จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 181 ฐานที่มั่นหลักพรรคจันทราโลหิต
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น ยังไม่รีบพูดมาอีก?”
ผู้คุมกฎเฉียนพูดอย่างฉุนเฉียว
“นี่…” สายสืบคนนั้นคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะมาถึงหอสดับเซียนเร็วถึงเพียงนี้ ตอนนี้หวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน
เขารับผิดชอบรวบรวมข่าวที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ช่วงสุดท้ายของการประลอง หลี่มู่สังหารธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ในหมัดเดียว ทำให้เขาก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน หลังจากที่ยืนยันแน่ชัดแล้ว เขาก็เบียดออกจากฝูงชนแน่นขนัด เสียเวลาไปนิดหนึ่ง จากนั้นรีบวิ่งมาส่งข่าว แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก่อนเขาก้าวหนึ่ง
“พูดมา” ผู้คุมกฎเฉียนโมโหแล้ว
“ขอรับ รายงานผู้คุมกฎเฉียน ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ดับดิ้นแล้ว บนเวทีประลอง เป็นใต้เท้าหลี่มู่ที่ชนะ” เขาก้มหน้าลงเอ่ยอย่างลังเล ไม่กล้ามองหน้าผู้คุมกฎเฉียนแม้แต่นิด
“อะไรนะ?” ผู้คุมกฎเฉียนได้ยินดังนั้นก็ตะลึง สูดลมหายใจเข้า ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน ฝึกฝนพลังฟ้าประทานออกมาได้ส่วนหนึ่งหรอกรึ? ทำไมถึงตายได้…หรือว่าข่าวที่เจ้าส่งมาก่อนหน้านี้จะเป็นข่าวปลอม?”
สายสืบรีบตอบ “ไม่ใช่ขอรับๆๆ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ข้ามสู่ขั้นฟ้าประทานแล้วจริงๆ แต่…แต่ก็ยังสู้ใต้เท้าหลี่มู่ไม่ได้ หมัดเดียวสังหารคาที่ในชั่วพริบตา ข้า…” เขาพูดต่อไปไม่ได้แล้ว
ทว่าผู้คุมกฎเฉียนได้ฟังแล้ว หัวใจก็เต้นระรัวขึ้นมา
ซวยแล้ว
เขาหันไปมองหลี่มู่อย่างไม่รู้ตัว
ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแต่ก็ยังสู้จนตาย หนำซ้ำยังตายในพริบตาด้วยหมัดเดียว นี่ไม่ได้หมายความว่า…หลี่มู่มีกำลังรบขั้นฟ้าประทานตั้งนานแล้วหรอกหรือ? ก่อนหน้านี้มันซ่อนพลังของตัวเองไว้ แกล้งแสดงว่ามีระดับพลังแค่ขั้นยอดปรมาจารย์นี่เอง นี่มันช่าง…แผนสูงจริงๆ
ยอดปรมาจารย์กับฟ้าประทาน เป็นสองความหมายที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ผู้คุมกฎเฉียนเหงื่อเย็นชื้นแตกพลั่กทันที
“คือว่า…คุณชายหลี่…” เขาฉีกรอยยิ้มที่ดูย่ำแย่กว่าร้องไห้เสียอีกออกมา “วันนี้…เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าว่า…พวกเรา…” เข้าใจผิดบ้าบออะไร ตัวเขาเองก็ยังพูดต่อไปไม่ได้เช่นกัน คราวนี้ยุ่งเสียแล้ว เขากล้าลำพองต่อหน้ายอดปรมาจารย์ แต่หากเผชิญหน้ากับขั้นฟ้าประทาน นั่นคือตัวเองรนหาที่ตายชัดๆ
คำพูดของสายสืบ ทำเอาในหัวแม่เล้าไป๋ที่อยู่ข้างๆ มีเสียงดังวิ้งๆ
หลี่มู่สังหารขั้นฟ้าประทานในชั่วพริบตา?
นี่…ก็หมายความว่าเขาเป็นขั้นฟ้าประทานนานแล้ว?
สวรรค์ ขั้นฟ้าประทาน นั่นเป็นเสมือน…บุคคลในตำนานที่น่าเกรงขามเชียวนะ
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าฮวาเสี่ยงหรงโชคไม่เลว ได้รับความชื่นชอบจากยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้แม้แต่นางก็ยังยากจะข่มความรู้สึกอิจฉาริษยาในใจ ที่แท้ฮวาเสี่ยงหรงไม่ใช่ได้รับความโปรดปรานจากยอดปรมาจารย์ แต่เป็นขั้นฟ้าประทานทีเดียวเชียว ไป๋เซวียนเดินอยู่ในดินแดนแห่งกามา พูดได้ว่าได้พบขุนนางและผู้สูงศักดิ์จนชินชา นานแล้วที่จิตใจฝึกฝนมาจนแข็งแกร่งยิ่ง แต่ตอนนี้ นางเชื่อว่าขอแค่หลี่มู่กระดิกนิ้ว นางจะต้องควบคุมตัวเองไม่ได้แน่นอน อยากได้อะไรก็มาเอาไปเลย
หลี่มู่ตบบ่าฮวาเสี่ยงหรงเบาๆ เอ่ยปลอบประโลมว่า “ไม่เป็นไรแล้ว วางใจเถอะ มีข้าอยู่”
เขามองไปยังผู้คุมกฎเฉียนแล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าใช้มือข้างไหนลงมือกับแม่นางฮวา?”
ผู้คุมกฎเฉียนแน่นอนว่าเข้าใจความหมายของหลี่มู่ เหงื่อเย็นชื้นผุดออกมาทันที “ข้า…คือว่า…ใต้เท้าหลี่เมตตายั้งมือด้วย ข้า…”
“ในเมื่อไม่พูด เช่นนั้นก็ทิ้งไว้ที่นี่ทั้งสองข้างแล้วกัน” สีหน้าของหลี่มู่เย็นชา
“ไม่ๆๆ เป็นข้างนี้ เป็นข้างนี้…” ผู้คุมกฎเฉียนร้องบอกอย่างหวาดกลัว
หนึ่งหรือสอง ตัวเลือกนี้ง่ายดายยิ่ง
“ดี” หลี่มู่ตวัดมือ ดาบโค้งที่เอวของจอมยุทธ์หน้ากากเหลือบแดงลอยออกจากฝักมาอยู่ในมือของเขาเอง
ฉัวะ!
แสงดาบกะพริบวาบ
แขนขวาของผู้คุมกฎเฉียนขาดจากข้อศอกทันที
ดาบฟันลงมาเร็วมาก พลังปราณปิดปากแผลเอาไว้ กระดูกขาวโพลน แต่ไร้ซึ่งเลือด
“เอามือสกปรกของเจ้าไป ไสหัวไปซะ” หลี่มู่โยนมันออกไปตามอารมณ์ ดาบโค้งกลับเข้าไปอยู่ในฝักของจอมยุทธ์คนนั้น “ที่นี่คือห้องชาของแม่นางฮวา ข้าไม่อยากฆ่าคนที่นี่ แล้วก็ไม่อยากให้เลือดสกปรกของพวกเจ้าทำลายบรรยากาศของที่นี่เช่นกัน แต่ว่า หากกล้าทำเลือดหยดลงที่นี่แม้เพียงหยดเดียว พวกเจ้าก็อย่าได้คิดจะออกไปเลย”
“ขอรับ” ผู้คุมกฎเฉียนกัดฟัน เก็บแขนที่ขาดขึ้นมา แล้วใช้กำลังภายในปิดปากแผลเอาไว้ เลือดไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียวจริงๆ จากนั้นจึงหมุนตัวจากไปทันที
ส่วนจอมยุทธ์ทั้งสองคนและสายสืบเดินตามคอตกอยู่ข้างหลัง
ในห้องชากลับคืนสู่ความเงียบสงบเช่นเดิม
“เอาละ ตอนนี้ปล่อยข้าได้แล้วหรือยัง?” หลี่มู่หัวเราะกล่าว
ฮวาเสี่ยงหรงร้องอุทาน พวงแก้มแดงก่ำทันใด รีบร้อนคลายกอดออกจากแขนหลี่มู่ ท่าทางที่หญิงงามเขินอาย ดุจดั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้ชวนให้มีใจปฏิพัทธ์ งามเพริศพริ้งเป็นที่สุด เพียงพบพักตร์ก็รักเอ็นดู ทั้งบริสุทธ์ทั้งชวนหวั่นไหว ประหนึ่งบนหยกมันแพะฉาบแสงเรืองรองยามอาทิตย์ขึ้นเอาไว้
“คุณชาย ข้า…” หูของนางก็แดงไปด้วย อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินอยู่แล้ว
หลี่มู่หัวเราะเบาๆ “ศึกใหญ่ของข้าสองสามวันนี้จบลงแล้ว แรกสุดก็มาหาแม่นางฮวาทันที ข้าอยากดูระบำเซียนของแม่นางฮวา การดื่มชาเคล้าระบำเซียน ไม่ใช่เรื่องสุขสำราญในชีวิตมนุษย์หรอกหรือ ไม่ทราบว่าแม่นางจะช่วยให้สมปรารถนาได้หรือไม่”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว คุณชายโปรดรอสักครู่” ฮวาเสี่ยงหรงหนีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างลนลาน
ซินเอ๋อร์เบิกตาดำกลมโตมองหลี่มู่ ถามว่า “คุณชายเจ้าคะ ท่านเป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์หรืออย่างไร พอคุณหนูของข้าตกที่นั่งลำบากท่านก็มาเลย ท่านคงไม่ได้นับนิ้วพยากรณ์ได้หรอกกระมัง?”
นางกำลังจงใจชดเชยให้เรื่องที่นางไล่แขกเมื่อครั้งที่แล้ว
แม่นางน้อยช่างกังวลใจแทนคุณหนูของนางจริงๆ
หลี่มู่หัวเราะฮ่าๆ “ถูกเจ้าพบความลับที่ลับที่สุดของข้าเสียแล้ว ใช่ ข้าเป็นเทพเซียนที่มาจากสวรรค์จริงๆ นั่นแหละ ท่าทางข้าจะต้องฆ่าเจ้าปิดปากแล้ว…” พูดแล้วก็ทำท่าแยกเขี้ยวยิงฟัน
ซินเอ๋อร์แกล้งร้องเสียงดังอย่างเกินเหตุ
แม่เล้าไป๋เซวียนเห็นภาพนี้แล้วก็โล่งใจลงได้
คุณชายหลี่มู่ผู้นี้ลักษณะนิสัยเข้าถึงง่ายจริงๆ อย่าเห็นว่าเขาเย็นชาไร้จิตใจกับพวกผู้คุมกฎเฉียนพรรคจันทราโลหิต กับสหายเขาดียิ่งนัก ไม่มีท่าทางแบบผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นฟ้าประทานเลย กับสาวใช้ยังเล่นหัวได้แบบนี้ เห็นได้ว่าจิตใจดีอย่างยิ่ง ฮวาเสี่ยงหรงได้พบกับผู้สูงส่งเช่นนี้ ไม่รู้เป็นวาสนาที่สะสมมากี่ชาติ
“คุณชายรอสักครู่ ข้าจะไปเตรียมอาหารและสุราให้” แม่เล้าไป๋เซวียนถอยออกไปจากห้องอย่างรู้งาน
หลี่มู่พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ลำบากท่านแม่ไป๋แล้ว”
นี่ก็เพิ่งจะมาเที่ยวหอคณิกาครั้งที่สองเท่านั้น แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นชินไปเสียทุกอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลี่มู่เหงื่อตกด้วยละอายแก่ใจ
……
“ผู้คุมกฎเฉียน จะทำอย่างไรกันดี?”
บนถนนกลิ่นกำจาย สายสืบพูดขึ้นด้วยใบหน้าทุกข์ระทม
เฉียนตัวแค่นเสียงเย็น “เฮอะ ขั้นฟ้าประทานแล้วอย่างไร ประมุขของข้าได้รับความช่วยเหลือจากสำนักเทพ น่ากลัวว่าคงก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานแล้วเช่นกัน ทั้งยังได้รับอาวุธเทพมาอีก ถึงตอนนั้นต่อสู้สังหารหลี่มู่ก็แค่เพียงยกฝ่ามือเท่านั้น ปล่อยให้ไอ้เจ้าพันทางนี่ลำพองไปช่วงหนึ่งก่อน หึ ไม่ช้าก็เร็วมันได้ร้องไห้แน่”
“นี่ก็ดีเลย มิฉะนั้นเจ้าหลี่มู่จะต้องทำให้การใหญ่พรรคจันทราโลหิตเราเสียเป็นแน่” สายสืบอยู่ในพรรคจันทราโลหิตก็พอจะมีตำแหน่งอยู่บ้าง รู้เรื่องภายในเล็กน้อย เขาถามขึ้นอีกว่า “ครั้งนี้พวกเราไม่ได้พาตัวฮวาเสี่ยงหรงกลับไป เกรงว่าท่านประมุขคงจะลงโทษ ถึงตอนนั้น ขอผู้คุมกฎเฉียนช่วยพูดให้ข้าด้วยเถอะ”
“ไม่เป็นไร ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ในเมืองฉางอันใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงที่สวยกว่าฮวาเสี่ยงหรง ประมุขพรรคสติปัญญาเฉียบแหลมมีแผนการลึกล้ำ ไม่มีทางทำให้พวกเราผู้มีคุณูปการลำบากเพราะเรื่องเล็กน้อยหรอก” ผู้คุมกฎเฉียนมั่นใจเต็มที่
คนกลุ่มหนึ่งกลับไปด้วยสภาพน่าอนาถ
ออกจากถนนกลิ่นกำจาย ลดเลี้ยวไปมา หลังจากที่ยืนยันอย่างระมัดระวังยิ่งแล้วว่าไม่ได้ถูกสะกดรอยตาม พวกเขาก็มาถึงยังคฤหาสน์สูงตระหง่านหลังหนึ่งในเขตใต้ของเมือง ใช้สัญญาณพิเศษเคาะประตู ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในทางประตูหลัง
คฤหาสน์หลังนี้กินพื้นที่กว้างขวางมาก ข้างในมีการคุ้มกันเข้มงวดแน่นหนา ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือพรรคจันทราโลหิตทั้งนั้น กลิ่นอายพลังไม่ธรรมดา ในนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับหนึ่งขั้นปรมาจารย์จำนวนไม่น้อย กระทั่งว่ามีกลิ่นอายของยอดปรมาจารย์อยู่รางๆ หลายกลุ่มด้วยซ้ำ เหมือนกับหมอกควันประกายแสงควบคุมเอาไว้ไม่ปลดปล่อยออกมา เป็นสถานที่ที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้น เทียบกับที่ว่าการเจ้าเมืองแล้วมีแต่เหนือกว่า
ฐานที่มั่นหลักของพรรคจันทราโลหิตอยู่ในเมืองฉางอันนี่เอง
โถงหลักใจกลางของคฤหาสน์
“อะไรนะ ทำพลาด?”
ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จันทราโลหิตสูง ทั่วร่างหุ้มล้อมอยู่ภายในหมอกเข้มข้นราวโลหิต เสียงที่เอ่ยเหมือนเสียงโลหะเสียดสีกับหิน ไม่มีความรู้สึกของมนุษย์แม้แต่น้อย
ผู้คุมกฎเฉียนก้มหน้าต่ำ “ท่านประมุข หลี่มู่เก็บซ่อนพลังมาโดยตลอด พลังฝึกเป็นขั้นฟ้าประทานนานแล้ว พวกเราไม่ใช่คู่มือของมัน…”
“ไร้ประโยชน์” ท่ามกลางเสียงตวาดไร้จิตใจ หมอกแสงสีเลือดสายหนึ่งฟาดออกมาดุจสายอัสนี
ผู้คุมกฎเฉียนกระเด็นลอยไปไกลหกเจ็ดจั้งทันที แล้วกระอักเลือดออกมาคำโต คราวนี้เขาถึงลนลานขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านประมุขไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วยเถิด ฮวาเสี่ยงหรงนั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุดของหน่วยเลี้ยงรับรอง ข้าไปจับคนอื่นมาได้…”
“หุบปาก” เสียงของร่างสีเลือดราวเทพมารคำราม ตัดบทพูดของเขาทันใด “เจ้าจะรู้อะไร? ฮวาเสี่ยงหรงเป็นผู้หญิงธรรมดาเสียที่ไหน…หึ ก็เพราะวันนี้หลี่มู่สู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ไม่อาจแยกร่างมาได้ ข้าถึงได้ให้เจ้าไป แต่เจ้ากลับพิรี้พิไร หนึ่งชั่วยามกว่าแล้วก็ยังจับตัวฮวาเสี่ยงหรงมาไม่ได้ สมควรตายนัก”
ละอองหมอกสีเลือดแผ่ขยายมาดั่งระลอกคลื่นเลือด โต๊ะ เก้าอี้ และข้าวของต่างๆ ลอยขึ้นเหมือนไร้แรงโน้มถ่วง ความพิโรธของจอมมารจันทราโลหิตแทบจะทำลายทุกสิ่งในโถงใหญ่
ผู้คุมกฎเฉียนถึงค่อยได้คิดได้ว่า
ที่แท้ประมุขจะจับตัวฮวาเสี่ยงหรงมาไม่ใช่เพราะความงาม
แย่แล้ว
เขาตระหนักได้ว่าตัวเองหาเรื่องใหญ่ใส่ตัวแล้ว
“ประมุขไว้ชีวิตด้วย ข้ายินดีไปจับฮวาเสี่ยงหรงมาอีกครั้ง หลี่มู่ไม่มีทางอยู่ที่หอสดับเซียนทั้งคืนได้…” เฉียนตัวในใจหวาดกลัวเหลือคณา แก้ตัวสุดกำลัง พยายามช่วงชิงโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“หึ เจ้าไม่มีโอกาสแล้ว” เสียงเย็นชาของจอมมารจันทราโลหิตตัดสินโทษตายของผู้คุมกฎคนนี้ทันที
ในโถงใหญ่ ผู้นำระดับสูงของพรรคจันทราโลหิตหลายสิบคนตอนนี้ต่างเงียบงันราวจั๊กจั่นยามเหมันต์ ไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเพื่อผู้คุมกฎเฉียน
แต่ทว่าจอมมารจันทราโลหิตยังไม่ได้ลงมือ ก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น
ทันใดนั้น แสงอัสนีสีม่วงสายหนึ่งที่เร็วดั่งสายฟ้าพลันฟาดผ่าออกมาจากในกายของผู้คุมกฎเฉียน มุ่งตรงไปยังจอมมารจันทราโลหิต
“อะฮ่า เหล่ามุสิกตัวจ้อยทั้งหลาย หาพวกเจ้าเจอแล้ว”
เสียงที่ทุกคนในโถงใหญ่ต่างไม่เคยคุ้นดังขึ้นมา
ละอองหมอกเลือดรอบกายจอมมารจันทราโลหิตสั่นสะเทือน
เขาสัมผัสได้ถึงพลังของสายฟ้าสีม่วงสายนั้น จึงไม่กล้าประมาท โคจรพลังขึ้นมา หมอกเลือดรอบกายก่อตัวเป็นโล่สีเลือดต้านทานประกายสายฟ้าสีม่วงนั่นเอาไว้ แต่ร่างกลับถูกสะเทือนจนโซเซ เขาพูดขึ้นอย่างทั้งตกใจทั้งโมโห “นั่นใคร?”
ประกายอัสนีสีม่วงยังไม่สลายไป จับตัวแข็งอยู่กลางอากาศ
“วันท้าประลองที่เขายอดระกายังเหลืออีกหนึ่งเดือน แต่เจ้ากลับแอบมาลงมือกับผู้หญิงของข้า…เหอะๆ จอมมารจันทราโลหิต ในเมื่อเจ้าอยากตายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นศึกระหว่างเราก็เลื่อนเข้ามาเป็นอย่างไร?”
“อะไรนะ?” เสียงราวโลหะไร้อารมณ์ของจอมมารจันทราโลหิต ในที่สุดก็ปรากฏแววตื่นตะลึง “เจ้าคือหลี่มู่? เจ้าใช้วิชาเวทอัสนีอย่างนั้นรึ…เจ้า…ฝึกฝนทั้งวิชาเวทและวิชายุทธ์?” เขาตกใจเป็นอย่างมาก ต่อให้หลี่มู่เป็นอัจฉริยะ แต่พลังก็ต้องมีข้อจำกัด อายุสิบห้าผลักดันพลังยุทธ์ไปถึงขั้นฟ้าประทานได้ก็แข็งแกร่งน่าครั่นคร้ามแล้ว และพลังฝึกวิชาเวทของเขา จากที่สัมผัสเมื่อครู่ก็แข็งแรงไร้เทียมทานเช่นกัน เขาทำได้อย่างไร?
………………………………