จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 84
“จะหนีไปไหน?” เว่ยชงเห็นท่า ก็ไล่ตามไปไม่ลดละ
เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
จากการเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่าของหลี่มู่ ผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ที่ผ่านความเหี้ยมโหดมามากก็เหมือนกระทิงคลั่งที่ถูกล่อด้วยผ้าแดง ดวงตาแดงก่ำ ควงค้อนยักษ์ติดโซ่ไล่ตามไปอย่างบ้าคลั่ง
เงาร่างสองร่าง คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งตามหลัง หายเข้าไปในภูเขากว้างใหญ่
รอบแอ่งน้ำใหญ่ค่อยๆ กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ผู้แข็งแกร่งสำนักดับนิวรณ์นับสิบคนที่เหลือ แต่ละคนมองตากันไปมา ใบหน้าอึ้งตะลึง
สุดท้ายหนึ่งในนั้นพูดขึ้น สิบกว่าคนที่เหลือจึงไล่ตามไปในทางที่เว่ยชงหายตัวไป
และตอนนี้ ไม่มีใครสังเกตว่าขอทานเฒ่ากับสุนัขสีน้ำตาลตัวใหญ่พาหมิงเยวี่ยหายไปแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
โจวเข่อเอ๋อร์อุ้มหลิงลี่ที่ยังอยู่ในสภาวะไม่ได้สติเอาไว้ หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็ไล่ตามไปด้วยเช่นกัน
คนที่ตามไปในเวลาเดียวกันยังมีจอมเวทชุดดำวัยกลางคนด้วย
เขาต้องรู้ให้แน่ชัดว่าจุดจบของหลี่มู่สุดท้ายแล้วเป็นหรือตาย
หากเป็นไปได้ เขาหวังว่าจะสามารถช่วยหลี่มู่ได้ ถึงแม้จะเป็นการแอบลงมือช่วยก็ตาม
สุดท้าย ทั่วทั้งแอ่งน้ำตกก็เหลือแค่ไป๋หรูซวงและนักพรตตาบอดสองคน
อ้อ ยังมีอีกายักษ์สีดำอีกตัวหนึ่ง
ดวงตาของไป๋หรูซวงที่มีผมขาวแห่งสำนักหมาป่าสวรรค์ส่องประกายประหลาด แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมา ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรอีก สุดท้ายเขาก็ขยับตัวกระโดดไปทางที่หลี่มู่เขวี้ยงกระบี่โบราณสีขาวไป
เขาอยากหากระบี่คู่กายกลับคืนมา
ส่วนนักพรตตาบอดนั่งเหม่อลอยอยู่กับที่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายเขาถึงขยับร่าง แผลบนร่างถูกสะเทือน เลือดไหลออกมาอีกครั้ง
เขาประสานปางมืออย่างยากลำบาก เคลื่อนย้ายพลังฟ้าดินทั่วบริเวณหลายร้อยจั้งมาแปลงเป็นพลังเวทรักษาตัวเอง
อีกายักษ์คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ
นับจากวันนี้ไป ข้างแอ่งน้ำตกเก้ามังกร ในแดนเซียนที่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอกแห่งนี้ ริมแอ่งน้ำมีกระท่อมหลังหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ในกระท่อมมีนักพรตตาบอดมือถือลำไผ่ มีอีกาตัวหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน กำลังรอคอยอยู่โดยตลอด
ฆ่าเจียว!
นี่คือความคิดเพียงหนึ่งเดียวในใจของเขา
เพราะในแอ่งน้ำมีเจียวยักษ์อยู่ตัวหนึ่ง
……
ยามฟ้าสาง
ดวงอาทิตย์สีแดงลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ จากหุบเขาอันไกลโพ้น
วันใหม่มาถึงแล้ว
ครืน!
ค้อนยักษ์ทุบก้อนหินขนาดมหึมาจนแหลกละเอียด
เงาร่างของหลี่มู่พุ่งมาจากข้างหลังก้อนหิน มุ่งไปยังที่ลึกในหุบเขาราวกระต่ายที่ตื่นตกใจ
“เจ้าหนีไม่รอดหรอก”
เว่ยชงตาแดงก่ำ เหวี่ยงค้อนยักษ์พลางหอบแฮกและไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ
เหตุการณ์เช่นนี้ยืดเยื้อต่อมาหนึ่งคืนแล้ว
หลี่มู่เหมือนโดนพิษ รู้สึกมึนงง ทั้งยังเริ่มมีไข้ สมองสับสนไปหมด ครรลองสายตาพร่าเลือน ร่างกายภายในและภายนอกราวกับมีไฟสุม ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในเตาเผาศพ เสี้ยวขณะต่อมาก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว
สติที่เหลืออยู่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองน่าจะโดนพิษเจียวเข้า
หากนำทฤษฎีวิทยาศาสตร์จากโลกมาอธิบายนั่นก็คือ เลือดของตนทำปฏิกิริยาปฏิเสธเลือดเจียว
‘ไหนบอกว่าอาบเลือดเจียวแล้วจะฟันแทงไม่เข้าไง?’
หลี่มู่รู้สึกอัดอั้นราวคนใบ้กินหวงเหลียน[1]
สภาพร่างกายเช่นนี้แน่นอนว่าไม่อาจต่อสู้กับเว่ยชงได้
เขาทำได้แค่หนีเท่านั้น
“ตาแก่ อยากฆ่าข้ารึ? ฮ่าๆ ตามหลังข้ามาซะเถอะเจ้าโง่”
หลี่มู่ไม่สนว่าเว่ยชงจะได้ยินหรือไม่ หนีไปพลางเยาะเย้ยไปพลาง
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากไหน ทำให้ตัดสินใจยืนหยัดว่าจะต้องล่อเว่ยชงมายังกลางป่าลึกกว้างไกลนี้ให้ได้ มิฉะนั้นหากตาเฒ่านี่เข้าไปในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ เกรงว่าจะยุ่งยากเข้าไปใหญ่
และเว่ยชงก็ไม่ทำให้หลี่มู่ผิดหวัง
ถึงแม้กำลังภายในใช้ไปแล้วกว่าครึ่ง แต่เพลิงโทสะกลับยิ่งปะทุ เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไล่ตามหลี่มู่ไปอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าเศษสวะ ข้าสาบานว่าจะต้องตามจับเจ้าให้ได้”
เว่ยชงคลุ้มคลั่งอย่างกับลิงบาบูนที่กำลังผสมพันธุ์แล้วโดนแย่งคู่ไป
“โรคจิต”
หลี่มู่อาศัยสัญชาตญาณหลบการโจมตีได้ไม่รู้กี่ครั้ง สบถด่าโดยไม่หันกลับไป
เจ้าก็ไม่ใช่สาวงามเสียหน่อย จะมาตามจีบ[2]กันทำไม
น่าขยะแขยงจริงๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้”
“ปัญญาอ่อนรึไง จะหยุดให้เจ้าฆ่างั้นหรือ”
“ข้าจะป่นกระดูกเจ้าให้เป็นผุยผง”
“เปลี่ยนบทพูดให้สร้างสรรค์กว่านี้ไม่ได้หรือไง พวกเจ้าตัวร้ายมีบทพูดแค่นี้เอง?”
“ย้ากกก ผู้เฒ่าโมโหนัก”
“แก่เฒ่าแล้วอย่าอารมณ์ร้อนนักเลย เกิดโมโหจนความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกอะไรพวกนี้ เดี๋ยวข้าดีใจตายเลย”
หนึ่งคนไล่ หนึ่งคนหนี
ในเขาขาวพิสุทธิ์ที่เงียบสงบโกลาหลอลหม่าน
ไม่รู้ว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งสิบกว่าคนของสำนักดับนิวรณ์หายไปไหนแล้ว ตามความเร็วของทั้งสองคนไม่ได้เลย
จอมเวทชุดดำวัยกลางคนกับ ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ก็ไร้ร่องรอยเช่นกัน
ครืน!
ภูเขาและหินผาถล่มทลายไม่ขาดสาย
ในป่าดึกดำบรรพ์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเกิดควันพวยพุ่งอยู่ตลอด
เวลาผ่านไปเช่นนี้อีกหนึ่งวัน
ม่านราตรีโรยตัวลงมา
“โจมตี!”
ค้อนยักษ์ทุบเข้าใส่หลี่มู่ เขาเหมือนลูกหนังถูกสะเทือนลอยไปหลายจั้ง กระแทกเข้าไปไกลในป่าทึบ
“เจ้าเศษสวะ ทำไมไม่สบถด่าอีกเล่า ฮ่าๆ”
เว่ยชงหอบแฮก ลำคอส่งเสียงแคร่กๆ เหมือนพัดลมพัง เหนื่อยเสียจนลิ้นห้อยออกมาแล้ว
กำลังภายในของเขาแทบจะใช้จนหมด
หลังจากใช้ค้อนเหวี่ยงหลี่มู่จนลอยไปแล้ว เว่ยชงก็ก้มตัวหอบหายใจอยู่กับที่พลางสะสมพลังกาย
หลังจากนั้นหลายสิบอึดใจ เว่ยชงลากค้อนเดินเข้าไปในป่าทึบ กลับพบว่าในป่ามีแค่รอยเลือดจางๆ ต้นไม้โบราณใหญ่เท่าคนโอบหลายต้นโดนกระแทกจนหักโค่น แต่ไม่พบตัวหลี่มู่
“มารดามันสิ เจ้าเศษสวะนี่กายเป็นเหล็กหรืออย่างไร?”
เว่ยชงกระทืบเท้าสบถด่า
วันนี้นับจากพระอาทิตย์ขึ้น เจ้าสวะนั่นก็อ่อนแรงมากแล้ว จึงยากที่จะหลบการโจมตีจากค้อนยักษ์เหล็กเหมันต์จากนอกโลกได้ หากโดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้เป็นเหล็กกล้าแกร่งโดนทุบหลายครั้งขนาดนั้นก็ยังต้องกลายเป็นเศษเหล็ก แต่เจ้าเศษสวะนี่กลับเป็นเหมือนสัตว์อสูรฆ่าไม่ตาย ไม่ใช่แค่ไม่ตาย แต่กลับจับพลัดจับผลูหนีไปได้อย่างไม่น่าเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่างนอกรีตนอกรอยเสียจริงๆ
“ข้าไม่เชื่อว่าจะจับเจ้าสวะนี่ไม่ได้”
เว่ยชงกัดฟันหอบหายใจ แต่กลับไม่ได้รีบร้อนไล่ตามไป
เขานั่งลงตรงนั้นแล้วเริ่มโคจรเคล็ดวิชาปรับสมดุลกำลังภายใน ฟื้นฟูพลังกลับมา
เว่ยชงคือจอมยุทธ์อาวุโส มั่นใจในทักษะการสะกดรอยตามของตน ด้วยสภาพเช่นนั้นของหลี่มู่คงหนีไปได้ไม่ไกลแน่นอน ไม่นานนักจะไล่ตามได้ทันอีก
ไกลออกไปสองลี้
หลี่มู่โซซัดโซเซ ขากะโผลกกะเผลก เหยียบไปในพุ่มหญ้าเน่าที่สูงไม่เกินข้อเท้า และพุ่งไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ
โดนทุบไปไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย
เพราะความรู้สึกร้อนแผดเผาที่เลือดเจียวนำมาให้ยิ่งร้อนไหม้ น่ากลัว และชัดเจนขึ้นทุกที ราวกับไฟที่มาจากนรกกำลังเผาไหม้ เขาใกล้จะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของตัวเองเต็มทีแล้ว
ความเร็วของเขาลดลงเรื่อยๆ
ปฏิกิริยาตอบสนองก็ช้าลงทุกทีเช่นกัน
โดนค้อนยักษ์ทุบแต่ละครั้ง หลี่มู่สามารถได้ยินเสียงกระดูกของตนหัก แต่กลับไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย
นี่เป็นความรู้สึกที่ประหลาดนัก
พูดตามตรง ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่ากระดูกของตัวเองหักไปแล้วกี่ท่อน
หรือบางทีอาจจะกลายเป็นเศษกระดูกไปแล้ว?
แต่ถึงอย่างไรเขาก็โซเซ เดินกะเผลก ทะยานไปข้างหน้าเช่นนี้ตามสัญชาตญาณ
จากนั้นห้อทะยานก็กลายเป็นเดินช้า
เดินช้ากลายเป็นคลาน
เขาที่ทั่วร่างเปลือยเปล่าราวกับงูน้ำกำลังคลานไปข้างหน้าทีละนิด ทีละนิดในป่าทึบซึ่งมีซากพืชทับถมเน่าเหม็นดั่งโคลน…
“เวรเอ๊ย คงไม่ตายหรอกใช่ไหม”
หลี่มู่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
……
“คนล่ะ? มันไปไหนแล้ว? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
เว่ยชงเต้นเร่าๆ
เขาสะกดรอยคลาดกับหลี่มู่
ร่องรอยทุกอย่างล้วนชี้มายังป่าทึบแห่งนี้ ทั้งหมดแสดงอย่างชัดเจนว่าหลังจากหลี่มู่เข้ามายังป่าทึบแห่งนี้ก็สลบไปแล้วโดยสมบูรณ์ ไม่มีทางเคลื่อนไหวไปได้แม้แต่นิดเดียว ทว่ากลับไม่เจอร่องรอยของหลี่มู่
ประหนึ่งว่าหลี่มู่เข้ามาในป่าแห่งนี้แล้วจู่ๆ ก็หลอมละลายไปในอากาศ หายไปเสียดื้อๆ
ต่อให้โดนสัตว์ป่าคาบไปหรือนกโฉบเอาไปก็น่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้
หลี่มู่เล่า?
ไปไหนเสียแล้ว?
เว่ยชงรู้สึกว่าตนเองไม่เคยโกรธ เสียการควบคุม และฉุนเฉียวเหมือนกับหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านมานี้เลย เขาเหมือนกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิด และจะเผาไหม้ทุกสรรพสิ่ง
ตูม ตูม ตูม!
เขาเหวี่ยงค้อนยักษ์ทุบต้นไม้โบราณแต่ละต้นๆ จนหักโค่น เศษไม้กระจายว่อน ภูเขาหินแตกทลาย
“ต่อให้เจ้าดำลงดินหรือบินขึ้นฟ้า ข้าก็จะหาเจ้าให้เจอ…เจ้าเศษสวะ หากไม่บดกระดูกเจ้าให้เป็นธุลี ข้าเว่ยชงคนนี้ขอสาบานว่าจะไม่เป็นคน”
ในเขาขาวพิสุทธิ์อันเงียบสงบดังก้องไปด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวเหมือนสุนัขไร้เจ้าของของเว่ยชง
……
ไม่รู้ผ่านไปแล้วอีกนานเท่าไหร่ หลี่มู่ฟื้นคืนสติขึ้นมาช้าๆ
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนนอนอยู่บนหินผาแข็งแกร่ง
ข้างหูได้ยินเสียงกระหึ่มของน้ำตกลอยมา
“นี่คือที่ไหน?”
หลังจากที่เขามึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้
เขาตั้งตัวกลับมาทันที มือทั้งสองยันตัวลุกขึ้นนั่ง ลืมตามองประเมินไปรอบๆ
การมองเห็นกลับคืนมาแล้วเล็กน้อย สามารถแยกแยะวัตถุได้เลาๆ
เขาเหมือนอยู่ในถ้ำภูเขา รอบๆ เป็นกำแพงหินที่มีลวดลายธรรมชาติหยาบๆ แสงสลัว มีประกายแสงวับไหวอยู่รางๆ
“เจ้าฟื้นแล้ว?”
เสียงผู้ชายทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดังขึ้น
หลี่มู่ตกใจ คิดจะกระโดดลุกขึ้นตามจิตใต้สำนึก
แต่ร่างกายกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสอง เหมือนเป็นอัมพาต ไม่รู้สึกถึงอวัยวะตั้งแต่ช่วงเอวลงไป เขาทำได้แค่นอนอยู่บนพื้นอย่างเลือกไม่ได้ ไม่อาจลุกขึ้นมาได้เลย
“อย่าเที่ยวขยับมั่วซั่ว อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสนัก”
เสียงผู้ชายดังขึ้นอีก
หลี่มู่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเสียงนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ไม่นานนัก แสงสว่างในถ้ำก็สว่างขึ้นอีกนิด
มีคนเติมฟืนลงไปในกองไฟอีกสามสี่ท่อน
จากนั้นใบหน้าเหลี่ยมมีหนวดเคราที่แฝงด้วยรอยยิ้มก็ปรากฏในสายตาของหลี่มู่
“เป็นท่านเอง?”
หลี่มู่ตกใจ
เขาจำได้ คนคนนี้ก็คือบิดาของยายา
ครั้งแรกที่ได้พบกันคือวันที่สองที่เขาเพิ่งจะมาถึงดาวดวงนี้ ตรงหน้าประตูเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ชายคนนี้แต่งตัวเหมือนนายพราน ยืนอยู่กับภรรยาผู้งดงาม และให้ยายานำผลซิ่งป่าสามผลมาให้
ส่วนครั้งที่สองคือในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ คุณชายหลี่ปิงเกี้ยวพาภรรยาเขาและเข้าขวางเขาไว้ หลี่มู่ตามมาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้
หลี่มู่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับชายคนนี้ในตอนนี้เวลานี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้
“เป็น…เป็นท่านที่ช่วยข้าไว้?”
หลี่มู่ถามด้วยเสียงแหบแห้ง
มีเพียงแค่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น
ชายใบหน้าเหลี่ยมมีหนวดเคราพยักหน้าให้พร้อมยิ้มเล็กน้อย
ใบหน้าที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยมีบุคลิกสงบเยือกเย็นบางอย่าง เมื่อเทียบกับนายพรานที่ปกติเงียบงันพูดน้อยคำผู้นั้นแล้วราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลี่มู่มองเห็นกลิ่นอายนักรบแห่งทะเลทรายที่กำราบกองทัพเป็นพันหมื่นได้จากสีหน้าท่าทางของเขา
……………………………………………………
[1] หวงเหลียน คือพืชสมุนไพรท้องถิ่นในจีนชนิดหนึ่ง ต้นเป็นพุ่ม มีรสขม สำนวนพักท้าย ‘คนใบ้กินหวงเหลียน’ จึงใช้อุปมาว่ามีความทุกข์แต่พูดไม่ออก
[2] คำว่า ‘ตามจับ’ (追) ในภาษาจีน หมายถึง ‘ตามจีบ’ ได้ด้วยเช่นกัน ในที่นี้ผู้เขียนตั้งใจเล่นคำ