จอมศาสตราพลิกดารา - ตอนที่ 97
“ทำให้เขารอด ไม่ว่าจะต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนอะไร ต้องใช้ยาอะไรก็บอกข้ามา ข้าจะคิดหาวิธีเอง” หลี่มู่เอ่ยอย่างเด็ดขาด
“ผู้…ผู้น้อยทำได้แค่…พยายามสุดกำลังเท่านั้น” หมอกัดฟันพูด
หลี่มู่ถอนหายใจ รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเอาแต่ใจเกินไป
บนโลกนี้มีเรื่องอะไรแน่นอนเสียที่ไหน
หมอก็ไม่ใช่เทพเซียนที่จะจัดการกับปัญหาได้ทุกเรื่อง
หลี่มู่ตบไหล่ของหมอคนนี้ ก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงพูด “ได้ ท่านเป็นหมอที่วิชาแพทย์เลิศล้ำที่สุดในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ชาวบ้านต่างเรียกท่านว่า ‘โพธิสัตว์บนดิน’ ข้าเชื่อว่าท่านต้องช่วยเขาได้ แค่พยายามให้สุดกำลังก็พอ หากไม่ได้จริงๆ…ข้าก็ไม่โทษท่าน อย่าได้กดดันไป”
หมอผู้นั้นพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง
หลี่มู่พูดจบก็มายังเบื้องหน้าหลี่ปิงที่ยังคงร้องน่าสมเพชเหมือนหมูโดนเชือด
เขามองต่ำลงมา
“ไม่ๆๆ ข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย อย่า…ข้ายังไม่อยากตาย” หลี่ปิงร้องด้วยความหวาดกลัวสุดฤทธิ์
หลี่มู่มองเขาดุจมองกองอาจม พูดอย่างรังเกียจขยะแขยงว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า…”
สีหน้าของหลี่ปิงผ่อนคลายลง
แต่กลับได้ยินหลี่มู่กล่าวขึ้นอีก น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับมาจากนรก พูดอย่างเนิบช้าโดยย้ำทีละคำทีละประโยคว่า “ข้าจะไว้ชีวิตสารเลวของเจ้า ทุกอย่างที่เจ้าทำกับเฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ เจินเหมิ่ง ข้าจะเปลี่ยนบทบาทมาทำมันกับเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าอะไรถึงจะเป็น ‘ตายเสียดีกว่าอยู่’ ที่แท้จริง”
หลี่ปิงตกใจจนโง่งมไปในทันที
สุดท้ายเขาถึงกับน้ำลายฟูมปาก ตกใจจนสลบเหมือดไปทันใด
“ทหาร ส่งพวกนายทะเบียนเฝิงไปสำนักแพทย์” หลี่มู่เอ่ยสั่ง
มีพัศดีเข้ามารีบยกเปลหามพาพวกเฝิงหยวนซิงสามคนเดินออกไปนอกคุก
“ใต้เท้า…ใต้…ใต้เท้า…” จู่ๆ เฝิงหยวนซิงก็ดิ้นรนมองทางหลี่มู่ พูดด้วยเสียงอ่อนระโหยว่า “ให้…ให้พวกเราไปที่ว่าการกับท่าน พวกเรา…อยากจะร่วมเผชิญหน้ากับท่าน พวกเรา…”
เจินเหมิ่งก็พูดขึ้นบ้าง “หากใต้เท้าแพ้พ่าย พวกเรา…พวกเราก็ไม่สมควรที่จะรอด พวกเรา…ไปด้วยกัน…”
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้ว เช่นนั้นก็ได้
จะได้ให้พวกเขาเห็นภาพบางอย่างด้วยตาตัวเอง บางทีพวกเขาอาจได้การปลอบประโลมทางจิตใจบ้าง
เขามองไปทางหมอคนนั้น
ฝ่ายหมอเข้าใจความหมายของหลี่มู่ ลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น “ได้ทายาห้ามเลือดให้ใต้เท้าทั้งสามแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไร ไปที่ว่าการก็เป็นเรื่องที่ทำได้ขอรับ”
หลี่มู่หันกลับมายังพวกเฝิงหยวนซิง “ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”
พูดแล้วเขาก็ชี้ไปยังหลี่ปิงที่สลบเหมือดอยู่ “พาไอ้เศษสวะแกล้งตายนี่ไปด้วย”
คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากคุกที่ว่าการ
เพิ่งจะถึงหน้าประตูคุก หลี่มู่ก็หยุดฝีเท้าลง
พวกพัศดีหยุดลงอย่างหวาดหวั่น ล้วนมองไปข้างนอกด้วยความตื่นกลัว
หน้าประตูคุก ทหารชุดเกราะดำเป็นขบวนตั้งท่ารอ ธนูขึ้นสายเอาไว้ หอกมากมายตั้งท่าพร้อม ดาบกระบี่คมกริบวาววับถูกชักออกจากฝัก ภายใต้แสงอาทิตย์สองดวงที่สาดส่อง อาวุธโลหะเย็นเยียบแผ่กลิ่นอายแห่งความตายออกมาอย่างเข้มข้น แค่ออกคำบัญชา เลือดเหนียวข้นจะพุ่งเป็นสายดุจลูกศรในอากาศ แขนขาจะขาดกระจุย
บรรยากาศแข็งตัว แทบจะทำให้คนขาดใจในชั่วพริบตา
ข้างหน้าทหารชุดเกราะดำ รองนายพลทั้งสองขนาบซ้ายขวา ให้ชายหนุ่มผอมสูงผู้หนึ่งอยู่ตรงกลาง
ชายหนุ่มมีสีหน้าเย็นชา หรี่ตาลง เหมือนหมาป่าที่กำลังแยกเขี้ยวใส่เหยื่อ ชุดขุนนางที่ใส่อยู่ทำให้หลี่มู่ตระหนักได้ว่าคนคนนี้เป็นนายตรวจการ นายตรวจการของอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่เมืองฉางอันส่งมาใหม่อย่างนั้นรึ?
“หลี่มู่?” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ากล้าบุกคุกที่ว่าการ? ชิงตัวนักโทษประหาร? เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?”
หลี่มู่หันหน้าไปถามพัศดีคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “คนที่ตัดแขนหม่าจวินอู่คือเจ้านี่ใช่หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ว่าการบางอย่างจากปากของพัศดีมาเลาๆ
พัศดีทั้งหลายหน้าซีดลงทันที ไม่กล้าเอ่ยปากอะไร กลัวว่าจะถูกลากเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทของบุคคลยิ่งใหญ่พวกนี้
“เรียนใต้เท้า ว่ากันว่า…เป็นคนผู้นี้ นายตรวจการคนใหม่หนิงจ้งซาน”
พัศดีหนุ่มคนหนึ่งลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงดังหน้าแดงก่ำ เขาคือน้องภรรยาของหัวหน้าพัศดีเจินเหมิ่ง และยังเป็นคนสนิทที่เจินเหมิ่งฝึกฝนในคุก เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของเจินเหมิ่ง ในใจก็โกรธแค้นจนถึงขีดสุด ตอนนี้จึงตัดสินใจยืนข้างหลี่มู่โดยสมบูรณ์และทุ่มอย่างสุดตัว
หลี่มู่พยักหน้า
“ฮ่าๆๆ ได้ยินว่าหม่าจวินอู่เป็นอาจารย์สอนวิชาธนูของเจ้ารึ?” ตอนนี้ ใบหน้าหนิงจ้งซานที่รูปร่างผอมสูงแย้มรอยยิ้มราวกับตั้งใจท้าทาย “หม่าจวินอู่วางแผนสังหารอาจารย์เจิ้งในโถงที่ว่าการ ผิดอย่างไม่อาจละโทษได้ ข้าในฐานะที่เป็นนายตรวจการคนใหม่ของอำเภอขาวพิสุทธิ์ตัดแขนเขาข้างหนึ่ง ถือว่าใจกว้างแล้ว…”
พูดยังไม่ทันจบ
คนทั้งหมดล้วนรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน
หนิงจ้งซานรู้สึกว่าพลังมหาศาลทะลักมา เขาหายใจไม่ออกทันที คอเหมือนโดนเหล็กรัดเอาไว้ เสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู ภาพในครรลองสายตาเลือนราง จากนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เขาเบิกตากว้าง ถึงจะพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว
เขาถูกลากออกมาจากการคุ้มกันของรองนายพลทั้งสองและทหารชุดเกราะดำ จนมายังหน้าประตูคุก
ฝ่ามือดั่งเหล็กกล้างัดคอของเขา ยกร่างเขาขึ้นมากลางอากาศ เท้าลอยเหนือพื้นเหมือนกับหิ้วสุนัข เป็นท่าที่หยามหมิ่นเกียรติอย่างหนึ่ง
เจ้าของฝ่ามือแน่นอนว่าคือหลี่มู่
และสายตาของเขาก็ราวกับดาบคมกริบสองเล่ม แทบจะแทงทะลุวิญญาณของหนิงจ้งซานอยู่แล้ว
“เจ้า…เจ้าปล่อยข้า เจ้า…”
หนิงจ้งซานตื่นตะลึง ดิ้นรนสุดกำลัง
แต่ไม่ว่าเขาจะโหมกำลังภายในในร่างอย่างไร ต่อให้สำแดงพลังทั้งหมดออกมาสุดชีวิต ก็ไม่อาจสะเทือนฝ่ามือที่บีบคอของตนได้เลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินวีรกรรมของหลี่มู่มาแล้ว
เคยได้ยินเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับพลังมหาศาลของหลี่มู่มามากมาย
แต่เขาล้วนดูถูกเหยียดหยาม
ความกำแหงอวดอวดดีของจอมยุทธ์ หนิงจ้งซานก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขาเชื่อมั่นในพลังของตนว่าสามารถเอาชนะหลี่มู่ได้
ถึงอย่างไร หลี่มู่ก็แค่เศษสวะด้านวิถียุทธ์ที่แม้แต่กำลังภายในก็ฝึกฝนออกมาไม่ได้
แต่ตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและไร้กำลังอยู่ลึกๆ
เขากระทั่งยังตั้งสติไม่ได้ ตกลงแล้วเมื่อครู่ตนถูกลากออกมาท่ามกลางการป้องกันแน่นหนาจากทหารเกราะดำได้อย่างไร เสี้ยวเวลานั้น แม้แต่เวลาที่จะให้ตั้งตัวก็ไม่มี…
สวรรค์ นี่มันเป็นพลังแบบไหนกัน
เหงื่อเย็นชื้นไหลออกมาทันที
“หลี่มู่…ไม่ๆๆ ใต้เท้าหลี่ อย่าได้วู่วามไป ท่านปล่อยข้าเสีย ข้าคือนายตรวจการที่ทางการจักรวรรดิแต่งตั้งมาเชียวนะ…”
“ใต้เท้าหลี่ ระหว่างพวกเราอาจมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่าง ท่านปล่อยข้า แล้วค่อยๆ พูดจากัน…”
“ข้า…ข้าทำตามคำสั่งของอาจารย์เจิ้ง เป็นอาจารย์เจิ้งแห่งเมืองฉางอันคนนั้น ต่อให้ท่านแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ท่านกล้าเป็นศัตรูของเขาเชียวรึ?”
“หระ…หรือท่านไม่อยากจะเป็นขุนนางเมืองของอำเภอนี้ต่อไปแล้ว? ท่าน…”
ภายใต้การจับจ้องจากสายตามากมาย หนิงจ้งซานหวาดหวั่นและอัปยศอดสู แต่ก็ยังแก้ตัวอย่างกระอักกระอ่วน
ส่วนหลี่มู่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สีหน้าเย็นชานิ่งสงบ มองหนิงจ้งซานเหมือนดูตัวตลกกำลังแสดงอยู่
สายตาแบบนั้นยิ่งทำให้หนิงจ้งซานยิ่งรู้สึกอัปยศมากยิ่งขึ้น
ในใจเขามีความคิดผุดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน พยายามใช้เหตุผลต่างๆ ลองพูดให้หลี่มู่ปล่อยตน
ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นบีบคอช่างน่ากลัวเสียจริงๆ พลังกดดันมหาศาลนั่นทำให้เขาไม่สงสัยเลยว่า แค่อีกฝ่ายบิดข้อมือน้อยๆ หัวของตนก็จะร่วงลงพื้นประหนึ่งแตงโมที่สุกดีแล้วอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้แม้แต่ฝันเขาก็ไม่เคยฝันถึง ว่าตัวเองจะใช้ท่าทางอัปยศน่าสงสารเช่นนี้มาอ้อนวอนหลี่มู่
นี่มันบ้าไปแล้ว ตนมาจับหลี่มู่ชัดๆ
ตอนนี้สถานการณ์กลับกันเสียอย่างนั้น
“หลี่มู่ อย่างไรพลังของท่านเพียงคนเดียวก็มีข้อจำกัด ท่านทำผิดมหันต์แล้ว…ปล่อยข้า ข้าช่วยท่านขอความเมตตาจากอาจารย์เจิ้งได้ บุคคลสูงส่งที่มาจากเมืองฉางอันไม่ใช่คนที่ขุนนางเมืองเล็กๆ เช่นท่านจะต่อกรได้ ท่าน…”
หนิงจ้งซานเอ่ยอย่างอดสู
ในที่สุดหลี่มู่ที่เงียบนิ่งมานานก็เอ่ยปาก
“พูดจาไร้สาระมากความ”
แค่ประโยคง่ายๆ ประโยคเดียวเท่านั้น
กล่าวจบหลี่มู่ก็เหวี่ยงหนิงจ้งซานลงบนพื้นเหมือนสะบัดโคลน
ตูม!
ฝุ่นฟุ้งตลบ
พื้นดินเกิดเป็นหลุมรูปคน
หนิงจ้งซานอ้าปากกระอักเลือด นอนอยู่ในหลุมนั้น แขนขาก็กระตุกเกร็ง กำลังภายในในร่างสลายไปสิ้นจากการโดนเหวี่ยงนี้ อีกทั้งยากที่จะขับเคลื่อนแม้เพียงเศษเสี้ยว เขาเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่รู้ว่ากระดูกหักไปต่อกี่ท่อน ได้แต่นอนตัวอ่อนไปบนพื้น ไร้สิ้นเรี่ยวแรง
รอบด้านเงียบสงัด
“หลี่มู่คนสามหาว เจ้ากล้า…” รองนายพลคนหนึ่งตั้งสติขึ้นมาได้ จึงตวาดอย่างโมโห
เสียงตวาดยังไม่ทันสิ้นสุดดี
ผัวะ!
เงาคนกะพริบวูบ
รองนายพลคนนี้หายไปจากที่เดิม
ร่างของเขาพุ่งขึ้นฟ้า หมุนเป็นท่าต่างๆ อย่างอิสระแทบครบทุกองศาในอากาศ หมุนไปพลางสาดเลือดออกมาอย่างสวยงาม จากนั้นก็ร่วงลงพื้นอย่างแรง แขนขากระตุกเกร็งเช่นกัน
ร่างของหลี่มู่มาปรากฏอยู่ตรงที่รองนายพลคนนั้นยืนอยู่ก่อนหน้านี้
“สอดปากอะไร”
เขาเก็บฝ่ามือกลับมาช้าๆ
“ท่าทาง ก่อนหน้านี้ข้าคงจะเมตตาเกินไป ทำให้แมวหมาที่ไหนไม่รู้มารังแกถึงที่ กล้าลงมือกับคนของข้าได้…” ท่าทางพูดกับตัวเองของหลี่มู่ ทำให้คนรอบๆ ล้วนสัมผัสได้ถึงพลังกดดันอันน่ากลัวที่ทำให้หายใจลำบาก ราวกับเทพแห่งความตายมาเยือน
ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดของเขา
รองนายพลอีกคนหนึ่งยืนอยู่ห่างจากหลี่มู่แค่ก้าวเดียว
แต่กลับพูดไม่ออกแม้เพียงคำเดียว
ร่างของเขาแข็งทื่อ สั่นสะท้านน้อยๆ เหมือนจับไข้
แต่แท้ที่จริงแล้ว หลี่มู่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้มองเขาเลยแม้เพียงแวบเดียว
“ฟู่…ถึงเวลาที่จะให้บทเรียนกับคนบางคนแล้ว”
หลี่มู่พูดขึ้นอีก
เนื้อหาของคำพูดทำให้คนใจหวาดผวาเช่นเดียวกัน
“ลากมันไปที่ว่าการด้วย อย่าให้ตายง่ายๆ ล่ะ” หลี่มู่ชี้ไปยังหนิงจ้งซานที่นอนตัวอ่อนอยู่บนพื้น
คนคนนี้ต้องเก็บเอาไว้ให้หม่าจวินอู่จัดการ
แค้นของแขนที่ขาดไป แก้แค้นด้วยมือของตัวเองน่าจะยิ่งสะใจกว่า
หนิงจ้งซานดูเหมือนใกล้ตายแล้วเต็มที แต่ที่จริงอาการบาดเจ็บไม่สาหัสมาก แค่โดนเหวี่ยงจนมึนเท่านั้น
พลังฝึกของหลี่มู่ในตอนนี้เข้าใจ ‘ทลายฟ้า’ กระบวนท่าที่สามของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ อย่างถ่องแท้แล้ว การควบคุมพลังก็ถึงขั้นเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง การเหวี่ยงเมื่อครู่ก็แค่สะเทือนให้กำลังภายในของหนิงจ้งซานแตกซ่าน เอ็นกระดูกอ่อนเปลี้ย ทำให้เขาไม่อาจขัดขืนได้เท่านั้น ดูไปแล้วเหมือนสาหัส ทว่าแท้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ทางที่ดีควรจะอธิษฐานว่าอย่าให้หม่าจวินอู่เป็นอะไรไป”
หลี่มู่มองหนิงจ้งซานที่สีหน้าเคียดแค้นชั่วร้ายแวบหนึ่ง
กลิ่นอายที่อยู่ในน้ำเสียงทำให้ฝ่ายตรงข้ามราวอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ใบหน้าสิ้นหวังไปในทันที
น้องภรรยาของเจินเหมิ่งนำพัศดีที่ใจค่อนข้างกล้าสามสี่คนเอาโซ่ตรวนคล้องไว้ที่คอของหนิงจ้งซาน แล้วลากไปเสมือนลากสุนัขตาย
หลี่มู่เดินไปยังทหารชุดเกราะสีดำทีละก้าวๆ
“ยังไม่ถอยไปอีก?”
สายตาของเขากวาดไปยังทหารพวกนี้
เคร้ง แกร๊ง!
ทหารถือหอกคนหนึ่งถูกสายตาหลี่มู่มองมา ก็ราวกับหน้าอกถูกกระบี่แทงทะลุ ความหวาดกลัวตลบกระจายในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาตกใจจนมืออ่อน แม้แต่หอกยาวในมือก็ถือเอาไว้ไม่อยู่ร่วงลงไปบนพื้น
“ว้าก…” เขายากจะควบคุมความหวาดกลัวในใจ กรีดร้องเสียงแหลมแล้วหมุนตัววิ่งจากไป
เพียงชั่วพริบตา กองกำลังทหารพ่ายแพ้ราวขุนเขาพังทลาย
ขบวนแถวของทหารเกราะดำวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ ต่างเหยียบกันและกัน ไม่มีรัศมีของกองกำลังดุจขุนเขาเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แล้ว
“ไปที่ว่าการอำเภอ ไปเจออาจารย์เจิ้งบ้าบออะไรนั่นสักหน่อย”
หลี่มู่พูด
……………………………………………………