จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 263 ที่มาของจิ้งจอกน้อย
ซ่างกวนอวี่ถิงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่ว่าหลี่มู่มองออก เด็กสาวคนนี้แท้จริงแล้วเพียงแค่เออออตามตนเอง เรื่องที่นางจะฟื้นฟูพลังฝึกได้หรือไม่ นางไม่ได้เอามาใส่ใจเลย อาจเพราะแรงจูงใจในการฝึกเพียงอย่างเดียวของนาง มีเพียงแค่หวังว่าจะช่วยหลี่มู่ได้บ้างเท่านั้น
นางเป็นสตรีที่ใสซื่อบริสุทธิ์
แต่อาจเป็นเพราะความบริสุทธิ์นี้ของนาง เมื่อไม่โลภจิตใจจึงแข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับกายเต๋าฟ้าประทานพอดี ดังนั้นก่อนหน้าที่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ จึงได้รวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขนาดนี้
หลี่มู่ถ่ายทอด ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งให้แก่ซ่างกวนอวี่ถิง
และถัดมายังมีท่าแรกเริ่มของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ด้วย
ครั้งนี้ หลี่มู่ได้รับบทเรียนมาแล้ว ไม่เพียงแต่ให้ซ่างกวนอวี่ถิงฝึกจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งด้วย
เพราะหลี่มู่ตระหนักได้ว่า เมื่อตนเองผงาดขึ้นมา ศัตรูที่เจอก็แข็งแกร่งขึ้นทุกที ซ่างกวนอวี่ถิงคงไม่อาจอยู่ใต้การปกป้องของเขาได้ตลอดเวลา นางต้องผ่านการฝึกฝนเช่นกัน นี่เป็นความคิดแรกเริ่มของหลี่มู่ ดังนั้น เขาจะต้องคิดหาวิธีขจัดจุดอ่อนของซ่างกวนอวี่ถิงในเส้นทางสายยุทธ์นี้ให้ได้
และก่อนหน้านั้น จุดอ่อนของซ่างกวนอวี่ถิงคืออะไร?
ประสบการณ์เรื่องใดจะช้าเร็วก็สามารถเรียนรู้ได้ ดังนั้นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด ก็คือความอ่อนแอของกายเนื้อนั่นเอง
หากบอกว่าจุดอ่อนของจอมเวทคือความอ่อนแอของร่างกายละก็ ซ่างกวนอวี่ถิงก่อนหน้านี้ก็พูดได้ว่านำเอาจุดอ่อนนี้มาต่อยอดจนถึงที่สุด จากคณิกาที่แค่ร้องรำเพียงหนึ่งเพลงก็หอบหายใจ จนกระทั่งสามารถประมือกับมหาเวทขั้นฟ้าประทานได้ โดยที่นางใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น
หลี่มู่คาดหวังว่าจะใช้ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สร้างกายเนื้อของซ่างกวนอวี่ถิงให้แกร่งขึ้น
จอมเวทที่มีร่างกายแข็งแกร่ง ถึงจะเป็นจอมเวทที่น่าเกรงขามโดยแท้จริง
สิ่งเดียวที่ยังไม่แน่ใจนั้น อยู่ที่…
“สถานการณ์ในทะเลความรู้สึกตรงจุดหนีหวานกงของเจ้า ตอนนี้ข้าก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ โดยทฤษฎีแล้ว หลังจากที่จุดหนีหวานกงถูกทำลาย พลังจิตวิญญาณทั้งหมดจะสลายไป ก่อนหน้าที่เจ้าจะสร้างจุดหนีหวานกงขึ้นใหม่ ทะเลความรู้สึกจะอยู่ในช่วงสับสนอลหม่าน ไม่ควรมีพลังจิตใดๆ ตอนนี้จุดหนีหวานกงของเจ้ายังไม่ฟื้นกลับมา แต่ในทะเลความรู้สึก กลับมีพลังจิตวิญญาณเส้นหนึ่งปรากฏ อาจจะเกี่ยวข้องกับวิธีรักษาที่ข้าใช้กับเจ้าก็ได้…” หลี่มู่เอ่ยต่อ
ร่างเปลือยเปล่าหันหน้าเข้าหากัน พลังจิตของหลี่มู่ถ่ายเข้าไปยังร่างซ่างกวนอวี่ถิง ท้ายสุดราวกับว่าพลังหยินหยางหลอมรวมกัน จึงเกิดพลังจิตวิญญาณที่ประหลาดเสี้ยวหนึ่งขึ้น ทว่าไม่อยู่ในการควบคุมของหลี่มู่ และไม่หายไปจากทะเลความรู้สึกของซ่างกวนอวี่ถิงด้วย
ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ ในทะเลความรู้สึกของหลี่มู่ก็ปรากฏพลังแบบนี้เสี้ยวหนึ่งเช่นกัน
ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน
นี่ทำให้หลี่มู่จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก
หลังจากที่ถ่ายทอด ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งและท่าแรกเริ่มของ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ให้กับซ่างกวนอวี่ถิง หลี่มู่ยังช่วยนางตรวจสอบร่างกาย เมื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรมีปัญหาแล้ว จึงเสร็จสิ้นการรักษาครั้งนี้
“ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมาก ต้องการการบำรุง ช่วงนี้เจ้าก็ทานเยอะหน่อย ต้องหาของดีๆ มาเสริมเลือดลม” หลี่มู่พูดกลั้วหัวเราะ “เมื่อฝึกหมัดยุทธ์แท้ ช่วงนี้เจ้าจะหิวง่ายมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องรูปร่างเปลี่ยน กินเยอะๆ ล่ะ”
ทั้งสองคนพูดพลางเดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์
สาวใช้ซินเอ๋อร์ที่กำลังเช็ดน้ำตารีบตรงเข้ามาทันที
เมื่อพวกสวีหว่านเอ๋อร์เห็นว่ารักษาซ่างกวนอวี่ถิงได้ผล ก็โห่ร้องขึ้นอย่างยินดี
ช่วงที่ได้อยู่ด้วยกันมานี้ ซ่างกวนอวี่ถิงได้ถ่ายทอดวิชาให้กับพวกนาง คอยดูแลพวกนาง จนได้รับความเคารพจากสาวงามเหล่านี้เช่นกัน
“เรื่องที่ถิงเอ๋อร์รักษาตัวหายนี่ ให้เก็บเป็นความลับไว้ก่อน อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปภายนอก” หลี่มู่เอ่ยสั่ง
จิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่ร้องจิ้วๆ ดีใจเป็นล้นพ้น มันกระโดดเข้ามาและปีนขึ้นไปบนหน้าอกหลี่มู่ ใช้หัวดันฝ่ามือของเขา เจ้าตัวเล็กนี้ ก่อนหน้าก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่กลับฟื้นตัวได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาด ตอนนี้กระโดดโลดเต้นได้แล้ว
ระหว่างที่คุยกัน ด้านนอกมีเสียงลอดเข้ามา
เจิ้งฉุนเจี้ยนมาขอพบ
หลี่มู่เปิดประตูเรือนซอมซ่อ ให้เจิ้งฉุนเจี้ยนเข้ามาด้านใน และพาเขาไปยังห้องหนังสือ
ซ่างกวนอวี่ถิงและบรรดาสาวงามที่กำลังพูดคุยเจื้อยแจ้วย้ายไปยังอีกด้าน
พวกนางรู้จักเจิ้งฉุนเจี้ยน และเคยชินที่หลังจากคนคนนี้มายังเรือนซอมซ่อ ก็จะต้องหารืออย่างลับๆ กับหลี่มู่นานพอสมควร เห็นได้ว่ากำลังคุยกันเรื่องจริงจัง ดังนั้นเหล่าสตรีจะไม่เข้าไปรบกวนเด็ดขาด
ที่ห้องหนังสือ
“ยังตรวจสอบไม่เจออีกหรือ?” หลี่มู่ขมวดคิ้ว
เจิ้งฉุนเจี้ยนผวาเล็กน้อย เอ่ยว่า “แม้ว่าข้าน้อยจะมีเส้นสายอยู่บ้างในเมืองฉางอัน แต่ว่ายอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์มันเกินขอบเขตของข้าน้อย อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย”
“ตราดัชนีทอง หนึ่งนิ้วทลายฟ้า นี่เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนมากมิใช่หรือ?” หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างผิดหวัง
เจิ้งฉุนเจี้ยนใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตอบกลับมาว่า “ในเมืองฉางอันมีขั้นเหนือมนุษย์คอยควบคุมอยู่ก็จริง แต่ลงมือกันน้อยครั้งมาก ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ยังมีพวกยอดฝีมือแปลกหน้าเข้ามาในเมืองอีก การคงอยู่ของขั้นเหนือมนุษย์ หากต้องการจะอำพรางพลังตน คนปกติทั่วไปไม่มีทางตรวจเจอแน่นอน ข้าน้อยให้คนทำสถิติการปรากฏตัวของขั้นเหนือมนุษย์ในเมืองฉางอันนี้แล้ว ไม่มีใครเลยที่ลงมือแบบเมื่อวานนี้”
หลี่มู่ถอนใจยาว
“ตรวจสอบต่อไป” เขากล่าว
เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบร้อนรับคำสั่ง
มองออกได้ทันทีว่า หลี่มู่กำลังข่มความโกรธอยู่
และหลี่มู่ในวันนี้สร้างแรงกดดันให้แก่เขามากกว่าทุกครั้งที่เคยเจอกัน
เหตุเพราะเมื่อวานนี้ หลี่มู่สังหารขั้นเหนือมนุษย์ไปคนหนึ่ง
พวกคนปกติ จอมยุทธ์ทั่วไป หรือพวกขั้วอำนาจสำนักต่างๆ คงปลงอนิจจังและเอะอะมะเทิ่งใหญ่โต พูดกันประมาณว่า ’หลี่มู่สร้างตำนานขึ้นอีกเรื่องแล้ว’ ‘ยังหนุ่มยังแน่นแต่สังหารขั้นเหนือมนุษย์ได้ คาดเดาอนาคตไม่ถูกเลย’ ทว่าคนที่เข้าใจความหมายของเรื่องนี้ทั้งหมดเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าความหมายเบื้องหลังน่ากลัวเพียงใด
อย่างเช่นว่า หลี่มู่สังหารบุตรชายผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋อง หากเขาเป็นแค่ขั้นฟ้าประทานธรรมดาคนหนึ่ง เบื้องบนของจักรวรรดิจะใช้ดุลยพินิจ และอาจให้เจิ้นซีอ๋องไปรับมือหลี่มู่ โดยไม่ได้สนใจว่าจะเป็นหรือตาย แต่หลี่มู่ที่สังหารขั้นเหนือมนุษย์ เบื้องบนของจักรวรรดิอาจพิจารณาใหม่ก็เป็นได้
“จริงด้วย นายท่าน เกี่ยวกับที่มาของจิ้งจอกขาวน้อย ข้าน้อยตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้วขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยขึ้น
หลี่มู่มองเขา
เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบกล่าวต่อ “ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงโดยคนร่ำรวยในเมือง แต่เป็น…ช่วงนั้นที่หน่วยลาดตระเวนไล่ตรวจจับคนตระกูลถัง จับพลัดจับผลูค้นเจอเผ่าปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองมากมาย เจ้าจิ้งจอกขาวตัวนี้ แท้จริงแล้วเป็นบุตรสาวของเผ่าปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่ง บิดาเป็นหัวหน้ากลุ่มสมาพันธ์การค้าวารีคราม ครอบครัวทั้งหมด นอกจากมันแล้ว ต่างถูกหน่วยลาดตระเวนจับสังหารทิ้งหมด ส่วนมันคงจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ จึงเกิดปรากฏการณ์ย้อนคืน แปลงกลับเป็นร่างของปีศาจจิ้งจอก…”
หลี่มู่ตกใจและแปลกใจมาก
เป็นอย่างนี้นี่เอง
เรื่องที่มีการไล่สังหารเผ่าปีศาจก่อนหน้านี้ รวมไปถึงเรื่องที่สมาพันธ์การค้าวารีครามเกี่ยวข้องกับเผ่าปีศาจจนถูกสังหารสิ้น เขาก็เคยได้ยินมา
แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจิ้งจอกขาวน้อยจะมีที่มาเช่นนี้
“คุณชาย ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม หากข้องเกี่ยวกับเผ่าปีศาจล้วนมีความผิดมหันต์ ยิ่งพลังสูงส่ง ความผิดก็ยิ่งหนักหนา เจ้าจิ้งจอกขาวตัวนี้ ท่านส่งมันออกไปไม่ดีกว่าหรือ ข้าได้ยินมาว่าคนในหน่วยลาดตระเวนเริ่มระแคะระคายแล้วว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยหายไปทางใด…” เจิ้งฉุนเจี้ยนแนะนำ
เผ่าปีศาจยังคงเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากข้องเกี่ยวกับเผ่าปีศาจล้วนมีความผิดมหันต์
นี่ไม่ใช่เพียงกฎเหล็กของจักรวรรดิฉินตะวันตก หากแต่เป็นกฎเหล็กทางสังคมมนุษย์ทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจว
ความหมายของเจิ้งฉุนเจี้ยนชัดเจนยิ่ง จะต้องรับมืออย่างระมัดระวัง ทางที่ดีที่สุดควรส่งจิ้งจอกน้อยออกไป เพราะหากมีคนรู้ว่ามันอยู่ในมือหลี่มู่ อาจใช้ประโยชน์เรื่องนี้รายงานเบื้องบน จนทำให้หลี่มู่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และทำให้ชื่อเสียงเรียงนามก่อนหน้านี้ของเขาหายวับไปหมด
หลี่มู่ครุ่นคิด จากนั้นจึงยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ให้เจ้าพวกลาดตระเวนมาหาข้าแล้วกัน”
จิ้งจอกน้อยตัวนี้ เขาจะไม่ส่งมันออกไป
เขาสูญเสียเสือดาวเบญจมาศไปแล้ว เขาจะไม่ส่งสัตว์น้อยข้างกายอีกตัวไปอีก
ครั้งนั้น ขณะที่ยังอยู่บนโลก ในเรื่องที่ซินแสเฒ่าเคยโม้มาต่างๆ นานา ส่วนที่พูดถึงเผ่าปีศาจเป็นเรื่องที่ชอบธรรมที่สุด ในห้วงทะเลดารา เผ่าปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงมาก เทียบเท่าได้กับมนุษย์ มีทั้งดีและเลว ยิ่งไปกว่านั้น ซินแสเฒ่าประเมินค่าเผ่าปีศาจเอาไว้สูงมากด้วยเช่นกัน
เมื่อฟังมากเข้าก็คล้อยตาม หลี่มู่จึงไม่ได้รังเกียจเผ่าปีศาจแต่อย่างใด
ต่อให้จิ้งจอกขาวตัวน้อยเป็นเผ่าปีศาจ เขาก็ไม่ใส่ใจ
เมื่อได้ยินคำพูดหลี่มู่ เจิ้งฉุนเจี้ยนก็เข้าใจท่าทีของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจยาวอยู่ภายใน และไม่รบเร้าอะไรต่อ
“นายท่าน ไม่แน่ว่าเรื่องนี้ มีคนหนึ่งที่ช่วยท่านตรวจสอบผู้ที่อยู่เบื้องหลังตราดัชนีทองได้” เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“ใครกัน?” หลี่มู่ถาม
“ท่านเจ้าเมืองมีอำนาจอย่างมากในเมืองฉางอัน มีสมบัติชิ้นหนึ่งชื่อว่า ’กระจกสยบฟ้า’ เป็นอาวุธเทพที่สำนักเทพทั้งเก้าร่วมกันสร้างขึ้น สามารถส่องตรวจสอบคลื่นพลังของขั้นเหนือมนุษย์ใดๆ ในเมืองได้…” เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าว
เจ้าเมืองขยะนั่นน่ะหรือ?
หลี่มู่ถึงกับนวดขมับตนเองโดยไม่รู้ตัว
……
“ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป โรงฝึกยุทธ์พลังพายุข้องเกี่ยวกับตระกูลถัง สั่งการให้หน่วยลาดตระเวนล้อมเอาไว้ เข้าได้อย่างเดียว แต่ห้ามใครออกมา หลังจากนี้สามวันให้บุกโจมตี ข้าอยากให้โรงฝึกยุทธ์พลังพายุไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข”
หลังจบการปิดด่านฝึกฝน องค์ชายสองที่ออกจากห้องลับสั่งการลงมาทันที
“อา…” หลิวเฉิงหลงตะลึงงัน
โรงฝึกยุทธ์พลังพายุ?
เขารู้แค่ว่าโรงฝึกยุทธ์นี้เป็นเพียงพวกจอมยุทธ์ตกอับจำนวนหนึ่งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ด้านในอาจมีพวกเก่งกาจอยู่บ้าง ชื่อเสียงไม่ได้ดีเด่อะไร นิสัยก็แปลกประหลาด โดยเฉพาะหัวหน้าโรงฝึกที่เป็นตัวประหลาดของแท้ ตัวเป็นหญิง แต่กลับชอบเที่ยวหอคณิกา ซ้ำยังไปติดหนี้เพราะเรื่องนี้อีก
แต่ไม่เห็นได้ยินข่าวคราวใดที่บอกว่าโรงฝึกยุทธ์พลังพายุนี้ซ่อนตัวพวกตระกูลถังเอาไว้
เขาไม่เข้าใจความหมายขององค์ชายสองอยู่ครู่หนึ่ง
หรือว่าฝ่าบาทแค่ต้องการจะหาข้ออ้างทำลายโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ?
หรือว่าเบื้องหลังอาจมีเหตุผลอื่น?
หลิวเฉิงหลงไม่กล้าถามอะไรมาก รีบร้อนรับคำสั่ง แล้วสั่งการต่อไปทันที
เพียงไม่นาน หน่วยลาดตระเวนในเมืองฉางอันต่างรวมกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว
นอกกำแพงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ พลันถูกล้อมโดยทหารในชุดอำพรางกายพร้อมค่ายกลดาราอย่างแน่นหนา ดาบหอกราวป่า กระบี่ง้าวราวทะเล ไอสังหารแน่นขนัด ในสามชั้นนอกอีกสามชั้น ธนูทลายดาราถูกเคลื่อนย้ายมาจากค่ายกลของทหารจอมเวท ขบวนพลธนูและพลโล่เทพจัดแถวเป็นชั้นๆ นักรบราวเครื่องจักรที่ทำงานแม่นยำ แสดงเขี้ยวเล็บที่ทำให้คนหวาดหวั่น
ภาพฉากเช่นนี้น่าตกตะลึงจนผู้คนที่เดินทางโดยรอบต้องถอยห่างออกไปไกลเมืองฉางอัน
เวลาเดียวกัน ข่าวคราวการสมคบคิดระหว่างโรงฝึกยุทธ์พลังพายุและคนตระกูลถังก็แพร่สะพัดทั่วเมือง
“พี่ แย่แล้ว หน่วยลาดตระเวนล้อมโรงฝึกของเราไว้แล้ว” เทพพยากรณ์วิ่งตะโกนเข้ามาในเรือนชั้นในราวกับไฟลนก้น
ถานเยี่ยนจือหน้าเปลี่ยนสี
ทั้งโรงฝึกยุทธ์พลังพายุมีเสียงดังอื้ออึง
…………………………