จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 144 ความต้องการของข้านั้นง่ายมาก
จางชุยเสวี่ยเพิ่งพูดไปว่ารอยหลุมนี้ไม่มีทางเป็นพลังของคนใช้หมัดซัดออกมา แต่ตอนนี้คำพูดของผู้อาวุโสทั้งสามตบหน้าเขาอย่างแรง
“ยอดปรมาจารย์ทำไมจึงเป็นศัตรูกับเราโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์?” จางเฉิงเฟิงฝืนสะกดความตื่นตะลึงในใจ และถามขึ้น “จำนวนยอดปรมาจารย์ในเมืองฉางอันมีเพียงแค่หยิบมือเดียว ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่มีชื่อเสียงมาหลายสิบปี พวกเจ้าดูชัดแล้วหรือยังว่าเป็นยอดปรมาจารย์ท่านใด”
“คือว่า…” ผู้อาวุโสหลู่กล่าวด้วยสีหน้าลังเลและกระอักกระอ่วน “พวกข้าไม่ทันได้มองให้ชัด เพิ่งจะประมือกัน เพียงหมัดเดียวของฝ่ายตรงข้ามก็โจมตีพวกเรากระเด็น เขาวงกตถล่ม ฝุ่นควันฟุ้งตลบ แม้แต่หน้าตาของฝ่ายตรงข้ามพวกเราก็มองไม่เห็น แต่ว่าเขาน่าจะมาช่วยคน ในเตาเผาในอุโมงค์เขาวงกตเหมือนจะมีสหายของเขาอยู่”
จางเฉิงเฟิงสูดลมหายใจเย็น
เตาเผาในอุโมงค์ ที่นั่นล้วนเป็นศพที่เอาไว้ทรมานสังหารเพื่อฝึกกระบี่ หากวันนี้ยอดปรมาจารย์ที่บุกเข้ามามีสหายอยู่ในเตาเผาอุโมงค์ใต้ดินจริงๆ เช่นนั้นเกรงว่าคงตายสนิทไปแล้วแน่นอน ไม่มีทางพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกแล้ว นี่เป็นความแค้นที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
ความโกรธแค้นของขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง คิดแล้วก็ราวกับขุนเขากดทับ ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงมีชื่อเสียงในเมืองฉางอันมายี่สิบปี ชื่อเสียงบารมีกว้างไกล พลังล้ำลึกเกินหยั่งถึง มากพอที่จะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของรายชื่อยอดฝีมือในฉางอัน แต่หลายปีมานี้ติดอยู่ขั้นสุดท้ายที่ขั้นปรมาจารย์สูงสุด เหลือเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาหนทางทำลายข้อติดขัดสุดท้ายนั่นไม่ได้เสียที
“ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้?” หัวหน้าโรงฝึกน้อยจางชุยเสวี่ยสายตาเย็นชา ตวาดขึ้นอย่างโมโห “นี่มันจะไม่เข้าท่าไปกันใหญ่แล้ว กล้าจับญาติมิตรของยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์มาฝึกกระบี่ เป็นใครที่ใจกล้าขนาดนี้? นี่ไม่ใช่ว่าสร้างศัตรูให้กับโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์แล้วรึ?”
ผู้อาวุโสหลู่พูดประจบ “หัวหน้าโรงฝึกน้อย นี่อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้”
“เข้าใจผิด?” จางชุยเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองได้โอกาสแสดงสติปัญญาอันปราดเปรื่องของตน และสร้างบารมีต่อหน้าคนอื่นแล้ว จึงหัวเราะเสียงเย็น บอกว่า “ไม่แน่กระมัง ข้าว่าบางทีอาจจะมีคนตั้งใจทำแบบนี้เพื่อนำหายนะเข้ามาให้โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ หรืออาจเป็นการกระทำของหนอนบ่อนไส้ที่โรงฝึกยุทธ์พลังพายุส่งเข้ามา?” โรงฝึกยุทธ์พลังพายุเป็นศัตรูคู่อาฆาตของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ หลายปีมานี้ทั้งสองโรงฝึกสู้กันทั้งต่อหน้าทั้งลับหลัง แย่งชิงทรัพยากร แย่งชิงลูกศิษย์รุ่นใหม่และชื่อเสียง ก่อเป็นความอาฆาตแค้น
ผู้อาวุโสหลู่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
นี่มันคือคำพูดยุยงชัดๆ
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน แต่ว่าสายตาที่มองจางชุยเสวี่ยกลับแฝงความดูถูก นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะใช้คำพูดแบบนี้มาสั่นคลอนขวัญกำลังใจทหารอีก ยอดปรมาจารย์ท่านนั้นในเขาวงกตใต้ดินอยู่ในอารมณ์โมโห น่ากลัวเป็นที่สุด มีฐานะเป็นหัวหน้าโรงฝึกน้อยแต่กลับสร้างเรื่องและความวุ่นวายภายในที่นี่ ช่างโง่งมจริงๆ
สีหน้าของจางเฉิงเฟิงผู้เป็นหัวหน้าโรงฝึกเคร่งเครียด
เขาอ้าปากคิดจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังมาจากหลุมรอยหมัดนั่น
จะออกมาแล้ว!
ศัตรูใกล้จะออกมาแล้ว
“ถอย…” ครูฝึกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ตะโกนให้ลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ ถอยไปข้างหลัง
กลุ่มลูกศิษย์ต่างถอยหลังไปทันที เว้นที่ว่างบริเวณกว้างไว้รอบๆ หลุม
ในหลุมเหมือนมีเสียงฝีเท้าดังออกมา
ใจของทุกคนเต้นอย่างบ้าคลั่ง
เพราะผู้ที่จะปรากฏตัวขึ้นคือยอดปรมาจารย์เชียวนะ แทบจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ในเมืองฉางอันอยู่แล้ว สำหรับความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ พวกเขาที่เป็นคนฝึกวรยุทธ์ก็ได้ยินมาไม่รู้ต่อกี่รอบ จนหูแทบจะด้านอยู่แล้ว ในใจของพวกเขา ขั้นยอดปรมาจารย์คือตัวแทนของความแข็งแกร่ง ความลึกลับ ความน่ากลัว ความสยดสยอง และไร้พ่าย!
ชายใจกล้าโมโห เลือดสาดกระเซ็นในระยะห้าก้าว
ยอดปรมาจารย์โมโห เลือดไหลนองพันลี้
ร่างหนึ่งบินออกมาจากหลุมแห่งนี้ภายใต้การจับจ้องจากสายตานับไม่ถ้วน
เสือดาวเบญจมาศตัวเท่าม้าหนุ่มที่ตามอยู่ข้างหลังแบกสตรีเอาไว้สองคน หนึ่งในนั้นมีเสื้อคลุมเอาไว้ เหมือนว่าจะตายไปแล้ว
สายตาของทุกคนหยุดอยู่ที่ร่างซึ่งปรากฏออกมาทีแรกร่างนั้น
คนผู้นั้นเป็นแค่เด็กหนุ่ม สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดา ดูท่าทางแปลกๆ เท่านั้น ผมสั้นเหมือนพระแต่ไม่มีแต้มปวารณา[1] ดังนั้นจึงไม่น่าใช่
หน้าตาของเด็กหนุ่มไม่นับว่างามสง่าอะไร แต่เครื่องหน้าคมคาย จมูกปากได้รูป หน้าผากกว้างนูนแก้มอิ่มเอิบ ผิวขาวดุจหยก สิ่งที่มีเอกลักษณ์ที่สุดคือคิ้วและตาของเขา คิ้วราวดาบเหล็กกล้าคมกริบพาดไปทางจอนหู องอาจทรงอำนาจ ส่วนดวงตาทั้งโตและมีชีวิตชีวา ราวกับตาน้ำพุที่ลึกไม่เห็นก้น ในความใสกระจ่างแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลมที่ยากจะสัมผัสได้
“เป็นมัน?”
ใจของจางชุยเสวี่ยเต้นบ้าคลั่งอย่างควบคุมไม่ได้ทันที
เป็นมันได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้
หัวใจของเขาแทบจะเต้นทะลุออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
เหงื่อเย็นชื้นไหลซึมออกมาจากหน้าผากและแผ่นหลังของเขา
เพราะเขารู้แล้วว่าทำไมหลี่มู่จึงมาปรากฏตัวขึ้นในโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์…จะต้องเป็นเพราะนังแพศยาชิวอี้นั่นแน่ๆ สมควรตาย กับแค่ลูกที่ถูกทอดทิ้ง ขุนนางเมืองที่ตำแหน่งขุนนางเล็กจ้อยเท่านั้น แต่กลับเป็นสุดยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้? เขาไม่อยากยอมรับ แต่เห็นชัดๆ ว่าอาการบาดเจ็บของพวกผู้อาวุโสหลู่ขั้นปรมาจารย์ทั้งสามเป็นของจริง รอยหมัดที่ซัดออกมาเป็นทางในหมัดเดียวเป็นของจริง…จางชุยเสวี่ยตระหนักได้ว่าปัญหาของตัวเองใหญ่ยิ่งแล้ว
เขาปลีกตัวไปข้างหลังฝูงชนอย่างเงียบงัน
‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของลูกชาย
เขาเห็นหน้าตาของหลี่มู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย เพราะเขาพบว่าก่อนหน้านี้ตนไม่เคยพบคนคนนี้ ผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ในเมืองฉางอันมีเพียงแค่กระหยิบมือ โดยพื้นฐานแล้วเขารู้จักทั้งหมด แต่กลับไม่เคยเจอเด็กหนุ่มคนนี้เลย หรือว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์ที่มาจากต่างถิ่น?
สำหรับหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างมากของหลี่มู่ จางเฉิงเฟิงไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก
เพราะเมื่อฝึกฝนถึงขั้นยอดปรมาจารย์ ชีวิตจะยกระดับขึ้น อายุขัยเพิ่ม ต้านทานโรคภัยต่างๆ ได้ ร่างกายมีชีวิตชีวา ต่อให้อายุห้าสิบหกสิบปี ดูผิวเผินแล้วก็แค่สามสิบกว่าๆ เท่านั้น อีกทั้งกำลังภายในของยอดปรมาจารย์มากมายมหาศาล สามารถฝึกฝนวิชาดูแลรักษาสุขภาพบางอย่าง กระทั่งคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้ ดังนั้นดูอายุน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ข้าน้อยจางเฉิงเฟิงหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ไม่ทราบว่าท่านเดินทางมาเยือน โปรดอภัยด้วย” จางเฉิงเฟิงก้าวขึ้นไปสองก้าว ก้มตัวลงต่ำ ประสานมือพูดขึ้น “ท่านเป็นใครผู้ใดกัน? โมโหกรุ่นโกรธถึงเพียงนี้ โรงฝึกยุทธ์ของข้าทำผิดอะไรไปหรือไม่ ในนั้นเกรงว่าจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น “หัวหน้าโรงฝึก? หึๆ…ให้ลูกชายของเจ้าออกมาพูด”
“หา?” จางเฉิงเฟิงอึ้งไปอีกครั้ง จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สู้ดีเลาๆ หรือเจ้าลูกเวรจะไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยข้างนอก? เขาคิดในใจ แต่สีหน้าท่าทางเรียบเฉย “ขอท่านโปรดใจเย็นก่อน ไม่ทราบว่าลูกชายของข้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำทำอะไรผิด? ข้ายินดีขอโทษท่านแทนเขา”
“ฮ่าๆๆ จางเฉิงเฟิง อย่าพูดจาให้มากความ จางชุยเสวี่ยอยู่ที่ไหน? ให้มันไสหัวออกมา เมื่อคืนมันทำอะไรไว้ ใจของมันย่อมรู้ดี” หลี่มู่ขี้เกียจพูดไร้สาระอยู่ที่นี่ ตวาดขึ้นมา “ขอโทษน่ะไม่จำเป็น เสแสร้งแกล้งทำไม่มีความหมายอะไร เอาชีวิตชดใช้ชีวิตก็พอ”
เขาต้องรีบกลับไปสร้างเครื่องรางเต๋าให้วิญญาณชิวอี้สิงสถิต ‘คาถาเรียกวิญญาณ’ ถึงแม้จะนำสามจิตเจ็ดวิญญาณกลับคืนมาได้ แต่ไม่อาจคงอยู่ได้นาน ร่างของชิวอี้ไม่อาจรักษาวิญญาณของนางไว้ได้ตลอดไป ทั้งยังเย็นชืดแล้ว
“นี่…” จางเฉิงเฟิงโมโห เขากำแหงอยู่ในเมืองฉางอันมาหลายปีขนาดนี้ มีใครกล้าตำหนิเขาต่อหน้าลูกศิษย์ของโรงฝึกแบบนี้ที่ไหนกัน? แต่เมื่อคิดได้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์ เขาก็ต้องฝืนระงับความโมโหในใจไว้ แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ขอท่านอย่าได้วู่วาม ข้าไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน? ตามที่ข้ารู้มา ลูกชายของข้าหลายวันมานี้ไม่ได้ทำผิดอะไร เมื่อคืนเขาก็ฝึกกระบี่ในโรงฝึกตลอด…”
จิตสังหารในดวงตาของหลี่มู่หมุนวน “หึ เทือกเถาเหล่ากอเดียวกันชัดๆ เห็นทีข้าต้องสังหารล้างบางแล้ว”
พลังจิตวิญญาณของเขายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง ประสาทสัมผัสว่องไว ตอนนี้เจอจางชุยเสวี่ยที่ซ่อนตัวเองอยู่ในฝูงชนก็ไม่พูดให้มากความ ลงมือไปทันที ร่างขยับกะพริบวูบไหวราวอัสนีบาต วิชาตัวเบาสำแดงจนถึงขีดสุด หายไปจากที่เดิมและก็กลับมาใหม่ เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นก็หิ้วจางชุยเสวี่ยมาไว้ในมือ
“ไม่ๆๆ ท่านพ่อ ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย…” จางชุยเสวี่ยที่เรียกตัวเองว่า ‘จอมกระบี่ไร้พ่าย’ ราวกับลูกเจี๊ยบรอเชือดก็ไม่ปาน ตัวสั่นงันงก แหกปากสุดเสียง “ช่วยข้า ไม่นะ อย่าฆ่าข้า อย่า!”
เขากลัวจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว
จางเฉิงเฟิงใจสั่นสะท้าน
ฝ่ายตรงข้ามลงมือ เขากลับต้านทานไม่ทัน เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ลูกชายก็ถูกจับเอาไว้แล้ว
“ท่านได้โปรดยั้งมือด้วย…” จางเฉิงเฟิงตกใจ รีบอ้อนวอน “มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถอะ อย่าวู่วามเลย…จะต้องเข้าใจผิดแน่ๆ บุตรของข้าจิตใจบริสุทธิ์ เมตตากรุณา บางทีอาจจะถูกคนหลอกใช้ก็เป็นได้…แม้เขาจะสมควรตาย แต่ก็ควรเจรจากันให้เข้าใจ”
“เหอะๆ วู่วาม?” หลี่มู่บีบคอของจางชุยเสวี่ยไว้ด้วยมือเดียว ยกเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่คือเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา เมตตากรุณา? จิตใจบริสุทธิ์? ฮ่าๆๆ หัวหน้าโรงฝึกจาง เรื่องตลกของเจ้ามันไม่ตลกเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าให้มันเล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย มันคือหลี่มู่ มันคือหลี่มู่…ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อ” จางชุยเสวี่ยดิ้นรนและตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง
“อะไรนะ?” จางเฉิงเฟิงได้ยิน หัวใจก็สั่นสะท้าน เข้าใจอะไรในทันที
เมื่อวานบุตรชายใช้คนกระบี่ฝึกก็เป็นเรื่องที่เขาเห็นดีด้วย ทั้งยังชมเชยว่ามีความกล้าหาญ มีพัฒนาการ…แต่ลูกชายไม่ได้บอกว่าหลี่มู่เป็นสุดยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์ คราวนี้แย่แล้ว สังหารคนของเขาไป ไม่มีหนทางพลิกสถานการณ์กลับมาได้เลย
“ขุนนางเมืองหลี่มู่ มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน…เรื่องนี้เป็นพวกเราผิดเอง แต่ว่าก็แค่สาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น ไยต้องมาผิดใจกันด้วย โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์อยู่ในเมืองฉางอันก็นับว่าพอจะมีกำลังอยู่บ้าง” จางเฉิงเฟิงกัดฟันเอ่ย “เช่นนี้แล้วกัน ขุนนางเมืองหลี่บอกความต้องการมา ข้ารับปากแน่นอน ให้ชดใช้อะไรก็ได้”
“หืม ชดใช้อะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?” หลี่มู่ถาม
“ใช่แล้ว ในเมื่อทำผิดก็ควรจะรับผิดชอบ ขุนนางเมืองหลี่บอกข้อเรียกร้องมาเถิด” จางเฉิงเฟิงคาดหวังไว้ ขอแค่ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปาก ทุกอย่างก็คุยกันง่ายแล้ว “ไม่ว่าจะเป็นเงินทองของล้ำค่า ตำราลับวิชายุทธ์ หรือว่าจะเป็นของล้ำค่า…”
“ไม่ต้องมากขนาดนั้น” หลี่มู่ตัดบท “ข้าไม่ใช่คนใจละโมบ ความต้องของข้านั้นง่ายมาก แค่ฆาตกรต้องตาย ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตก็เท่านั้น”
พูดจบ ข้อมือของเขาขยับบิด
กร๊อบ
คอของจางชุยเสวี่ยถูกหักเรียบร้อย
…………………………………………………
[1] แต้มปวารณา คือจุดบนศีรษะของหลวงจีนที่เกิดจากการใช้ธูปจี้ เพื่อบ่งบอกว่าคนผู้นั้นเป็นพระภิกษุ โดยเณรจะจี้ 6 จุด ภิกษุทั่วไป 8 จุด เจ้าอาวาส 12 จุด ยิ่งพรรษามากจุดยิ่งมาก