จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 93
นายตรวจการควบคุมดูแลด้านการทหารของทั้งอำเภอ มีอำนาจลงโทษผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
เมื่อครู่เป็นนายตรวจการหนุ่มผอมสูงตาตี่คนนี้ที่ใช้เวลาเพียงเสี้ยวขณะตัดแขนของหม่าจวินอู่ขาด
ขั้นตอนทั้งหมดรวดเร็วนัก คนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
เห็นได้ชัดว่า นายตรวจการหนุ่มที่ชื่อหนิงจ้งซานคนนี้พลังเหนือกว่าหม่าจวินอู่
สีหน้าเจิ้งฉุนเจี้ยนแฝงรอยยิ้มเย็นโหดเหี้ยม เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ ดื่มชาอย่างนิ่งเฉย
ฉู่ซูเฟิงผู้ช่วยขุนนางเมืองที่ถูกส่งลงมาหัวเราะน้อยๆ พูดขึ้นว่า “หม่าจวินอู่กระด้างกระเดื่อง คิดจะลอบสังหารอาจารย์เจิ้งในศาล จะต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังแน่ ทหาร นำตัวไปสอบเค้นความจริง จะต้องลากเอาตัวผู้สมคบคิดกับเขาออกมาให้ได้”
ทหารเกราะอ่อนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกโถงใหญ่กรูเข้ามา ถืออาวุธตั้งท่าพร้อม
ก่อนหน้านี้ เวรยามป้องกันของที่ว่าการอำเภอถูกเปลี่ยนแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ ทั่วทั้งที่ว่าการล้วนอยู่ในการควบคุมของทหารชุดเกราะจากเมืองฉางอัน พวกหม่าจวินอู่ก็เปรียบดั่งลูกไก่ในกำมือ ไร้ซึ่งแรงจะต้านทาน
“พวกเจ้า…ใส่ความ…ใต้เท้าหลี่ไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่” หม่าจวินอู่หน้าซีดขาว พูดอย่างโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่ได้ขัดขืน
เฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งทั้งตกใจระคนแค้น
คนที่มาจากเมืองฉางอันบ้าคลั่งได้ถึงขั้นนี้เชียว?
ทั้งสามคนถูกนำตัวไป
“ข้าจะไปที่คุก สอบเค้นเจ้าเศษสวะพวกนี้ด้วยตัวเอง” หลี่ปิงลุกยืน เขวี้ยงจอกเหล้าในมือลงพื้นก่อนจะเอ่ย “ข้าจะทรมานพวกมันให้ตาย” เขาคิดกลวิธีโหดเหี้ยมน่ากลัวได้หลายสิบวิธี เพื่อเอามาแก้แค้นพวกเฝิงหยวนซิง
“ไปเถอะ” เจิ้งฉุนเจี้ยนยิ้มบางๆ “อย่าเล่นงานจนตายก็พอ”
หลี่ปิงยิ้มเหี้ยมเกรียม “ข้าจะระวัง…วางใจเถอะ ข้าก็เสียดายที่จะฆ่าเจ้าสุนัขพวกนี้ให้ตายไวๆ เหมือนกัน” เขานำหน้าคนเดินไปยังคุก เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมา กัดฟันกรอดกล่าวว่า “ใช่แล้ว หลี่มู่นั่น อย่าได้ปล่อยมันไปเด็ดขาด ข้าจะถลกหนัง เลาะเอ็น แล้วดื่มเลือดของมัน”
นายตรวจการคนใหม่หนิงจ้งซานเอ่ยขึ้นบ้าง “ข้าส่งคนไปค้นหลังที่ว่าการแล้ว หลี่มู่ไม่ได้อยู่ในที่ว่าการอำเภอ ในห้องฝึกยุทธ์ว่างเปล่า”
“หมายความอย่างไร? มันหนีไปแล้ว?” หลี่ปิงตวาดอย่างยากจะรับได้ “เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน เจิ้งฉุนเจี้ยน ไม่ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรก็ต้องจับหลี่มู่กลับมาให้ได้ มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้าทุกคนอยู่ไม่เป็นสุข”
ความโกรธแค้นทำให้หลี่ปิงเกือบคุ้มคลั่ง
เจิ้งฉุนเจี้ยนและหนิงจ้งซานสองคนถูกปรามาสเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วน
ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงหัวเราะ ก่อนพูดแก้สถานการณ์ “คุณชาย ตอนที่พวกเรามาหลี่มู่ก็อาจไม่ได้อยู่ในที่ว่าการแล้วก็ได้ แต่ว่าคุณชายวางใจเถิด ถึงพระหนีไปได้ แต่วัดหนีไปไหนไม่ได้[1] ขอแค่วางแผนออกอุบาย เจ้าหลี่มู่จะต้องกลับมาอย่างว่าง่ายแน่นอน ท่านไปเล่นสนุกระบายอารมณ์ในคุกที่ว่าการก่อน พวกเราจะต้องทำให้ท่านพอใจแน่”
“อืม ยังเป็นเจ้าที่ค่อยพูดเป็นหน่อย”
หลี่ปิงพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นพาทหารชุดเกราะเดินออกไป
‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนดื่มชา เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ทว่าไม่ได้พูดออกมาอีก
ความไร้เหตุผลของหลี่ปิงทำให้เขากระอักกระอ่วนต่อหน้าธารกำนัล ในใจของเขาโกรธแค้น แต่ก็ควบคุมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
เพราะเขารู้ว่ารากฐานของเขาอยู่ที่ใต้เท้าเจ้าเมือง ดังนั้นถึงแม้เขาจะล่วงเกินใครก็ได้ แต่ก็ล่วงเกินลูกชายคนเล็กที่เจ้าเมืองผู้นี้รักที่สุดไม่ได้
“อาจารย์เจิ้ง ข้าได้ยินมาว่าหลี่มู่คนนี้รักพวกพ้องอย่างยิ่งยวด หากพวกเราจับคนใกล้ชิดของเขามา แล้วใช้แผนบีบให้ปรากฏตัว บางทีอาจจะบีบเขาออกมาได้” จมูกงองุ้มบนใบหน้ากลมของฉู่ซูเฟิงกระตุกเบาๆ ให้ความรู้สึกชั่วร้ายเกินบรรยาย
“คนใกล้ชิด? เฝิงหยวนซิง เจินเหมิ่ง หม่าจวินอู่ คนที่หลี่มู่พึ่งพาอาศัยมีแค่สามคนนี้ไม่ใช่รึ?” นายตรวจการคนใหม่หนิงจ้งซานขมวดคิ้วพูด
“ฮ่าๆ ผิดแล้ว ผิดแล้ว ใต้เท้าหนิงรู้แค่เพียงด้านหนึ่งเท่านั้น จากที่ข้ารู้มา คนที่หลี่มู่เชื่อใจและใกล้ชิดมากที่สุดไม่ใช่ขุนนางสามคนนี้ แต่เป็นเด็กรับใช้บัณฑิตที่อยู่ข้างกายเขา” ฉู่ซูเฟิงหัวเราะอย่างมั่นใจเสียเต็มประดา
“เด็กรับใช้บัณฑิต?” ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนฉุกคิด
ฉู่ซูเฟิงพูดหัวเราะ “ใช่แล้ว เด็กรับใช้บัณฑิตสองคนที่ชื่อชิงเฟิงกับหมิงเยวี่ยต่างหากถึงจะเป็นคนใกล้ชิดของเขา ข้าน้อยให้คนเสาะหาทั่วทั้งที่ว่าการแล้ว แม่เด็กรับใช้ที่ชื่อหมิงเยวี่ยหายตัวไร้ร่องรอย แต่เจ้าหนูที่ชื่อชิงเฟิงยังอยู่ ข้าส่งตัวไปเรือนด้านหลังแล้ว”
เจิ้งฉุนเจี้ยนหัวเราะ พยักหน้าเอ่ยว่า “ก็คือเจ้าเด็กฝีปากกล้าหน้าประตูที่ว่าการคนนั้น?”
“ใช่แล้วขอรับ”
“อืม ก็ดี เจ้าไปจัดการเถอะ อายุน้อยก็ฝีปากกล้านัก ควรเลาะฟันออกมาเสียหน่อย มันจะได้เข็ดหลาบ” ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดขึ้นเรียบๆ
……
เรือนด้านหลัง
ชิงเฟิงมองฉู่ซูเฟิงที่ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้า สีหน้าท่าทางอึ้งตะลึง เหมือนตกใจจนปัญญาทึบไปแล้ว
“เจ้าเด็กนี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดเก่งนักรึไง? ตอนนี้ทำไมเป็นใบ้ไปเสียแล้ว? ฮ่าๆ” รองนายพลที่ชิงเฟิงตวาดด่าเสียจนอับอายหัวเราะเสียงเย็น
ชิงเฟิงไม่พูดอะไร
ผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิงมีสีหน้าเฉยชา
ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เด็ก ไม่ว่าจะฝีปากกล้าเพียงใด แค่ข่มขวัญนิดหน่อยก็ตกใจกลัวจนปัญญาทึบแล้ว
“พาตัวไป” ฉู่ซูเฟิงสั่งการ
ทหารชุดเกราะสองคนหิ้วปีกชิงเฟิงเดินโซซัดโซเซ
“เป็นข้าที่ผิดไปแล้ว…” เขาพูดกับตัวเองอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
รองนายพลคนนั้นหัวเราะอย่างรู้สึกสมเพช “ฮ่าๆ เด็กน้อย มาขอร้องตอนนี้ก็สายไปแล้ว”
ชิงเฟิงเหมือนไม่ได้ยินคำเยาะเย้ย ยังคงพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าผิดไปแล้ว ข้ามั่นใจเกินไป เป็นข้าที่ทำร้ายใต้เท้าหม่า ทำร้ายพวกนายทะเบียนเฝิง…ข้า…” เขาจิกทึ้งผมตัวเองอย่างหงุดหงิดโมโห
ไม่อ่อนข้อ
สองคำนี้เป็นคำสำคัญที่เขากำหนดไว้เมื่อเข้ามายังที่ว่าการอำเภอ
ดังนั้นพวกหม่าจวินอู่และเฝิงหยวนซิงถึงได้แสดงท่าทีแบบนั้น
เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยยังเยาว์วัยนัก มั่นใจในตัวเองเกินไป
เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถวางแผนและคาดการณ์ทุกอย่าง คิดว่าหากแสดงท่าทีที่ไม่อ่อนข้อเหมือนที่หลี่มู่แสดงออกก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นคนที่มาจากเมืองฉางอันก็ไม่มีทางกำแหงถึงขนาดนี้
แต่ว่า ในตอนที่เขาได้ยินว่าหม่าจวินอู่แขนขาด เฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งถูกนำตัวไปสอบเค้นจากปากทหารชุดเกราะพวกนั้น ถึงได้รู้ว่าที่แท้คนจากเมืองฉางอันพวกนี้เมินเฉยต่อกฎระเบียบข้อกฎหมาย และบ้าคลั่งได้ถึงขั้นนี้
เขาประเมินความชั่วร้ายอำมหิตของวงการขุนนางต่ำไป
ซ้ำยังประเมินความบ้าคลั่งและกำเริบเสิบสานของคนบางคนต่ำไปด้วย
“เป็นข้าที่ทำร้ายพวกเขา”
เมื่อหลักไม้ทรมานมาอยู่ต่อหน้าเขา ใจของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยก็ยังคงเต็มไปด้วยความคับแค้นและตำหนิตัวเอง
การวิเคราะห์ที่ผิดพลาดของเขา ทำให้เพื่อนพ้องต้องประสบเคราะห์เช่นนี้
หากตอนนั้นไม่เลือกท่าที ‘ไม่อ่อนข้อ’ แต่เปลี่ยนเป็นกลยุทธ์อีกแบบหนึ่ง บางทีตอนนี้ต่อให้ทุกคนถูกกักขัง ก็ยังไม่เป็นถึงขั้นนี้
โดยเฉพาะหม่าจวินอู่ที่แม้แต่ใฝ่ฝันก็อยากจะเป็นมือธนูผู้เก่งกาจใน ‘กองธนู’ ของ สำนักเทพ ‘ทุ่งปิดภูผา’ และได้พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้แขนขาดไปข้างหนึ่ง จะยกคันศรยิงธนูได้อย่างไร?
“ทหาร ถอนฟันมันออกแล้วจับแขวนขึ้นไป”
ฉู่ซูเฟิงมองเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย ในใจนึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง แต่จะไม่ใจอ่อนให้เด็ดขาด
“เฮ้อ ใครใช้ให้คนที่เจ้าล่วงเกินเป็นอาจารย์เจิ้งกันเล่า ทำได้แค่ที่โทษชะตาของเจ้าไม่ดี ติดตามนายผิดคน” ฉู่ซูเฟิงกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าเองขอรับ” รองนายพลคนนั้นยกมือขันอาสา
เขาใช้ด้ามดาบถอนฟันหน้าของชิงเฟิงทีละซี่ๆ
“ฮ่าๆ เด็กน้อย ดูสิว่าต่อไปแกจะด่าคนอย่างไร ฮ่าๆๆ” รองนายพลคนนั้นหัวเราะอย่างเหี้ยมโหดและตื่นเต้น
ใบหน้าของชิงเฟิงที่แต่เดิมงามสง่าเต็มไปด้วยเลือด ปากแตกแดงบวมเจ่อ ในยามที่อีกฝ่ายถอนฟันก็ตั้งใจใช้ด้ามดาบกระแทกจนริมฝีปากเขาแตก สภาพน่าสังเวชยิ่งนัก
แต่ว่าเขากลับไม่โอดครวญสักนิด แม้กระทั่งจะหลบก็ไม่หลบ แต่เงยหน้าขึ้นสูง แววตาคมกริบดุจกระบี่จ้องรองนายพลคนนั้นเขม็ง
“มารดามันสิ เจ้าสวะนี่ เจ้า…” รองนายพลถูกจ้องเสียจนใจไม่เป็นสุข
เขาสันหลังหวะขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนตวาดอย่างเหี้ยมเกรียม “กล้าใช้สายตาแบบนี้มอง คิดว่าข้าจะกลัวงั้นหรือ? จำเอาไว้ ชื่อของข้าคือเฉียนเฉิง วันหลังอยากแก้แค้นก็มาหาข้านี่…ยังจะมองอีก? ข้าจะควักตาของเจ้าออกมาเสียตอนนี้”
ฉู่ซูเฟิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก “หยุด พอแล้ว อาจารย์เจิ้งจะเก็บชีวิตของเจ้าเด็กนี่ไว้ มันยังมีประโยชน์อยู่ อย่าทำให้ตายแล้วทำลายการใหญ่ของท่านอาจารย์”
รองนายพลเฉียนเฉิงถึงได้หยุดมืออย่างคับแค้นไปเช่นนั้น
“ทหาร จับมันแขวนขึ้นไป”
ฉู่ซูเฟิงชี้ไปยังหลักไม้สูงสามจั้งที่อยู่ข้างๆ บัญชาให้ทหารชุดเกราะมัดเด็กรับใช้บัณฑิตน้อย ก่อนจะจับแขวนขึ้นไป
แดดแรงแผดเผา
แขวนไว้บนหลักไม้ตากแดดตากลมเช่นนี้ คือทัณฑ์ทรมานวิธีหนึ่ง
“ปล่อยข่าวออกไป หากหลี่มู่ไม่มา เจ้าเด็กนี่จะถูกแขวนตายทั้งเป็นอยู่บนหลักไม้นี้”
ฉู่ซูเฟิงสั่งการอย่างเย็นชา
……
น้ำตกเก้ามังกร ทางแม่น้ำบาดาลในถ้ำภูเขา
หลี่มู่และกัวอวี่ชิงสองคนราวคนรักที่อยู่ในช่วงเวลาหวานชื่น มีเรื่องให้คุยกันไม่จบไม่สิ้น เมื่อคุยจนจุใจแล้ว ทั้งสองก็ยังสุขใจอย่างยิ่งยวด ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นหลี่มู่หรือกัวอวี่ชิง ต่างก็เป็นคนประเภทที่คลั่งไคล้ในการต่อสู้
ตั้งแต่เด็กหลี่มู่เฝ้าใฝ่ฝันถึงฝันจอมยุทธ์ที่ ‘ถือกระบี่ไปในใต้หล้า ผดุงคุณธรรมในแผ่นดิน’ ส่วนกัวอวี่ชิงก็ยิ่งหลงใหลอยู่ในความรู้สึกประสบความสำเร็จด้านการฝึกฝน ต่อให้หลายปีมานี้โดนไล่ล่าสังหาร มาเร้นกายในเขาขาวพิสุทธิ์ ก็ไม่ละทิ้งการฝึกฝน
ผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน พูดกันไปตามอารมณ์ไม่กี่ประโยคก็คุยกันได้ออกรสออกชาติ
ในสภาวะเช่นนี้ เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก
ระหว่างนี้กัวอวี่ชิงเคยจากไปครั้งหนึ่ง หนึ่งคือเพื่อจะแจ้งข่าวภรรยาว่าตนปลอดภัย สองคือเพื่อไปเอาสุราเลิศรสที่ฝังไว้นานถึงห้าปีใต้กระท่อมของตนมาดื่มอย่างสะใจในถ้ำภูเขา
“โบราณมีปราชญ์เมธี หลงใหลตำราหนังสือประดุจหลงใหลสุรา ทิ้งเรื่องเล่าขานไว้นานนับพันปี วันนี้เจ้าและข้าพี่น้องหลงใหลวิชาธนูประดุจหลงใหลสุรา ไม่เมาไม่กลับ” กัวอวี่ชิงปลดปล่อยจิตใจ
ห้าปีมานี้ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เคยได้ดื่มจนสาแก่ใจเหมือนวันนี้เลย เหมือนว่าวันคืนหมุนย้อน กลับไปยังยุคที่ราบทุ่งหญ้าเมื่อวันวาน
“หลงใหลวิชาธนูประดุจหลงใหลสุรา พูดได้ดียิ่งนัก หมดจอก!”
หลี่มู่ก็คึกคักฮึกเหิมจนแทบไม่ไหว กอดไหเหล้าพลางดื่มอึกใหญ่
นับจากที่มาถึงดาวดวงนี้ ก็ไม่มีวันไหนที่หลี่มู่รู้สึกถึงอกถึงใจและอบอุ่นเหมือนวันนี้เช่นกัน ช่วงเวลาที่อยู่กับกัวอวี่ชิงเหมือนช่วงเวลาบนโลก คล้ายตอนแอบโดดช่วงทบทวนด้วยตัวเองตอนกลางคืน[2]กับเพื่อนๆ แล้วหนีมาดื่มเบียร์กินซาวข่าว[3]
มีสุราเลิศรส มีคนรู้ใจ แล้วจะไม่ถึงอกถึงใจได้อย่างไรกัน?
หลี่มู่มันสุดเหวี่ยงไปแล้วเรียบร้อย
……………………………………………………
[1] ถึงพระหนีไปได้ แต่วัดหนีไปไหนไม่ได้ สำนวนจีนหมายถึง ถึงแม้จะหนีได้ปัญหาได้ชั่วคราว แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสริมเข้ามา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
[2] ช่วงทบทวนด้วยตัวเองเวลากลางคืน คือช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่เด็กนักเรียนจีน ทุกคนจะต้องอยู่ที่โรงเรียนเพื่อศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง ในช่วงเวลานี้นักเรียนจะมีการบ้านหรือทำข้อสอบเพิ่มนอกเหนือจากเนื้อหาที่เรียนในช่วงกลางวัน
[3] ซาวข่าว คืออาหารปิ้งย่างแบบจีน มีรสชาติเผ็ดชา โดยจะนำผัก เนื้อสัตว์ต่างๆ หรือหมั่นโถวเสียบไม้ย่าง ทาด้วยซอสปรุงรส โรยด้วยผงยี่หร่า พริกฮวาเจียว หรือผงเครื่องปรุงอื่นๆ