จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 64
“ฮ่าๆๆๆ…”
หลี่มู่หัวเราะน้ำตาเล็ด
“ขี้ขลาด”
เขาชี้ไปยัง ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงที่คุกเข่าอ้อนวอนอยู่บนพื้น
พูดตามตรง เขาคิดไม่ถึงว่ามู่เหรินหลงที่เป็นหนึ่งในสี่กระบี่ไวในพายัพยุทธภพ เป็นพี่น้องร่วมสาบานของตงฟางเจี้ยน ชิวจื่อหาน และเกาเซิ่งเผิง จะขี้ขลาดได้ถึงเพียงนี้ แค่ลากเข้ามาในห้องทรมานก็คุกเข่าอ้อนวอนอกสั่นขวัญหาย
พวกมือปราบที่อยู่ในห้องมืดมองไปยังมู่เหรินหลง ใบหน้าฉายแววดูถูก
ก่อนหน้าวันนี้ คนเหล่านี้ยังเป็นจอมยุทธ์ในใจของพวกเขา เป็นผู้สูงส่ง เป็นคนที่พวกเขาอิจฉาและอยากจะเป็น
แต่ตอนนี้เหล่ามือปราบพลันรู้สึกว่าจอมยุทธ์อะไรที่ว่าก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ผู้สูงส่งที่ท่องไปในยุทธจักรและองอาจกล้าหาญในจินตนาการของพวกเขาลิบลับ
และคนเช่นมู่เหรินหลงยิ่งเทียบไม่ได้แม้แต่คนธรรมดาเช่นพวกเขา
‘กระบี่แจ้งใจ’ เกาเซิ่งเผิงที่ยืนอยู่ข้างมู่เหรินหลงใบหน้าฉายความอับอายออกมา แต่เขากลับก้มหน้า ไม่ได้ประณามมู่เหรินหลงแต่อย่างใด
เพราะในใจเขาก็หวาดกลัวอย่างมากเช่นกัน
ก่อนหน้าเขาและมู่เหรินหลงจะเข้ามาที่นี่ ในช่วงเวลาสามชั่วยามที่ผ่านมา คนในยุทธจักรที่ถูกขังอยู่ในคุกของที่ว่าการ มียอดฝีมือขั้นรวมปราณโดนลากเข้าไปในห้องทรมานห้าสิบหกคนแล้ว ทั้งยังไม่มีใครได้กลับออกมา
จอมยุทธ์ทั้งหลายในคุกได้ยินเสียงคำรามและเสียงต่อสู้รางๆ ผ่านช่องประตูห้องทรมาน เสียงคร่ำครวญน่าสังเวชต่างๆ ก็เล็ดลอดออกมาจากรูกุญแจเช่นกัน
เสียงเหล่านี้ได้ยินรางๆ ไม่ชัดเจนนัก
แต่ก็มากพอให้คนในยุทธจักรด้านนอกคิดเชื่อมโยง ทั้งยังหวาดกลัวราวกับตกอยู่ในห้วงหุบเหว
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
ยิ่งกลัวก็ยิ่งอดคิดไม่ได้
ความกลัวขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางจินตนาการ และกลืนกินทุกคนเข้าไป
ทุกครั้งที่มีคนในห้องขังถูกลากออกไปจากกลุ่ม แม้แต่ผู้ที่ใจเด็ดเดี่ยวยังสั่นสะท้าน มีคนสั่งเสียกับสหายที่สนิทสนม มีคนตะโกนด่าหลี่มู่ และยิ่งมีคนดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ตกใจกลัวจนขวัญเสีย ร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งว่าโลกจะแตก
ในบรรดาคนที่สภาพน่าอับอาย มีหลายคนที่ลือชื่อเรื่องฝีมือดุร้ายเหี้ยมโหดในยุทธภพแถบนี้
ต่อหน้าความตาย คนพวกนี้สติแตกเร็วกว่าผู้อื่นเสียอีก
ดังนั้น เกาเซิ่งเผิงถึงเข้าใจสภาพน่าอับอายของมู่เหรินหลงในยามนี้เป็นอย่างดี
อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีและสติเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ลึกสุดในใจทำให้เขายืนขาสั่นอยู่ได้ เกรงว่าเขาคงคุกเข่าร้องอ้อนวอนไปแล้ว
หลี่มู่นั่งอยู่ข้างหลังกองคดี แทะเมล็ดกวยจี๊ กินแตงโม ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เขาส่งสายตาให้
มีมือปราบโยนกระบี่ยาวสองเล่มไปตรงหน้า ‘กระบี่แจ้งใจ’ และ ‘กระบี่มังกรเมฆา’
“คนชนะ รอด”
หลี่มู่พ่นเม็ดแตงโมออกมาสองเม็ดก่อนพูดขึ้น
มู่เหรินหลงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพุ่งมาราวกับสุนัขบ้า แย่งกระบี่ไปได้เล่มหนึ่งแล้วก็พุ่งไปยังเกาเซิ่งเผิงอย่างไม่ปรานี
และแทบจะในเวลาเดียวกัน เกาเซิ่งเผิงก็แย่งกระบี่เล่มหนึ่งไปได้เช่นกัน
เคร้ง!
คมกระบี่ปะทะโจมตี สะเก็ดไฟสาดกระจาย
“เจ้ากล้าลงมือกับข้ารึ?” มู่เหรินหลงตะลึงไป ก่อนจะตะคอก “ข้าเป็นพี่สามของเจ้า เจ้ากลับ…”
“หากข้าไม่ลงมือ จะยืนนิ่งปล่อยให้คนขี้ขลาดรักตัวกลัวตายเช่นเจ้าสังหารหรืออย่างไร?” เกาเซิ่งเผิงหัวเราะเสียงเย็น
เพื่อคำว่า ‘รอด’ จากปากของหลี่มู่ คนทั้งสองฉีกคำสาบานทิ้งไป ต่างฝ่ายต่างเสียดสี ยังเหมือนพี่น้องกันเสียที่ไหน โหดเหี้ยมดุร้ายเสียยิ่งกว่าคู่แค้น แทบจะแทงอีกฝ่ายให้เป็นรูพรุนเสียเดี๋ยวนั้น
ทั้งสองล้วนเป็นมือกระบี่ไวมีชื่อในยุทธจักรทิศพายัพ ใช้ความเร็วสู้กับความเร็ว ภายในห้องมืด เงากระบี่กวาดไปมาราวกับสายฟ้า ปราณกระบี่ถาโถม ลำแสงแลบแปลบปลาบ เสียงกระทบของโลหะที่ถี่ยิบราวฟ้าฟาดดังกระทบหูของทุกคนที่อยู่ในห้องมืด
การต่อสู้ดุเดือดอย่างมาก
ไม่นานนัก ร่างของมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงต่างได้รับบาดเจ็บ
ทั้งสองสาบานตนเป็นพี่น้อง ปกติแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไม่ขาด รู้วิชากระบี่ของกันและกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงสู้กันอย่างดุเดือดยิ่ง ต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ แต่ก็หลบบาดแผลถึงแก่ชีวิตจากกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ เลือดอาบทั้งตัวเป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น
‘เพลงกระบี่มังกรเมฆาผงาด’ ของมู่เหรินหลง และ ‘เพลงกระบี่แจ้งใจ’ ของเกาเซิ่งเผิงต่างเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ขั้นสูงสุดในบรรดาเพลงกระบี่ระดับแปด ล้ำลึกกว่าเคล็ดวิชาที่จอมยุทธ์พวกก่อนหน้านี้สำแดงมากนัก
หลี่มู่แม้แต่แตงโมก็วางไว้อีกทางหนึ่งไม่กินแล้ว เม็ดกวยจี๊ก็ไม่แทะแล้วเช่นกัน แต่มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ถึงแม้วันนี้ระหว่างการต่อสู้บนเวทีประลอง หลี่มู่จะใช้ฝ่ามือเดียวซัดมือกระบี่ไวทั้งสองจนสลบ แต่ตอนนั้นเป็นเพราะความเร็ว พลัง และปฏิกิริยาตอบสนองของเขาสามารถเอาชนะพวกนั้นได้ ไม่ได้หมายความว่าความเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ระดับทฤษฎี และการฝึกฝนเคล็ดวิชาของหลี่มู่จะแข็งแกร่งกว่าสองคนนี้
ข้อได้เปรียบของหลี่มู่อยู่ที่พลัง ความเร็ว และปฏิกิริยา
ส่วนข้อเสียเปรียบอยู่ที่กลยุทธ์การต่อสู้
หากเจอกับศัตรูที่มีพละกำลังและความเร็วในระดับเดียวกัน เช่นนั้นหลี่มู่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สำหรับเรื่องนี้เขารู้เป็นอย่างดี
อีกทั้งตอนที่อยู่บนโลก ซินแสเฒ่าก็บอกว่าทักษะการต่อสู้สำคัญมากไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เมื่อทักษะฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งก็ใกล้เคียงกับกฎเกณฑ์และหลักการ
นี่ก็คือ ‘ทักษะเข้าถึงเต๋า’ ที่พูดกัน
ต่อให้เป็นเซียนที่ซินแสเฒ่าพูดถึงต่างก็ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาก วิชาเซียนและเวทต่างๆ สามารถเพิ่มกำลังรบให้กับเซียนได้ เป็นหนทางดีที่สุดแบบที่ใช้ความอ่อนแอชนะความแข็งแกร่ง
ความคิดของหลี่มู่นั้นเรียบง่ายมาก
เขาต้องเริ่มจากศูนย์ จากไม่มีเป็นมี เพื่อฝึกฝนเส้นทางแห่งทักษะการต่อสู้ของตน
ขั้นตอนนี้แน่นอนว่าต้องมีทั้งดูตัวอย่าง มีทั้งลอกเลียนแบบ จะต้องสะสมให้ได้มากพอ และเปลี่ยนจากเรียบง่ายเป็นซับซ้อน จากตื้นสู่ลึก จึงจะเปลี่ยนจากปริมาณเป็นคุณภาพได้ นี่เป็นหลักปรัชญาพื้นฐานที่สุดในวิชาปกครองของชั้นมัธยมต้น
ดังนั้นเขาจึงคุมขังจอมยุทธ์ยอดฝีมือเอาไว้มากมายเช่นนั้น
ด้านหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อข่มขวัญตักเตือนพวกเขา ให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนที่ตนเองทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อศึกษาเรียนรู้เคล็ดการต่อสู้ของคนเหล่านี้จากวิธีนี้ เติมเต็มมุมมองด้านวิถียุทธ์ของตนเอง ยกระดับและสร้างวิถีการฝึกวรยุทธ์ที่เป็นของตัวเองขึ้นมา
นี่ค่อนข้างคล้ายกับนิยายกำลังภายในเรื่อง ‘กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร’ ของท่านกิมย้งบนโลก เตี๋ยเมี่ยงนางเอกของเรื่องขังยอดฝีมือจากสำนักทั้งเจ็ดไว้ บังคับให้พวกเขาถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ ในความเป็นจริงลี่มู่ได้รับอิทธิพลมาจากตอนนี้ของนิยาย
และความจริงพิสูจน์แล้วว่า วิธีการนี้เป็นวิธีที่ถูกต้อง
จากการสังหารต่างวิธีของแต่ละคน ความคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ในหัวของหลี่มู่กำลังยกระดับอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะการประมือของมือกระบี่ไวที่แข็งแกร่ง ช่างยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
ทักษะวิชากระบี่ทั้งสองสูงส่งล้ำลึก
หลี่มู่ดูอย่างตั้งใจ หลงใหลยิ่ง
วิญญาณของเขาราวจมอยู่ในสนามต่อสู้แห่งนี้ เคลิบเคลิ้มเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีความรักเป็นครั้งแรกมองเทพธิดาในใจที่ตนพิสมัยเดินนวยนาดมาหา
ในตอนนี้เอง…
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ประกายกระบี่สองสายแปลงเป็นสายอัสนีฟาดฟันมายังหลี่มู่
มู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงที่อยู่ในการต่อสู้พลันลงมือกับหลี่มู่ที่กำลังเคลิบเคลิ้มโดยไม่ได้นัดหมาย
สองกระบี่นี้เป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดและน่ากลัวที่สุดนับแต่ที่พวกเขาเข้ามาในห้องทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย
‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลง และ ‘กระบี่แจ้งใจ’ เกาเซิ่งเผิงปะทุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนในเสี้ยวขณะนี้เช่นกัน
“ตาย!”
“ฆ่า!”
ทุกสิ่งของทั้งสองคนก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการแสดง
จุดประสงค์ของการแสดงก็เพื่อโอกาสในเสี้ยวขณะนี้
แต่ทว่า ในชั่วขณะที่ประกายกระบี่ฟาดฟันมา ร่างหลี่มู่เพียงกะพริบก็หายวับไปจากเก้าอี้ราวกับเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว
เสี้ยวขณะต่อมา เขามาปรากฏตัวอยู่ข้างชั้นวางอาวุธ ในมือมีกระบี่เพิ่มขึ้นมาสองเล่ม
“แสดงละครได้ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ฆ่าข้าไม่ได้”
หลี่มู่หัวเราะเบาๆ แล้วพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
มือทั้งสองของเขาใช้กระบี่ มือซ้ายคือ ‘กระบี่มังกรเมฆาผงาด’ ส่วนมือขวาเป็น ‘กระบี่แจ้งใจ’ ซ้ายขวาแตกต่างกัน แต่กระบี่สองเล่มโจมตีมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงไปในเวลาเดียวกัน
แรกเริ่มหลี่มู่ยังไม่ชำนาญอยู่บ้าง
แต่ไม่นาน มือทั้งสองก็ออกกระบี่ได้ช่ำชองขึ้นเรื่อยๆ
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!
สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ประกายกระบี่ปะทะกัน
หลังจากนั้นหนึ่งถ้วยชา ใบหน้าของมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงฉายแววหวาดกลัวสิ้นหวัง
สีหน้าของทั้งสองราวกับเห็นผี
สิ่งที่หลี่มู่สำแดงออกมาเป็นเคล็ดวิชาลับของสำนักพวกเขา อีกทั้งยิ่งเลิศล้ำขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ ล้ำหน้าพวกเขาไปแล้ว ความละเอียดอ่อนของการเปลี่ยนท่า จังหวะการออกกระบี่ ควบคุมได้ชำนาญเสมือนอยู่กับมันมานานหลายสิบปี
อีกทั้งมือและกระบี่ทั้งสองใช้วิชาที่ต่างกัน คนหนึ่งสำแดงเพลงกระบี่สองชุดเช่นนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ผลลัพธ์กลับน่าอัศจรรย์ ราวกับแบ่งร่างเป็นสองคน
เคร้ง เคร้ง!
เสียงสองเสียงดังกังวาน
กระบี่ในมือมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงหลุดลอยพร้อมกัน
ทั้งสองร้องเจ็บปวด กุมจุดหูโข่วที่ปริแตกพลางถอยไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ อันวิชาตามตำราไม่ลึกซึ้ง จำต้องฝึกพากเพียรจึงเป็นผล[1]…” หลี่มู่หัวเราะฮ่าๆ และเริ่มท่องกลอนโบราณจากบนโลกไปมั่วๆ เพื่อวางมาด
แต่ว่าการนั่งดูศึกษากับลงมือปฏิบัติจริงเป็นความรู้สึกที่ต่างกันโดยแท้
หลังจากที่ประมือกับยอดฝีมือทั้งสอง การควบคุม ‘เพลงกระบี่มังกรเมฆาผงาด’ และ ‘เพลงกระบี่แจ้งใจ’ ของเขาจึงจะนับว่าถึงขั้นสมบูรณ์ช่ำชองอย่างแท้จริง
พวกมู่เหรินหลงทั้งสองหน้าซีดเซียว ใจสิ้นหวัง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องทักษะด้อยกว่าแล้ว
แต่เป็นความเหนือกว่าที่ครอบคลุมทุกด้าน ไร้จุดบอด เบ็ดเสร็จ และสมบูรณ์
“พวกเรายอมแพ้ เจ้าลงมือเถอะ”
“พวกเราพี่น้องไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วลุกยืนขึ้น ใบหน้าไม่มีแววอาฆาตแค้นต่อกันเช่นก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าเปลี่ยนมาสุขุม ในเมื่อแสดงละครไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องแสดงอีก สี่กระบี่ไวแห่งยุทธจักรพายัพไม่ใช่พวกรักตัวกลัวตาย แล้วพี่น้องจะฟาดฟันกันเองจริงๆ ได้อย่างไร?
“โอ๊ะ พี่น้องรักกันดีนี่ ฮ่าๆ คนประเภทที่ข้าเกลียดที่สุดก็เช่นพวกเจ้านี่แหละ พูดตามตรง พวกขยะที่อวดอ้างว่าผดุงคุณธรรม แต่จิตใจคับแคบทำเรื่องให้ประเทศชาติเสียหาย ทั้งยังหัวแข็งดื้อดึงอย่างพวกเจ้า เวลาจัดการก็ชวนให้ปวดหัวเสียจริงๆ”
หลี่มู่ก็ยังคงรู้สึกไม่ดีกับสองคนนี้
วีรบุรุษจอมยุทธ์ในยุทธจักรทิศพายัพ มีใครบ้างที่ไม่เข่นฆ่าจนชินชา มือไม่เคยเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์?
พวกเขาเข่นฆ่าไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่เพียงเพื่อความสะใจของตน เพื่อสัมพันธ์พี่น้องที่ว่านั่น
คนเช่นมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิง ข้อมูลที่ที่ว่าการอำเภอรวบรวมมาก็วิจารณ์เอาไว้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ช่วงที่อยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ถึงแม้จะไม่ได้เข่นฆ่าประชาชนโดยตรง ทว่านั่นก็เพียงเพราะพวกเขาไม่มีเวลาและไม่มีกระจิตกระใจ ซ้ำยังยุยงลูกสมุนให้ปล้นชิง ไม่ต่างอะไรกับลงมือเอง
“เขียนจดหมายถึงคนที่บ้านเจ้า แต่ละคนให้ใช้เคล็ดวิชาระดับแปดสองเล่ม เงินค่าไถ่หนึ่งหมื่นตำลึง หรือจะเปลี่ยนเป็นเสบียงอาหารที่มีราคาเท่ากันมาไถ่ตัวที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็กินอยู่ในคุกนี่ไป”
หลี่มู่ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ข้างๆ
นี่ก็คือวิธีสุดท้ายของเขา
ขูดรีดให้หนัก
สุดท้าย จากการคุกคามเสนอผลประโยชน์ของหลี่มู่ มือกระบี่ไวทั้งสองยอมเขียนจดหมาย
หลี่มู่ให้คนนำจดหมายไปยังจุดพักม้าส่งสาร
จากนั้นคนทั้งสองก็ถูกล่ามโซ่ตรวนที่ทำพิเศษอีกครั้งแล้วพาตัวไป
‘นักโทษฉกรรจ์’ เช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ เหมือนกับจางหนิงหรือหวางชง
ต่อมาในช่วงเวลาประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาก็ทำเรื่องเดิมๆ เช่นนี้
แม้แต่ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตง และ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนก็ยากจะหนีพ้นชะตากรรมเช่นนี้ไปได้ หลี่มู่บังคับให้พวกเขาสู้กัน ลอกเลียนเคล็ดวิชา จากนั้นก็บังคับขู่เข็ญให้เขียนจดหมายขอร้องให้คนที่บ้านนำเงินค่าไถ่จำนวนมหาศาลมาไถ่ตัว
แน่นอน บุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ เงินค่าไถ่ย่อมแพงที่สุด
……………………………………………………
[1] มาจากบทกลอน ‘冬夜读书示子聿’ ประพันธ์โดยลู่โหยวนักกวีสมัยซ่งใต้ บทกวีกล่าวถึงการศึกษาในตำราเป็นการเรียนรู้แค่ผิวเผิน ยากจะสำเร็จ จำต้องลงมือปฏิบัติจริงจึงจะเกิดผล บทกลอนมีแค่สี่วรรค แต่สามารถสะท้อนถึงหลักปรัชญาได้อย่างลึกซึ้ง