จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 285 ปฏิกิริยาลูกโซ่
นั่นเป็นจดหมายที่สวีเซิ่งส่งมา
เนื้อความจดหมายไม่ดีนัก
เพราะการตายขององค์ชายสอง เรื่องที่เขาเสนอให้สำนักตรวจการรับหลี่มู่เป็นผู้บัญชาการสำนักตรวจการฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ขั้นตอนดำเนินไปครึ่งหนึ่ง ใกล้จะถึงเมืองฉางอันอยู่แล้ว แต่กลับหยุดลงกลางทาง เห็นทีคงไม่มีหวังแล้ว
ในจดหมายเขายังขอโทษหลี่มู่อีกด้วย
นอกจากนั้น สวีเซิ่งยังเตือนเขากลายๆ ว่าเพราะการตายขององค์ชายสอง การเมืองในเมืองฉินจึงปะทุรุนแรง ความสมดุลที่ซับซ้อนก่อนหน้านี้ถูกทำลายลง พูดได้ว่าแตะแค่เส้นผมสะเทือนไปทั้งตัว พลังของแต่ละฝักฝ่ายเริ่มเผยเขี้ยวเล็บ อีกองค์จักรพรรดิเก็บตัวเงียบรักษาบาดแผล ฝูงมังกรไร้หัว สถานการณ์จึงยิ่งวุ่นวาย
ส่วนขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสอง กล่าวได้ว่าเกลียดหลี่มู่เข้ากระดูกดำ เพียงแต่เพราะแต่ละฝั่งต่างช่วงชิงพื้นที่ว่างทางการเมืองที่องค์ชายสองทิ้งไว้หลังตายไป ขั้วอำนาจที่เหลือขององค์ชายสองกำลังเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับมือ ในช่วงเวลาสำคัญจึงไม่ว่างมาสนใจหลี่มู่ แต่วันเวลาสงบสุขแบบนี้ไม่น่าจะยืนยาวเท่าใด
สวีเซิ่งแนะนำในจดหมาย หากหลี่มู่มีทางถอยละก็ให้ถอยชั่วคราว ซ่อนตัวในยุทธจักร ปกปิดร่องรอยเสีย
เมื่ออ่านจบ หลี่มู่หัวเราะไม่ยี่หระ
แน่นอนว่าหลี่มู่ซาบซึ้งกับความหวังดีของสวีเซิ่งมาก
เขามองออกว่าผู้อาวุโสสำนักขุนคีรีเป็นบุคคลฝ่ายธรรมะจริง และดีกับหลี่มู่ไม่เลว
แต่หลี่มู่ไม่รับคำแนะนำของสวีเซิ่ง
อำเภอขาวพิสุทธิ์วันนี้ถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะ ‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ พลังวิญญาณมากล้น ค่อยๆ พัฒนาไปเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ว่ารากฐานมั่นคงเป็นพิเศษ อีกทั้งอำเภอขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ ทิวทัศน์งดงามปานภาพวาด อากาศดี ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ดีเยี่ยม จะติดต่อกับโลกภายนอกก็ได้ หรือจะอยู่อย่างสันโดษก็ได้ สำหรับหลี่มู่ที่มีความคิดจะสร้างขั้วอำนาจของตัวเอง นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายในยี่สิบปี หลี่มู่จะไปถึงขั้นทะลวงสวรรค์ และออกไปจากดาวดวงนี้
ถึงจะบอกว่าเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งปีกว่าๆ เขาก็มีหวังไปถึงขั้นเหนือมนุษย์ สำเร็จเส้นทางที่ชั่วชีวิตจอมยุทธ์บางคนเดินได้ไม่สุด แต่เส้นทางวิถียุทธ์ยิ่งเดินต่อไป ยิ่งก้าวยากเย็นมากขึ้น มีผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานมากมายที่ทั้งชีวิตไปไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ และก็มีขั้นเหนือมนุษย์อีกหลายคนที่ทั้งชีวิตไปไม่ถึงขั้นเทวะ ต่อให้ก้าวถึงเทวะ จะมีอีกสักกี่คนที่สุดท้ายข้ามผ่านจุดนี้ แล้วก้าวเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ได้?
ปัญหาเรื่องอัตราส่วนนี้ ยิ่งก้าวสูงขึ้นยิ่งต่ำ
หลี่มู่ไม่กล้ามั่นใจกับระยะเวลายี่สิบปีนี้มากนัก
แน่นอนว่าเขาอยากแบกกระบี่ท่องใต้หล้า ขี่ม้าไปกับสาวงาม ถือดาบฝ่าไปในยุทธจักร ไปดูความรุ่งเรืองของโลกใบนี้ แต่เขาไม่มีเวลาทำแบบนั้น
เนื้อหาในจดหมายของสวีเซิ่งแจ้งเตือนหลี่มู่
ต้องเริ่มเตรียมการบางอย่างแล้ว
มิฉะนั้นหากคลื่นน้ำวนจากการตายขององค์ชายสองปะทุมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือคลื่นปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
หลี่มู่เริ่มขบคิด
แผนการบางอย่างค่อยๆ ปรากฏชัดเจนในใจเขา
……
เวลาผ่านไป อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ใบไม้ในป่าสุดลูกหูลูกตาร่วงกราว แม่น้ำสายยาวไหลบ่าไม่ขาดสาย
ในอำเภอขาวพิสุทธิ์มีหิมะตกติดกันสิบวัน เป็นหิมะแรกนับจากเข้าสู่ฤดูหนาวมา แต่ละบ้านต่างก่อเตาผิง ควันไฟลอยอ้อยอิ่ง
ฟิ้ว!
แสงดาบพุ่งผ่านท้องฟ้า
หลี่มู่ขี่ดาบทะยานอยู่เหนือท้องฟ้าเขตที่ว่าการราวกับเซียน เขาพุ่งผ่านผืนฟ้าเหนืออำเภอขาวพิสุทธิ์ เข้าไปในเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
ประชาชนในอำเภอเมื่อได้เห็นภาพนี้ต่างเคารพหมอบกราบ
“ใต้เท้าขุนนางเมืองคือเทพเซียนจุติลงมาแท้ๆ”
“เป็นเทพเซียน จะต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆ”
“อำเภอขาวพิสุทธิ์ของเรามีวาสนานัก ได้เซียนมาคุ้มครอง”
ชาวบ้านทั้งอำเภอดีใจเป็นที่สุด และภาคภูมิใจเป็นที่สุดเช่นกัน ความฮึกเหิมในใจขับไล่ความหนาวเหน็บจากเหมันต์ฤดู ทุกคนต่างรู้สึกว่า ฤดูหนาวของอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้รู้สึกสบายและอบอุ่นเช่นนี้เลย
ที่ว่าการอำเภอที่สร้างขึ้นใหม่ห่างจากตำแหน่งเก่าไม่ไกล
ขุนนางที่ทำงานอยู่ในนั้นมองหลี่มู่ขี่ดาบผ่านหน้าต่าง ภาพแหวกผ่านน่านฟ้าแบบนี้ ถึงแม้จะเห็นบ่อยจนคุ้นชิน แต่ในใจของพวกเขาทุกคนก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน ความยำเกรงต่อหลี่มู่ก็ขึ้นไปถึงขีดสูงสุด
‘หากใต้เท้าขุนนางเมืองมอบเคล็ดวิชาฝึกฝนให้ข้าเหมือนกันละก็…’
ขุนนางหนุ่มฝ่ายอักษรคนหนึ่งวางพู่กันลงบนชั้นวางพู่กัน พลางคิดอย่างอิจฉาและใฝ่ฝัน
งานเลี้ยงต้อนรับเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ เรื่องที่ใต้เท้าขุนนางเมืองมอบเคล็ดวิชาฝึกฝนเล่าลือไปในหมู่ขุนนางแล้ว ขุนนางแทบทั้งหมดตอนนี้ล้วนเฝ้ารอ หวังว่าจะได้รางวัลจากใต้เท้าขุนนางเมือง ได้รับเคล็ดวิชามาฝึกฝนบ้าง ถึงแม้จะฝึกเป็นเซียนไม่ได้ แต่อย่างน้อยร่างกายแข็งแรง อายุขัยยืนยาวขึ้นอีกนิดก็ยังดี
ตอนนี้เหล่าขุนนางค่อยๆ หมดความสนใจเรื่องเลื่อนตำแหน่ง เงินทอง และลาภยศพวกนี้แล้ว เป้าหมายใหญ่ที่สุดคือหวังว่าตัวเองจะทำดีได้รับรางวัลจากใต้เท้าขุนนางเมือง ได้รับเคล็ดวิชาฝึกฝนชั้นสูง อย่างไรเสียก็เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ ต้องมีพลังที่มากเพียงพอ ถึงจะมีสิทธิ์เสพสุขอำนาจและเงินทอง
บรรยากาศในอำเภอกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
ท่ามกลางวันเวลาที่ดูเหมือนจะสุขสงบแบบนี้ เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ผ่านศึกใหญ่วันนั้นมาหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว
หลี่มู่ขี่ดาบไปยังเทือกเขาขาวพิสุทธิ์แทบทุกวัน
วันนี้เป็นวันที่หิมะตกหนักอีกแล้ว
ยอดเขาดุจงูสีเงินร่ายรำ เนินเขาราวมีฝูงช้างสีเงินวิ่งตะบึง
หลี่มู่สวมเสื้อชั้นเดียว ขี่ดาบพุ่งทะยานไปบนฟ้าเหนือยอดเขาขาวพิสุทธิ์อันกว้างไกล เขาก้มลงมองป่าดงดิบเบื้องล่าง ยอดเขาสลับเรียงราย คลื่นหิมะราวทะเล ทิวทัศน์งดงามชวนให้หลงใหล
หลายวันมานี้ นอกจากเวลาฝึกฝน เขาก็สำรวจภูมิประเทศของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ในระยะพันลี้ซ้ำไปซ้ำมา
เขามองเห็นความมหัศจรรย์บางอย่างจริงๆ
ทิวเขาขาวพิสุทธิ์เป็นยอดเขาที่ขึ้นชื่อในจักรวรรดิฉินตะวันตก ยอดเขาส่วนมากเกิดจากหินมหึมา ภูเขาแข็งแรง ที่ตั้งชัยภูมิดียิ่ง เทือกเขาหลายร้อยยอดมีทางเดินมากมาย คดเคี้ยววกวนไปสี่ทิศ กว้างใหญ่เป็นที่สุด มองจากที่สูงลงไปเหมือนกับมังกรหลายตัวขดตัวรวมกันในเทือกเขาแห่งนี้
เมื่อใช้เนตรสวรรค์ หลี่มู่สามารถมองทะลุลงไปใต้ภูเขาสองลี้
เขามองเห็นทิศทางของชีพจรมังกรและฮวงจุ้ยพลังธรรมชาติได้ชัดเจน
ฟุ่บ!
หลี่มู่ยืนอยู่บนดาบ หยุดค้างอยู่กลางอากาศ
เกล็ดหิมะลอยละล่องรอบด้าน
“น่าจะไม่ผิดแล้ว…เทือกเขาขาวพิสุทธิ์ทั้งเจ็ดสิบสองลูก ชีพจรมังกรสามสิบหกสาย มีลักษณะฮวงจุ้ย ‘รวมมังกร’ จากคำบอกเล่าของซินแสเฒ่า ลักษณะฮวงจุ้ยแบบนี้หากเหนี่ยวนำจัดวางให้เหมาะสม จะสามารถทำให้เกิดมังกรสวรรค์ มังกรบินอยู่บนฟ้า…” ใบหน้าของหลี่มู่ยากจะควบคุมความตื่นเต้นยินดีได้
มังกรบินอยู่บนฟ้าเน้นเรื่องหลุดพ้นจากพันธนาการ มีอิสระเสรี โบยบินอยู่เหนือสรวงสวรรค์
นี่ไม่ใช่ความหมายของการทะลวงขีดจำกัด หลุดพ้นไปเหนือฟ้าหรอกหรือ?
นี่สอดคล้องกับความหมายของ ‘ทะลวงสวรรค์’ ขั้นสูงสุดที่จอมยุทธ์ฝึกฝน
ในเทือกเขาแห่งนี้สามารถทำให้มีสุดยอดผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นได้
หลี่มู่อนุมานครึ่งหนึ่ง พยายามคิดเชื่อมโยงอีกครึ่งหนึ่ง ถึงได้ข้อสรุปแบบนี้ออกมา
ตามคำบอกของซินแสเฒ่า ในภูมิประเทศแบบนี้ ผู้สูงส่งวิชาเต๋าแค่วางค่ายกลฮวงจุ้ย เหนี่ยวนำพลังเทือกเขาและพลังชีพจรมังกรมารวมไว้จุดเดียวกัน ก็สามารถหยิบยืมพลังฮวงจุ้ย ‘รวมมังกร’ มาใช้เอง และได้รับโชควาสนาจากฟ้าดินเช่นนี้
การฝึกฝนวรยุทธ์ ฝึกฝนตัวเองคือเรื่องที่หนึ่ง โอกาสข้างนอกคือเรื่องที่สอง
และยิ่งฝึกฝนขั้นที่สูงขึ้นไป เรื่องที่สองก็ยิ่งสำคัญ
พูดให้ลึกลับหน่อยก็คือโชคชะตานั่นเอง
โชคอยู่กับตัว ราบรื่นทุกอย่าง
โชคไม่มี หืดขึ้นคอ
จากความเห็นของหลี่มู่ ในบริเวณหลายพันลี้ของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ หากนับรวมชีพจรมังกรที่แผ่ขยายไปและเทือกเขาที่แตกสาขา เกรงว่าคงขยายไปได้ถึงหลายหมื่นลี้ ในพื้นที่บริเวณนี้แฝงไว้ด้วยโชคชะตาอันยิ่งใหญ่จากลักษณะฮวงจุ้ยแบบนี้
“พูดแล้วก็แปลก เมืองขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ใจกลางค่ายกลฮวงจุ้ยธรรมชาติ ‘รวมมังกร’ พอดีเป๊ะ ไม่มีคลาดเคลื่อน ส่วนหน้าผาด้านหลังที่ว่าการเก่า น้ำตกเก้ามังกรกับบึงน้ำที่ลึกสุดๆ นั่นก็เป็นตำแหน่งดวงตาค่ายกลของค่ายกลฮวงจุ้ย ‘รวมมังกร’ หากเหนี่ยวนำเพิ่ม ดึงให้ดวงตาค่ายกลมาอยู่ตำแหน่งที่ว่าการเก่า แบบนี้พลังวิญญาณฟ้าดินและพลังของเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ก็จะมารวมอยู่ตรงนั้น แล้วแผ่กระจายไปทั่วทั้งเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์…”
หลังผ่านการทบทวนหลายวันนี้ ในใจของหลี่มู่มีแผนแล้ว
เมื่อมีของวิเศษอย่าง ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ความเป็นไปได้ของแผนนี้ก็สำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง
……
ในเมืองฉางอัน ที่ตั้งเดิมของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ
ลมยามราตรีในฤดูหนาวเย็นยะเยือกเสียดกระดูก
บนถนนไม่มีผู้คนสัญจรไปมา
มีร่างเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ มาถึงทะเลทรายผืนน้อยนี้ราวภูตผี
เขาเดินทีละก้าวๆ ค่อยๆ จมลงไปในทรายเหมือนดำน้ำ ดูแปลกประหลาดยิ่งนักภายใต้แสงจันทร์
“ฮ่าๆ เจ้าพวกมนุษย์โง่เง่า มองที่นี่เป็นแค่ทิวทัศน์ พวกมันจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสมบัติที่แท้จริงอยู่ใต้ชั้นทรายผืนนี้ ฮี่ๆ ขั้นเหนือมนุษย์สามคน หลี่มู่ พวกเจ้าก็แค่ทำประโยชน์ให้ข้า ‘จอมมารจันทราโลหิต’ เท่านั้น!”
เขาดำดิ่งลงไปในชั้นทรายด้านล่าง จากนั้นก็โคจรวิชาชั่วร้ายบางอย่าง
กรวดทรายใต้ดินเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย
เรื่องประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว
ละอองหมอกสีเลือดเป็นกลุ่มเป็นเส้นพุ่งออกมาจากกรวดทรายในรัศมีหลายร้อยจั้งรอบกายเขา สิ่งนั้นคือพลังเทพปีศาจนอกพิภพที่หลี่มู่ใช้ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ทุบจนสะเทือนออกมาจากร่างองค์ชายสอง มันยังไม่สลายไปจากฟ้าดิน แต่แทรกซึมอยู่ในกรวดทราย ตอนนี้พลังที่ไร้รูปร่างกำลังเหนี่ยวนำมันไปรวมที่กายของจอมมารจันทราโลหิต
……
สำนักกระบี่สวรรค์
“เทียนเอ๋อร์ตายแล้ว”
ชายชราหลังค่อมผมเคราหงอกขาวคนหนึ่งมีน้ำตาไหลออกมาหนึ่งหยด
“หลี่กัง หลี่มู่ แล้วยังมีสวีเซิ่ง…ข้าจะให้พวกเจ้าจะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้”
จิตกระบี่ที่น่าหวาดหวั่นปะทุออกมาจากร่างของเขา ราวแสงประกายเทพสีเงินพุ่งแทงไปยังท้องฟ้า ผืนฟ้าแหวกเป็นรอยแยกทันใด สำนักในระยะหลายร้อยลี้ถูกปราณกระบี่เย็นเยือกกลุ่มนี้ปกคลุมทันที พืชพันธุ์แห่งเหี่ยว ศิลาเยือกแข็ง สรรพสิ่งสั่นสะท้าน หวาดกลัวใจสั่น
“สวรรค์ เจ้าตัวประหลาดเฒ่านั่นจะกลับมาแล้วหรือ?”
“เลือดจะนองพื้นดินแล้ว”
สำนักบางส่วนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ เหล่าตัวประหลาดเฒ่าที่จำศีลเหล่านั้นสัมผัสถึงอะไรได้
……
ณ เมืองฉิน เมืองหลวงจักรวรรดิ
เสียงไล่สังหารและเสียงร้องน่าเวทนาค่อยๆ เงียบลง
พายุหิมะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ปกคลุมการยึดอำนาจที่ไม่เป็นดังหวังซึ่งเพิ่งจบลง กลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ร่างเงาหลายสิบร่างหนีออกจากเมืองฉินอย่างคนไร้ที่พึ่ง
“ทำไมถึงล้มเหลว? ข้าเจ็บใจนัก เจ็บใจจริงๆ แต่เดิมพวกเราเป็นคนที่มีหวังจะเป็นบุคคลอันดับต้นๆ ของจักรวรรดิ หากไม่ใช่เจ้าหลี่มู่คนสมควรตายนั่นสังหารองค์ชายสอง พวกเราก็คงไม่ถึงกับ…” ชายวัยกลางคนท่าทางไม่ธรรมดาคนหนึ่งมีสีหน้าเจ็บใจ
เขาหันกลับไปมองเมืองฉิน กำแพงสูงตระหง่านราวสลักไว้ด้วยเลือด
“ท่านอ๋อง เรือเหาะพรายเมฆาของสำนักกระบี่ล่องลมมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ รีบไปเถอะ” องครักษ์ที่สวมเกราะเหล็กย้อมเลือดกล่าวเร่ง
ชายวัยกลางคนใจเต็มไปด้วยความคับแค้น ก้าวขึ้นไปบนเรือเหาะกับเหล่าองครักษ์ จอมเวทค่ายกลดาราคนหนึ่งกระตุ้นเรือเหาะให้ทะยานขึ้นฟ้า ก่อนกลายเป็นจุดดำหายไปในฟ้าไกล
หลังจากนั้นหลายอึดใจ ในเมืองฉินมีเสียงโหวกเหวกดังระงม
“หัวหน้ากบฏเจิ้นซีอ๋องหนีไปแล้ว”
“ตามไปเร็ว”
“จับกลับมาไม่ได้ ระวังองค์รัชทายาทจะตัดหัวเจ้า”
เสียงคำรามโกรธแค้นต่างๆ ดังมาจากทั่วทุกทิศทาง
กองกำลังรักษาวังในเมืองหลวงเคลื่อนไหวยามราตรี ไล่ตามหาไปทั่วทิศ