จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 154 แต่งกลอน
มารดามันสิ!
อยู่เฉยๆ ก็เป็นเป้าความแค้นโดนถากถางแบบนี้?
หลี่มู่รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็งานงอกซะอย่างนั้น ไม่ได้พูดว่าตัวเองมีความสามารถไร้ใครเทียมเองเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวขี้ประจบเจิ้งฉุนเจี้ยนต่างหาก…อีกทั้งต่อให้พูดเอง แล้วไปเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าด้วย จำเป็นต้องมาถากถางกันแบบนี้ด้วยหรือ?
เสี้ยวขณะนั้น หลี่มู่อยากจะซัดไปสักที แต่คิดๆ ดูแล้วช่างมันดีกว่า วันนี้มาเที่ยวซ่อ…อ้อ ไม่ใช่ มาดูหญิงงาม ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
เจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ หรี่ตาลง
ในเมืองฉางอัน คนที่กล้าเยาะหยันเขาใช่ว่าไม่มี แต่ไม่ใช่คนเหล่านี้ที่อยู่โต๊ะข้างๆ แน่นอน
แต่ว่าหลี่มู่ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาก็ทำข้ามหน้าข้ามตาได้ไม่สะดวก ทว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนจำหน้าตาของคนพวกนี้เอาไว้หมดแล้ว รอให้เรื่องวันนี้จบก่อน เขาค่อยคิดบัญชีกับพวกไม่มีตาที่ทำให้เขาตบก้นม้าพลาดไปถึงกีบม้าแทน[1] ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ สมญานามนี้ไม่ได้มีเอาไว้เรียกเฉยๆ
ส่วนชายหนุ่มห้าหกคนเห็นหลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนไม่โต้แย้งอะไร ก็ยิ่งกำเริบเสิบสานหนักข้อขึ้น
“ฮ่าๆ นับว่าเจ้าเจียมตัว ไม่โต้แย้งทำให้ตัวเองอับอาย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างข้าคือใคร?” บัณฑิตรูปร่างอ้วนเตี้ยเหมือนฟักลูกป้อมๆ คนหนึ่งแค่นเสียงหยันถาม “ข้างกายข้าผู้นี้คือหัวหน้าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ นี่สิถึงจะเป็นผู้มีความสามารถไร้ใครเทียมของจริง สอบเข้ารับราชการของจักรวรรดิปีนี้จะต้องสอบได้จิ้นซื่อแน่นอน ฮี่ๆ หน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายแห่งนี้ มีใครไม่รู้จักชื่อของศิษย์พี่หลินชิวสุ่ยบ้าง?”
คนพูดแรกสุดที่ใบหน้าขาวสะอาด สวมชุดแพรห้อยหยกประดับคนนั้น ครั้นได้ยินคำก็เงยหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ราวกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเขาคือหัวหน้าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์
ชายหนุ่มอื่นๆ สี่ห้าคนที่นั่งร่วมโต๊ะสวมชุดเหมือนกับเจ้าลูกฟักกลมป้อม ดูแล้วน่าจะเป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ที่ว่า
เจิ้งฉุนเจี้ยนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์อยู่ในบริเวณฉางอันก็นับว่ามีอำนาจอยู่มาก เคยผลิตขุนนางตระกูลใหญ่และจูโหว[2]ท้องถิ่นบางส่วน อีกทั้งสำนักบัณฑิตของโลกนี้ไม่ได้ร่ำเรียนตามตำราและศิลปวิทยาทั้งหก[3]เท่านั้น แต่บัณฑิตจะได้ฝึกฝนการต่อสู้ด้วย ลูกศิษย์ชั้นยอดที่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์สั่งสอนออกมา พูดได้ว่าเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ว่า เรื่องพวกนี้เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่
เขาจะจัดการใครสักคนมีวิธีมากมาย ถึงตอนนั้นบัณฑิตห้าหกคนนี้นอนตายในแอ่งน้ำเน่า ก็ไม่มีใครรู้ว่าตายอย่างไร
ไม่นานนัก ข้างๆ อีกทางหนึ่งก็มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังมา มีคนพูดอย่างชั่วร้ายว่า “หึๆ สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์วิเศษนักหรือ? จักรวรรดิเปิดสอบเคอจวี่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์สอบติดกี่คน? มีมากกว่าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์หรือไม่?”
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือของหลี่มู่ก็เป็นบัณฑิตหนุ่มหกเจ็ดคนเช่นกัน คนพูดเป็นบัณฑิตรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งในนั้น หน้าตาคล้ำดำ จมูกงุ้ม คิ้วดาบ หรี่ตาลงด้วยความเคยชิน มีกลิ่นอายชั่วร้ายบางอย่าง ดูจากการแต่งกายน่าจะมาจากสำนักบัณฑิตอีกแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็นสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ที่เขาว่า
หลินชิวสุ่ยได้ยินดังนั้นก็ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “อันดับรายชื่อที่สอบติด กล้าสู้กับสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ของข้าหรือไม่ หลิวมู่หยาง งานประชุมกลอนเมื่อครั้งที่แล้ว เจ้าแพ้ราบคาบให้กับข้า ยังจะกล้าพูดจาไร้มารยาทอีก?”
บัณฑิตจมูกงุ้มหน้าคล้ำดำรวบพัดในมือและผุดลุกขึ้นเช่นกัน พูดเสียงเย็นชาว่า “ครั้งที่แล้วเป็นเพราะเจ้ารู้หัวข้อของกลอน เตรียมตัวมาก่อน ข้าไม่ทันสังเกตจึงพลาดพลั้ง คืนนี้งานประชุมกลอนวันเผยตัวของแม่นางฮวา ข้าจะต้องเหยียบเจ้าเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าข้าแน่”
“อย่างนั้นรึ? เจ้าคนแซ่หลิว กลัวแต่ว่าเจ้าจะไม่มีปัญญาน่ะสิ” บัณฑิตอ้วนเตี้ยฝั่งสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ผสมโรงทันที
คนของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ฝั่งนี้ก็ไม่ทนแล้วเช่นกัน ต่างผุดลุกขึ้นเปิดสงครามน้ำลาย
โถงใหญ่ชั้นหนึ่งหอสดับเซียนที่แต่เดิมคึกคักครึกครื้น ก็ยิ่งเอะอะโหวกเหวกขึ้นทันใด
สงครามน้ำลายของกลุ่มบัณฑิตทั้งสองดึงดูดสายตาของคนไม่น้อย ผู้ดูแลที่คอยดูความเป็นระเบียบเรียบร้อยรีบร้อนมาเกลี้ยกล่อม
หลี่มู่เห็นแล้วอดหัวเราะเงียบๆ ไม่ได้
นี่ก็คือบัณฑิตของจักรวรรดิฉินตะวันตก อ้าปากด่ากันอย่างไม่เสียดายชื่อเสียงในหอนางโลม วันข้างหน้าจักรวรรดิยังฝากความหวังให้คนพวกนี้ไปเป็นขุนนางคอยดูแลประชาชน?
หลิวมู่หยางแห่งสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เห็นรอยยิ้มของหลี่มู่ ก็แค่นเสียงเย็นถามว่า “ไอ้หนู เจ้าหัวเราะอะไร? เมื่อครู่โดนคนด่ายังไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่แอะเดียว ยังมีหน้าหัวเราะอยู่ที่นี่อีก? ช่างโง่เง่าไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว วันหน้าวันหลังจงอย่าไม่ได้เรื่องเหมือนคนขี้ขลาด โดนคนด่าก็ไม่กล้าโต้กลับเช่นนี้”
“ให้คนอย่างหลินชิวสุ่ยด่าเอาจนไม่กล้าเงยหน้า ช่างน่าสงสารจริงๆ”
“ช่างเถอะ อย่าว่าเขาเลย ก็แค่คนตัวเล็กๆ ไม่รู้จักหนักจักเบา ทุกท่าน พวกเราควรตั้งใจคิดกันก่อนดีกว่าว่าควรจะใช้ชิ้นงานอะไรเพื่อให้ได้รับความสนใจจากแม่นางฮวา”
“ใช่แล้วๆ”
สายตาของกลุ่มบัณฑิตที่มองหลี่มู่เต็มไปด้วยแววเหยียดหยาม
อะไรกันเนี่ย?
หลี่มู่งวยงงทันที
มารดามันสิ นี่ข้างานงอกขึ้นมาเฉยๆ ซะอย่างนั้น
แค่หัวเราะไปตามอารมณ์ก็โดนด่า ตกลงวันนี้ตอนออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์หรือไม่ได้ล้างหน้าหรือไร ถึงได้เอาหน้าชวนให้ผู้อื่นเหยียดหยามออกมาโดยไม่รู้ตัว?
เขากำลังจะอาละวาด จู่ๆ ก็มีเสียงปังดังขึ้น มีคนตบโต๊ะที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างแรง “ไอ้หนู ตรงนี้ไม่มีใครนั่งหรือ?” พูดแล้วก็ไม่รอให้พวกเขาตอบ นั่งลงทันที ทั้งยังเรียกสหายมาอีก “ตรงนี้ไม่มีใครนั่ง มานั่งตรงนี้ก็แล้วกัน”
พรึ่บ พรึ่บ
ข้างกายหลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยนมีเงาร่างห้าหกร่างเบียดมาทันที
โต๊ะเก้าอี้ในโถงใหญ่ของหอสดับเซียน โดยปกติแล้วหนึ่งโต๊ะนั่งได้ประมาณแปดคน แต่โต๊ะของหลี่มู่ค่อนข้างเล็ก เป็นหนึ่งในโต๊ะที่ตำแหน่งดีที่สุด ห้าหกคนนี้มานั่งด้วยก็เบียดเสียดทันใด ทำให้หมดอารมณ์โดยสิ้นเชิง
หลี่มู่เดิมทีโมโหมาก อารมณ์ฉุนเฉียวใกล้จะเก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าการแต่งกายของคนพวกนี้เป็นศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ อีกทั้งดูแล้วยังเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิในหัวกะทิ บนคนสวมเกราะอ่อนสีแดงเพลิง วัสดุล้ำค่าหายาก อีกทั้งหกคนนี้แต่ละคนพลังไม่น้อย เพียงแต่ดูจากท่าทางของพวกเขา กลับไม่รู้จักหลี่มู่ เห็นได้ชัดว่าที่หลี่มู่ถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์วันนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เมื่อรู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว แม้หลี่มู่อัดอั้นใจจะแย่ ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมา ทว่าไม่ได้แผลงฤทธิ์ นั่งต่อไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เจิ้งฉุนเจี้ยนไม่รู้ว่าหลี่มู่มีเจตนาอะไร ในความทรงจำของเขา ท่านผู้นี้ไม่เคยเป็นคนนิสัยดีไม่ยอมตอบโต้ จะต้องมีแผนอะไรแน่ๆ เขาจึงเก็บอารมณ์นั่งอยู่ข้างๆ เช่นกัน
บัณฑิตสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์และเขาเหมันต์สองโต๊ะที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพนี้แล้วก็หัวเราะลั่น ยิ่งเสียดสีถากถางหลี่มู่และเจิ้งฉุนเจี้ยน
ส่วนสายตาของแขกในโถงใหญ่คนอื่นๆ ที่มองมายังพวกเขาทั้งสองก็แฝงความสงสาร เห็นอกเห็นใจ เหยียดหยาม และดูถูก ส่วนมากคิดว่าสองคนนี้เป็นบัณฑิตไส้แห้งหรือไม่ก็คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีอำนาจไม่มีพลัง คิดจะฉวยโอกาสสร้างชื่อเสียงในวันเผยตัวของแม่นางฮวาวันนี้
เรื่องแบบนี้ก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดขึ้น บัณฑิตไส้แห้งบางคนพยายามเค้นความคิดเตรียมบทกลอน คิดจะได้รับความชื่นชอบจากแม่นางฮวา เผื่อจะโด่งดังในชั่วข้ามคืน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงพูดกันว่าบัณฑิตหนุ่มกับนางคณิกาอันดับหนึ่งถูกกำหนดมาให้พัวพันกันเล่า ว่ากันว่าคุณชายเหวินจงปินแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก ตอนนั้นนางคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองฉินให้ความสำคัญกับเขา จากบัณฑิตยากจนจึงได้เริ่มเส้นทางฝืนชะตาอันเป็นตำนาน และวิธีการโด่งดังแบบนี้ก็มีบัณฑิตรุ่นหลังหลายคนเลียนแบบ แต่ผลลัพธ์กลับต่างกัน
และในวันนี้ ในโถงใหญ่มีบัณฑิตที่แต่งตัวธรรมดายืนอยู่ไม่น้อย กำลังเฝ้ารอช่วงเวลาเผยตัว
หนึ่งในนั้นมีสหายผู้หนึ่ง เสื้อผ้าเก่าขาดไม่ว่า แถมยังผมเผ้ารุงรัง หน้าตามอมแมม ดวงตาเป็นประกายจ้องไปยังทิศทางหนึ่งของชั้นสาม ราวกับหมาไนกำลังจ้องเหยื่อ ท่าทางอดรนทนไม่ไหวแล้ว
ในที่สุดการแสดงก็จบลง มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนต่างรอคอยในคืนนี้…
เวลาเผยตัวของแม่นางฮวาเสี่ยงหรงมาถึงแล้ว
ทั่วทั้งโถงใหญ่ไปจนถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ผู้คนแต่ละฝั่งต่างรอกันไม่ไหวแล้ว
แม่เล้าของหอสดับเซียนไป๋เซวียนออกมาพูดอะไรสักหน่อย จากนั้นก็ประกาศเริ่มวันเผยตัว สาวใช้ที่แต่งกายเลียนแบบบุรุษในชุดบัณฑิตสีเขียวอ่อนสิบคนเดินลงมาจากชั้นสาม มาถึงยังโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ก่อนเรียงแถวหน้ากระดาน เบื้องหน้าของสาวใช้ทุกคนมีโต๊ะตั้ง บนโต๊ะมีหมึกและเครื่องเขียนวางไว้
“วันนี้หัวข้อกวีของแม่นางฮวาคือ…อิสสตรี ทุกท่านใช้คำนี้เป็นหัวข้อ ตวัดบทกวีในใจเถิด”
ผู้ดูแลหน้าตางดงามที่ยืนอยู่หน้าบันไดชั้นสองกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในโถงใหญ่แตกตื่นฮือฮาทันที
บางคนใบหน้าฉายแววขมขื่นสิ้นหวัง เพราะกวีที่พวกเขาเตรียมมาอย่างยากลำบากและไปร้องขอจากทั่วสารทิศต่างกับหัวข้อที่ประกาศในคืนนี้ ท่าทางจะไม่มีหวังแล้ว ถึงฝืนแต่งกลอนพื้นๆ ดาษดื่นออกมาก็เอามาอวดไม่ได้ เอาออกมาจะถูกเยาะเย้ยเสียเปล่าๆ จึงได้แต่ถอดใจไป
“สมควรตายนัก สายข้างในไม่ได้บอกว่าหัวข้อคืนนี้คือชมจันทร์หรอกหรือ?”
“ข้ายังได้ยินมาว่าเป็นชมเหมย…”
“ไอ้พ่อเล้าจางคนสมควรตาย หลอกข้าไปสิบตำลึง น่าแค้นนัก ครั้งนี้หมดหวังแล้ว”
มีคนก่นด่าด้วยความโมโห
หลี่มู่เห็นภาพเบื้องหน้า ใจก็อดเกิดความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ต่อฮวาเสี่ยงหรงของหอสดับเซียนผู้นี้ไม่ได้
อิทธิพลของหญิงสาวผู้นี้มากนัก เหมือนกับดาราสาวซูเปอร์สตาร์บนโลกพวกนั้น ไม่สิ ดาราสาวพวกนั้นไม่มีเสน่ห์มากถึงขนาดนี้ ทุกเดือนจัดวันเผยตัวสามครั้ง เมื่อถึงวันเผยตัวก็ทำเอาบัณฑิตกับชนชั้นสูงครึ่งหนึ่งในเมืองฉางอันวุ่นวาย ซึ่งมองเห็นได้จากคนในโถงใหญ่พวกนี้ เหล่าชนชั้นสูงฐานะสูงส่งไม่เปิดเผยหน้าตาในห้องส่วนตัวชั้นสอง เกรงว่าคงเตรียมมามากยิ่งกว่า เรียกได้ว่าใช้เงินเป็นเบี้ยก็ไม่เกินไป
ไม่นานนักก็มีคนเดินขึ้นไป เขียนกลอนแบบนี้ขึ้น…
“อาณาจักรทางใต้มีโฉมสะคราญ หยาดเยิ้มปานดอกเถาหลี[4] อรุณรุ่งส่องคันฉ่อง ทิวาลับแต้มแต่งชาด โลกนี้รูปลักษณ์สำคัญยิ่ง ใจจริงใครเล่าจะหยิบยื่น? เวลาไหลเคลื่อนคล้อย ลาภยศสรรเสริญไม่จีรัง”
คนเขียนบทกวีคือสหายผู้ใส่เสื้อเก่าขาด ไม่สนใจแต่งเนื้อแต่งตัวที่หลี่มู่เห็นคนนั้น เขียนเสร็จก็หัวเราะลั่น โยนพู่กันลงพื้น ท่าทางเป็นอิสระราวกับว่าสำหรับเขาแล้วชื่อเสียงไม่ใช่สิ่งควรค่าให้ใส่ใจ
“บทกวีดีนัก” ในฝูงชนมีคนเอ่ยชมเชย
“เป็นบทกวีที่ดีจริงๆ ชื่อสถานที่ ชื่อคนประจวบเหมาะพอดี เนื้อความเป็นเอกลักษณ์”
“หึ ถึงบทกวีจะดี แต่อวดดีเกินไป แอบเสียดสีความงามของแม่นางฮวาไม่จีรัง จะได้รับเลือกได้อย่างไร?”
“คนอวดดี คิดจะใช้วิธีเล่นละครแสร้งไม่สนใจ ดึงดูดความสนใจจากแม่นางฮวาหรือ?”
รอบด้านต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
‘แฟนบอย’ ของฮวาเสี่ยงหรงพวกนี้ ไม่พอใจมากที่ชายอวดดีแอบเสียดสีแม่นางฮวาเสี่ยงหรงว่าใช้ความงามดึงดูดผู้คน บางคนวู่วามคิดจะซัดให้เต็มเหนี่ยว มีเพียงชายอวดดีที่หัวเราะลั่น ยืนอยู่ข้างหลังโต๊ะด้วยใบหน้าเหยียดหยามและเยาะเย้ย
หลี่มู่ส่ายหน้า
กลอนดีหรือไม่ยังไม่พูดถึง แต่สหายผู้นี้ช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ
เมื่อดูให้ละเอียด ขาของสหายผู้นี้จริงๆ แล้วกำลังสั่นอยู่ภายใต้ชุดคลุมตัวกว้าง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังแสดง ถึงแม้ทักษะการแสดงจะไม่เลว แต่ความกล้าน้อยมากเหลือเกิน
ชั่วขณะหนึ่งก็ได้ข้อสรุป ชั้นสามส่งข่าวลงมา ‘ฉือยอดพธู’ บทนี้ได้รับเลือก เข้าตาแม่นางฮวาเสี่ยงหรงเสียอย่างนั้น สาวใช้เป่ารอยหมึกบนนั้นจนแห้ง จากนั้นก็แขวนเอาไว้สูงบนชั้นสอง
นี่คือบทประพันธ์บทแรกที่เข้ารอบในคืนนี้
สหายที่ไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวผู้นั้นหัวเราะอย่างอวดดียิ่งขึ้น สาวใช้นำเขามานั่งยังโต๊ะกลมที่เตรียมเอาไว้นานแล้วข้างๆ เตรียมสุราชั้นเลิศและอาหารเลิศรสไว้คอยปรนนิบัติ
คนอื่นๆ เห็นแล้วอิจฉาริษยาทันที
……………………………………………………
[1] ตบก้นม้า หมายถึงประจบสอพลอ เลียแข้งเลียขา เนื่องจากจีนสมัยราชวงศ์หยวนเป็นชาวมองโกล จึงให้ความสำคัญกับม้ามาก ผู้คนเมื่อเจอหน้ากันมักจะลูบก้นม้า แล้วชมว่า ‘ม้าดี’ เพื่อให้เจ้าของม้าดีใจและได้หน้า ภายหลังไม่สนใจว่าม้าจะดีเหมือนอย่างที่พูดหรือไม่ ก็ยังชมว่า ‘ม้าดี’ อยู่ดี จึงถูกนำมาใช้ในความหมายนี้
[2] จูโหว บรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง เรียงลำดับจากตำแหน่งสูงไปต่ำคือ กง โหว ป๋อ จื่อ และหนาน
[3] ศิลปวิทยาทั้งหก ประกอบด้วย หลี่ (礼) วิธีปฏิบัติตนในสังคม เช่น มารยาท พิธีกรรม เล่อ (乐) การดนตรี เซ่อ (射) การยิงธนู อวี้ (御) การบังคับรถม้า ซู (书) หนังสือตำรา และซู่ (数) วิชาคำนวณ
[4] ดอกเถาหลี คือดอกท้อและดอกสาลี่