโยนแล้วเข้าห้องขังที่ว่าการ เช่นนั้นชื่อเสียงของเขาก็ย่อยยับสิ้น จะต้องกลายเป็นตัวตลกของยุทธจักรทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างแน่นอน
การเหยียดหยามเช่นนี้ทรมานเสียยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายเสียอีก
หลี่มู่ได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดก็หยุดมือลง
“เจ้ารู้จักเจ้าเมืองหลี่จริงๆ รึ?” เขาถามขึ้น
ตงฟางเจี้ยนโล่งอก พยักหน้าติดๆ กันก่อนจะตอบ “เป็นเรื่องจริงแน่นอน ข้ารู้จักกับเจ้าเมืองหลี่จริง”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้”
ตงฟางเจี้ยนนึกยินดี “ใต้เท้าก็รู้จักเจ้านางเมืองหลี่เช่นกันรึ?”
หลี่มู่พลันเงยหน้าหัวเราะลั่น “ข้าหมายถึง…บังเอิญเสียจริงที่ข้าไม่รู้จักกับเจ้าเมืองหลี่”
ตงฟางเจี้ยนแทบจะกระอักเลือด
นี่เรียกว่าบังเอิญแม่เจ้าสิ
เขาถูกหยอกเข้าเสียแล้ว
“ฆ่า”
“หยุดมันเอาไว้”
ยอดฝีมือพรรคมังกรฟ้าบุกมาแล้ว
“พี่ใหญ่ ท่านรีบหนีไป…” ‘กระบี่แจ้งใจ’ เกาเซิ่งเผิงตะโกนบอกตงฟางเจี้ยน จากนั้นก็พุ่งมายังหลี่มู่อย่างบ้าคลั่ง
“ปกป้องท่านตงฟาง”
“ตายเสียดีกว่ายอมแพ้ มังกรฟ้าไร้พ่าย”
“อย่างดีก็แค่สู้ตาย”
ยอดฝีมือของพรรคมังกรฟ้าแต่ละคนคับแค้นเต็มอก พร้อมสละตัวเพื่อผดุงคุณธรรม
ความรู้สึกนี้เหมือนหลี่มู่คือราชามารที่เหี้ยมโหดอำมหิตกำลังล้างสังหารฝ่ายธรรมะอย่างไรอย่างนั้น
“บ้าเอ๊ย พวกเจ้าก็เป็นแค่พวกตัวร้ายเท่านั้น แต่กลับแสดงบทจงรักภักดีปกป้องเจ้านาย แสดงผิดเรื่องรึเปล่าหา”
หลี่มู่รู้สึกไม่สบอารมณ์สุดๆ
เขาก้าวเท้ายาวออกไปรับ
เพียะ เพียะ เพียะ!
จากนั้นซัดไปคนละที
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์รุ่นหนึ่งหรือผู้นำพรรค หรือจะเป็น ‘กระบี่แจ้งใจ’ เกาเซิ่งเผิงผู้แข็งแกร่งขั้นรวมจิต เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ามือของหลี่มู่ก็โดนตบปลิวราวกับตุ๊กตาของเล่น แต่ละคนร่วงตุบกองอยู่หน้าโซ่ตรวนเหล็กดำกองนั้น ดิ้นรนเอาเป็นเอาตาย ไร้แรงขัดขืน
ในชั่วพริบตา ยอดฝีมือคนสำคัญทั้งหลายของพรรคมังกรฟ้าก็ไม่เหลือสักคนเดียว ทั้งหมดถูกซัดร่วงไปกองอยู่บนพื้น
ส่วนลูกศิษย์ทั่วไปพรรคมังกรฟ้าที่พลังธรรมดาต่างมองหน้ากันไปมา มือถืออาวุธแต่ขากลับอ่อนแรง ไม่กล้าบุกไปอีก
ล้อมโจมตีเป็นวิธีที่ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่งเสมอ
แต่วิธีนี้ได้ผลกับผู้แข็งแกร่งทั่วไปเท่านั้น
สำหรับตัวประหลาดอย่างหลี่มู่ ต่อให้มีคนมากกว่านี้บุกมาก็เป็นได้แค่เครื่องเซ่น
หากพูดตรงๆ อีกสักหน่อยก็คือ ขวัญกำลังใจและจิตมุ่งต่อสู้ของยอดฝีมือที่นี่ล้วนมลายหายเพราะโดนฝ่ามือนั้นตบผัวะๆ ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธจักรที่ดื้อดึงหยิ่งยโสเพียงใดก็ต้องหัวหด
แข็งแกร่งเกินไป
แข็งแกร่งเกินพิกัดไปแล้ว
จากต้นจนจบล้วนเป็นการบดขยี้
ต่อให้เป็น ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงหรือ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิตที่พลังแข็งแกร่งที่สุด ยามอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ไม่อาจสำแดงได้
ขั้นตอนทั้งหมดเหมือนกับพ่อตีลูกก็ไม่ปาน
ความแตกต่างของทั้งสองฝั่งราวฟ้ากับเหว
ใครก็คิดไม่ถึงว่าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ก่อนหน้านี้ลือกันให้ทั่วว่าตกใจหนีไปแล้วจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างคิดว่าขุนนางเมืองที่ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ท้าประลองถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องตายแน่นอน
แต่ตอนนี้บางคนเริ่มสงสัย ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เป็นคู่มือของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ได้หรือ
เพราะอย่างน้อยดูจากวันนี้ หลี่มู่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด
อีกทั้งสิ่งที่ยิ่งน่าครั่นคร้ามก็คือ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ของเขาเป็นความแข็งแกร่งที่มองไม่ออก
ระหว่างการประมือ หลี่มู่ใช้เคล็ดการต่อสู้อันน่าอัศจรรย์อะไรแล้วหรือ?
ไม่ได้ใช้
เขาใช้อาวุธเทพอะไรแล้วหรือไม่?
ก็เปล่า
เขาใช้กลอุบายใดไปหรือยัง?
ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่
ตั้งแต่ต้นจนจบก็แค่ใช้ฝ่ามือซัดไปทีละฝ่ามือ จากนั้นแต่ละฝ่ามือก็ซัดยอดฝีมือผู้สูงส่งที่ท่องไปทั่วยุทธภพทิศพายัพแต่ละคนจนล้ม เหมือนกับพ่อตีลูกอย่างไรอย่างนั้น
มองไม่ออก
มองไม่ออกว่าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ทำได้อย่างไร
ราวกับวิชามารไม่มีผิด
“ฮ่าๆๆ…”
หลี่มู่หัวเราะลั่นสามครั้งราวขุนนางโฉดหน้าขาว[1]โจโฉในงิ้วปักกิ่ง
น่าเสียดายที่ข้างๆ เขาไม่มีคนชงมุกถามว่า ‘เหตุใดใต้เท้าจึงหัวเราะ’ ช่างเสียของจริงๆ
หลี่มู่ถูๆ จมูก มองไปยังตงฟางเจี้ยนที่ขาทั้งสองอ่อนเปลี้ยแล้วพูดขึ้น “เจ้าจะล่ามตัวเองหรือให้ข้าช่วย?”
“เจ้า…” ตงฟางเจี้ยนกัดฟันจนปากสั่น “นับจากวันนี้ทุกที่ที่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์อยู่ พรรคมังกรฟ้าของข้าจะหลบลี้ ขอใต้เท้าขุนนางเมืองได้โปรดยั้งมือสักครั้งด้วย”
“ยั้งมือ?” หลี่มู่พยักหน้า “ก็ได้”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นสูงแล้วซัดลงไป ตงฟางเจี้ยนสลบเหมือดไปในทันที
พรรคมังกรฟ้าพ่ายแพ้ยับเยินทั้งก๊ก
“เจ้าขอร้องเองนะ ครั้งนี้ข้ายั้งมือพอแล้วใช่หรือไม่”
เขายักไหล่
ตัวต้นเหตุเช่นตงฟางเจี้ยนจะปล่อยไปไม่ได้แน่นอน
การประลองของสองสำนักครั้งนี้ ต้นเหตุของการปะทะก็เป็นเพราะ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ผู้นี้จงใจสร้างขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด จงใจก่อความวุ่นวายในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เท่ากับกระโดดลงหลุมมาเอง หลี่มู่ที่รีบร้อนกวาดรวบรวมตำราวิถียุทธ์ไหนเลยจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไป
‘ฮ่าๆ เรานี่มันโคตรจะแข็งแกร่งเลย’
หลี่มู่แอบตกตะลึงอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
จากนั้นเขาก็เก็บกระบี่ลือชื่อจากตงฟางเจี้ยนที่สลบเหมือดกำลังภายในแตกซ่านมาอย่างดีอกดีใจ เขาประเมินกระบี่ในมือที่ชิงมาได้ เห็นที่ด้ามกระบี่มีคำว่า ‘ตะวันกล้า’ คิดๆ ดูแล้วกระบี่เล่มนี้น่าจะมีชื่อว่า ‘กระบี่ตะวันกล้า’
‘อืม ได้ของรางวัลอีกชิ้นหนึ่งแล้ว’
เสียดายที่กระบี่เล่มนี้แม้จะคมกริบทนทาน แต่ติดที่เบาเกินไป
ตอนนี้ทักษะการปล่อยพลังที่หลี่มู่ทำได้เพิ่งจะถึงขั้น ‘หนักเป็นเบา’ ยังไม่ถึงขั้นที่ยิ่งเลิศล้ำกว่าคือ ‘เบาเป็นหนัก’ ดังนั้นกระบี่เล่มนี้สำหรับเขาแล้วจึงไม่เหมาะมือ
อีกทั้งหลี่มู่ค่อนข้างชอบวิชาดาบมากกว่า
ดาบคือความกล้าของทหาร องอาจดุดัน ทั้งยังมีคำพูดที่ว่า ‘ดาบดุจพยัคฆ์ร้าย’
เขาชอบวิถีการต่อสู้แบบตรงๆ ดุดัน ใช้กำลัง และเลือดร้อน
จุดนี้อาจจะเกี่ยวกับนิสัยของเขา
แต่สำหรับกระบี่ อาวุธที่มีสมญาเช่น ‘คุณธรรมของทหาร’ มีคำกล่าวว่า ‘กระบี่ท่วงท่างาม’ และให้ความสำคัญกับความงดงามของการเปลี่ยนท่วงท่า เขาไม่ได้ชอบมากเป็นพิเศษ
‘กระบี่ตะวันกล้า’ เล่มนี้ตกอยู่ในมือของหลี่มู่ก็เหมือนไก่ได้พลอย
‘อืม วันหลังยังสร้างพิพิธภัณฑ์สะสมไว้หลังที่ว่าการได้ เอาไว้สะสมอาวุธที่มีชื่อของพวกยอดฝีมือในยุทธจักรโดยเฉพาะ งานอดิเรกนี้เท่ระเบิดไปเลย’
ในหัวของหลี่มู่ผุดความคิดนี้ออกมา
และเพราะความคิดนี้เอง ในภายภาคหน้า จะมีน้ำตาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ไหลอาบกลางวันแสกๆ ในยุทธจักร
ทั้งยังจะมีจอมยุทธ์และยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่มองหลี่มู่เป็นดั่งเสือร้าย ปีศาจชั่วช้า ขยาดหลีกหนีแทบไม่ทัน อีกทั้งยี่สิบปีต่อมา ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ระหว่างการต่อสู้ใหญ่ครั้งใดก็แล้วแต่ แค่มีคนพูดว่า ‘หลี่มู่มาแล้ว’ จอมยุทธ์ยอดฝีมือในยุทธจักรทั้งหลายล้วนแตกกระเจิงไปคนละทาง ด้วยกลัวว่ามารคลั่งตนนี้จะชิงอาวุธของตนเองไป
นี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง จึงยังไม่เอ่ยในตอนนี้
“ทหาร จับพวกมันเอาไว้ให้หมด”
หลี่มู่เอาชนะยอดฝีมือทั้งหมดของสองสำนักใหญ่ เข้าใจและคาดการณ์พลังแท้จริงของตนแบบใหม่ได้ เขากำเริบเสิบสาน พออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง หัวเราะเหมือนกับราชามารตัวร้ายที่ทำแผนการชั่วช้าสำเร็จ
“วิ่ง!”
“หนี”
“มันจะจับพวกเราทั้งหมดได้รึอย่างไร?”
“กลับไปแจ้งข่าว”
“ใต้เท้า พวกข้าแค่มาดูเฉยๆ ไม่ใช่คนของสองสำนัก”
“พวกเราแค่ผ่านทางมาเท่านั้น…”
ทั่วทั้งที่แห่งนั้นเสมือนรังแตก
มีคนอ้อนวอน
มีคนแก้ตัว
และก็มีคนแอบคิดว่าโชคดี รู้สึกว่าขอแค่ทุกคนหนีไปเหมือนกับผึ้งแตกรัง คนมากมายเพียงนี้ ขุนนางเมืองคนเดียวไม่มีทางหยุดทุกคนเอาไว้ได้แน่นอน เหล่ามือปราบก็เป็นพวกไร้ประโยชน์ จะต้านทานยอดฝีมือในยุทธจักรที่กระโดดไปมาได้อย่างไร
กระนั้นแล้ว ร่างก็หายวับไป
คนที่เลือกหนีมีไม่น้อยเลยจริงๆ
คนหลายสิบมุ่งหน้ากันไปคนละทิศ ใช้ความเร็วที่ต่างกันสำแดงวิชาตัวเบาหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับนกกระจอกแตกรัง
หลี่มู่เตรียมการเอาไว้แล้ว
เขายื่นมือไปด้านข้าง “เอาธนูมา”
……………………………………………………
[1] ในงิ้วปักกิ่ง สีสันต่างๆ บนใบหน้าตัวละครจะบ่งบอกลักษณะนิสัยของตัวละครนั้นๆ สีขาวในงิ้วปักกิ่งจะหมายถึงเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย คดโกง คำว่า ‘หน้าขาว’ ในภาษาจีนจึงมีความหมายในเชิงตำหนิ