จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 294 สีควันบุหรี่ • คดีฆาตกรรม
พวกหวงเหวินหย่วนเร่งความเร็ว ย่ำค่ำก็มาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์
“อะไรนะ? ขุนนางเมืองคนใหม่?”
ในที่ว่าการอำเภอใหม่ เมื่อเฝิงหยวนซิงและคนอื่นๆ ได้เห็นเอกสาร ตราขุนนาง หนังสือรับตำแหน่ง ก็อึ้งไปโดยปริยาย ค่อนข้างยากจะเชื่อได้
ก่อนหน้านี้หลี่มู่ไม่เคยกระซิบบอกอะไรพวกเขาเลย ดังนั้นพวกเฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งจึงไม่ได้เตรียมใจเอาไว้แม้แต่น้อย จู่ๆ มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาบอกว่าจะมาแทนใต้เท้าขุนนางเมือง เรื่องนี้…ประเด็นคือขั้นตอนการรับตำแหน่งดูเหมือนจะไม่ใช่ของปลอมเสียด้วย
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“หลี่มู่ล่ะ? ให้มันมาพบข้า”
หวงเหวินหย่วนประเมินสิ่งก่อสร้างทั้งในและนอกที่ว่าการอำเภอใหม่ พลางวางท่าสั่งการ
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าเรื่องที่อำเภอขาวพิสุทธิ์กำลังจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องจริงแน่นอน เพราะเพียงเสี้ยวพริบตาที่ก้าวเข้ามาในอำเภอขาวพิสุทธิ์ เขาก็สัมผัสได้ว่าในอากาศเต็มไปด้วยพลังฟ้าดินเข้มข้น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกฝนที่เฝ้าถวิลหาแม้ยามฝัน
เขารู้สึกว่าแค่ตัวเองหายใจก็มีพลังฟ้าดินมหาศาลไหลเข้ามาในร่าง ทุกครั้งที่หายใจพลังล้วนเพิ่มขึ้นได้
นี่ทำให้เขายินดีจนแทบคลั่ง
โอกาสยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้าตัวเองแล้ว
“เรียนใต้เท้า ใต้เท้าหลี่…ปิดด่านฝึกฝน ยังไม่ออกมาขอรับ” เฝิงหยวนซิงเอ่ยอย่างลังเล
จิตใจของเขาว้าวุ่น
“ให้มันมาพบข้า” หวงเหวินหย่วนวางอำนาจบาตรใหญ่
มิน่าเล่า หลี่มู่คนนี้ว่ากันว่าเป็นแค่จิ้นซื่อเท่านั้น แต่หลังจากมาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์จู่ๆ ก็เหมือนจะเริ่มตื่นขึ้น โยนพู่กันจับอาวุธ พลังเพิ่มพุ่งพรวด หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แทบจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นหมูก็ฝึกจนเป็นเซียนได้
บ่าวรับใช้ข้างกาย สาวใช้ เหล่าองครักษ์ของเขาก็เริ่มทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเจ้านาย ลงมือจัดข้าวของในที่ว่าการอำเภอกันแล้ว
“คือว่า…ใต้เท้าหลี่เวลาปิดด่านจะอยู่ในห้องลับด้านนอก ที่นั่นวางค่ายกลเอาไว้ หากพวกข้าไม่รายงานก็ไม่อาจเข้าไปได้เลย ได้แต่รอเขาออกมาเท่านั้น…” เฝิงหยวนซิงลองเกลี้ยกล่อม
เขาคิดจะรักษาสถานการณ์ของคนพวกนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยไปรายงานหลี่มู่ให้เตรียมตัวล่วงหน้า
“หืม?” หวงเหวินหย่วนกวาดสายตาไป สายตาคมปลาบประดุจดาบ
พวกเฝิงหยวนซิงสัมผัสได้ว่ารัศมีอำนาจของชายหนุ่มกดดันมาทันที แรงกดดันมหาศาลนั้นราวยอดเขากดทับลงมา ทำให้พวกเขาทั้งหลายใกล้จะหายใจไม่ออก
“อะไรนะ? จะให้ข้ารอมัน?” หวงเหวินหย่วนกล่าวอย่างไม่พอใจ
คราวนี้ ผู้อาวุโสหลิวผมขาวใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ไม่พูดมาโดยตลอดพลันเอ่ยปาก “เดี๋ยวก่อน…ใต้เท้าเฝิงใช่หรือไม่? ข้าถามเจ้าหน่อย ที่ว่าการแห่งนี้สร้างใหม่อย่างนั้นหรือ? สวนข้างบนตรงนั้นต่างหากถึงจะเป็นที่ว่าการเก่า?”
เฝิงหยวนซิงรีบตอบ “เรียนท่านเซียนชรา เป็นเช่นนั้นขอรับ หลังจากใต้เท้าหลี่มาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เปลี่ยนที่ว่าการเก่าเป็นสถานที่พักอาศัยส่วนตัว เพื่อจะได้สะดวกในการบริหารดูแล ใต้เท้าหลี่ออกเงินเองในการสร้างที่ว่าการแห่งนี้”
หลิวฉงยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “อย่างนี้นี่เอง…เอาละ พวกเจ้าถอยไปเถอะ รอหลี่มู่ออกจากด่านเมื่อใดก็ให้เขามาพบคุณชายข้า”
พวกเฝิงหย่วนซิงถอยออกไป
หวงเหวินหย่วนกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “เหตุใดผู้อาวุโสหลิวต้องรอด้วย จับเจ้าหลี่มู่นี่ฆ่าเสียเลยจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว ชักช้าจะเกิดเรื่องยุ่งยากเอา”
หลิวฉงตอบอย่างเคร่งขรึม “หลี่มู่คนนี้จัดการยากพอตัว เมื่อครู่ข้าลอบสำรวจแล้ว ในที่ว่าการอำเภอเก่าพลังแน่นหนา พลังฟ้าดินราวกระแสคลื่นคลั่งน่ากลัวยิ่งนัก พลังจิตวิญญาณของข้าไม่อาจแทรกซึมเข้าไปข้างในได้ เห็นได้ว่าคนคนนี้ทำอะไรบางอย่างไว้กับอำเภอขาวพิสุทธิ์ ข้าไม่มั่นใจว่าจะโจมตีที่ว่าการเก่านั่นได้…ดังนั้นอย่าวู่วาม”
หวงเหวินหย่วนถามอย่างตกใจ “แม้แต่ผู้อาวุโสหลิวยังไม่มั่นใจ?”
เขารู้ ผู้อาวุโสหลิวเมื่อห้าสิบปีก่อนก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์แล้ว พลังฝึกในตอนนี้ยิ่งล้ำลึกยากเกินหยั่ง แต่กลับไม่มีความมั่นใจว่าจะจัดการหลี่มู่?
หลิวฉงเอ่ยขึ้นอีก “หลี่มู่เจ้าเด็กนี่เจ้าเล่ห์นัก ข้าทายว่าครั้งนี้อำเภอขาวพิสุทธิ์เกิดเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ จะต้องเป็นเพราะในที่ว่าการอำเภอเก่ามีโชคอะไรบางอย่างขึ้น ดังนั้นมันจึงยึดที่ว่าการเก่าเอาไว้เป็นของตน…หากฝืนโจมตีไป ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่าสังหารมันได้ แต่ก็กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำลายโอกาสในที่ว่าการเก่า หรือไม่หลี่มู่อาจหนีไปได้ กลับจะไม่เป็นผลดีเสียเปล่า”
หวงเหวินหย่วนพยักหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไร “ข้าเข้าใจแล้ว ยังเป็นผู้อาวุโสหลิวที่คิดได้รอบคอบนัก เช่นนั้นก็รอก่อน รอหลี่มู่ออกจากการเก็บตัว ค่อยล่อมันออกมาจากที่ว่าการเก่าแล้วสังหารมันเสีย”
……
สองวันต่อมา พวกหวงเหวินหย่วนก็ยังไม่ได้พบหลี่มู่
เพราะหลี่มู่ปิดด่านฝึกตนอยู่ตลอด
จากการเอ่ยเตือนจากหลิวฉง หวงเหวินหย่วนที่ใจร้อนรนเลยทำได้แค่อดทนรอ เขาเดินเตร็ดเตร่สำรวจในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ไม่นานก็พบว่ามีเพียงในที่ว่าการอำเภอเท่านั้นพลังฟ้าดินถึงจะหลอมรวมและเข้มข้น หากก้าวออกมานอกที่ว่าการ พลังวิญญาณในฟ้าดินด้านนอกจะกลับคืนสู่สภาพปกติ
“เป็นค่ายกลที่ยอดเยี่ยมมาก พอๆ กับค่ายกลป้องกันสำนักเทพของพวกเราเลย”
หลิวฉงให้ความสำคัญขึ้นมาแล้ว
หวงเหวินหย่วนลอบสอดแนมอาณาเขตที่ว่าการเก่าหลายครั้ง แต่ก็คว้าน้ำเหลว
เขายากจะรับได้ว่า ตัวเองไม่อาจก้าวเข้าไปข้างในได้ด้วยพลังของตน
เขาเปลี่ยนความสนใจ เริ่มถามเรื่องเกี่ยวกับฮวาเสี่ยงหรงในอำเภอ
ทีแรกยังมีคนตอบอย่างกระตือรือร้น ทว่าภายหลังคนในอำเภอเริ่มมองออกว่าหนุ่มคนนี้คิดไม่ซื่อ จึงเมินเฉยไป ด้วยเหตุนี้หวงเหวินหย่วนจึงโมโหลงมือทำร้ายคน สุดท้ายมือปราบที่ว่าการล้อมเขาเอาไว้ ดีที่เฝิงหยวนซิงตั้งตัวทัน และคลี่คลายความขัดแย้งอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ
ประชาชนและมือปราบที่ถูกทำร้ายถูกส่งมารักษาตัวที่โรงหมอของที่ว่าการอำเภอ
“ที่แห้งแล้งกันดาร ประชาชนต่ำทราม…ชาวบ้านสารเลวพวกนี้สมควรฆ่าทิ้งให้หมด” หวงเหวินหย่วนกลับมาถึงห้องก็ยังคงยากจะระงับโทสะ เขาอยู่ที่ทุ่งปิดภูผาเคยถูกกระทำแบบนี้ด้วยเสียที่ไหน
“คุณชาย ไม่เช่นนั้นพวกเราแอบลงมือฆ่าประชาชนชั่วและขุนนางเลวพวกนั้นให้หมด เพื่อระบายโทสะท่าน” องครักษ์ชายชรารูปร่างกำยำและมีแผลดาบบากหน้าคนนั้นพูดด้วยจิตสังหารเย็นยะเยือก
หวงเหวินหย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนดวงตาจะเป็นประกาย พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี ให้บทเรียนพวกมันสักหน่อย ชาวบ้านเลวพวกนี้บอกว่าหลี่มู่รักประชาชนเหมือนลูกไม่ใช่รึ? ข้าจะถือโอกาสนี้ฆ่าพวกมัน ดูซิว่าต้องฆ่าสักกี่คนถึงจะบีบมันมาออกมาได้”
……
ในห้องหนังสือ
หลี่มู่ที่อยู่ในสภาวะฌานสามวันสามคืนเต็ม ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา
“นี่…เราจมดิ่งใน ‘ภาพไท่เสวียนผมขาว’ อย่างนั้นหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลี่มู่ตกใจสุดฤทธิ์
เขามองภาพนึกนิมิตรภาพนั้น ทั้งตัวจมดิ่งเข้าไปข้างในอย่างไม่อาจขัดขืนได้ เหมือนจมสู่ห้วงจักรวาล พุ่งผ่านไปในดวงดารา กลุ่มดาว ดาราจักรมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา แต่ก็เหมือนเป็นชั่วนิจนิรันดร์ พลังงานต่างๆ ในจักรวาลเขาล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน
เขามองเห็นการโคจรของหมู่ดาว การผันเปลี่ยนของดาราจักร การเกิดดับของดวงดารา…
ความรู้สึกประหลาดแบบนั้นยากจะบรรยายได้
‘ภาพไท่เสวียนผมขาว’ ช่างลึกซึ้งจริงๆ
หลี่มู่พูดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณอ่อนล้าเป็นระลอกๆ
เห็นได้ชัดว่าหากไม่ใช่เพราะพลังจิตวิญญาณถูกใช้ไปจนหมดสิ้น เขาอาจจะจมอยู่ในโลกนึกนิมิตรภาพนี้และออกมาเองไม่ได้
แต่ผลของภาพนึกนิมิตรปรากฏอยู่ที่ไหนกัน?
หลี่มู่กวาดตามองร่างของตัวเอง ก็พบว่าพลังจิตวิญญาณไม่ได้เพิ่มขึ้น ปราณแท้ภายในกายก็ไม่เห็นเพิ่มขึ้นมา กายเนื้อไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น เทียบกับก่อนนึกนิมิตรแล้ว พลังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ความอ่อนล้าโจมตีมาอีกระลอก
หลี่มู่ไม่เสียเวลาขบคิดเรื่องนี้อีกต่อไป แต่โคจรวิชาก่อนกำเนิด โคจรมหาจักรวาล ปรับสมดุลและฟื้นฟูพลัง ความเหนื่อยล้าจึงค่อยๆ สลายไป พลังจิตวิญญาณกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าเข้าฌานครั้งนี้ โลกภายนอกจะผ่านไปกี่วันแล้ว”
เขาลุกขึ้นยืน
สายตาของเขาปรายผ่านกระจกบานหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เอ๋? นี่มัน…” เขาตกใจยกใหญ่ พบว่าผมสั้นดกดำราวเข็มเหล็กของตนกลับ…เปลี่ยนสีเสียแล้ว?
หลี่มู่กระโดดมาดูที่หน้ากระจกอีกครั้ง
“เฮ้ย สีควันบุหรี่? นี่เป็นสีผมยอดนิยมของประเทศจีนเชียวนะ ข้าย้อมผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…” เขาค่อนข้างมึนงง เมื่อลองคิดดู หรือจะเป็นผลจาก ‘ภาพไท่เสวียนผมขาว’ ที่เปลี่ยนสีผมของผู้ฝึกฝน?
ผมขาว?
ก็คือเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีขาว?
นี่มันเป็นประโยชน์บ้าบออะไรกันเนี่ย
ไร้สาระจริงๆ
ข้างในของ ‘ทฤษฎีนึกนิมิตบูชาเก้าสวรรค์’ ซึ่งเจ้าของคนเดิมพยายามซ่อนเอาไว้ ภาพที่จักรพรรดิฉินตะวันตกเรียกว่าเป็นสมบัติล้ำค่า กลับมีประโยชน์ไร้สาระแบบนี้? นี่คงไม่ใช่ไอ้บ้าว่างจัดคนไหนจงใจเล่นตลกหรอกใช่ไหม?
หลี่มู่บ่นอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขายื่นมือจับๆ ดู เป็นผมของตัวเองจริง เปลี่ยนเป็นสีควันบุหรี่แล้วจริงๆ
เขาฉีกยิ้มให้กับตัวเองในกระจก
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย หลังจากผมเปลี่ยนเป็นสีควันบุหรี่เขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น สง่างามขึ้นอีกมาก…อืม นี่ก็คือรูปลักษณ์บ้าคลั่งมีเสน่ห์เหลือร้ายที่ว่ากันในนิยายล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ น่าสนใจ
หลี่มู่สุขีปรีดา
ในขณะที่เขากำลังมีความสุขอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงร้อนรนของเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงดังลอยมา
“คุณชาย คุณชายขอรับ ที่ว่าการเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ท่านต้องออกจากปิดด่านแล้ว…”
หลี่มู่เปิดประตู
ด้านนอกประตู เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่สุขุมมาโดยตลอดมีสีหน้าท่าทางร้อนรนและโกรธแค้น เขาเข็นรถเข็นมาอย่างรีบร้อน “คุณชาย ในเมืองเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น ชาวบ้านสิบคนกับมือปราบอีกหกคนถูกฆ่าตาย ศพวางเรียงอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ…”
อะไรนะ?
หลี่มู่ตกใจมาก
เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร?
พลังจิตวิญญาณของเขากระตุ้นค่ายกลฮวงจุ้ย แค่กวาดมองก็สัมผัสได้ทันทีว่าที่อำเภอมีกลิ่นอายพลังต่างถิ่นเพิ่มมาสิบกว่าสาย หนึ่งในนั้นมีสามสายแข็งแกร่งอย่างมาก บรรดานั้นมีขั้นฟ้าประทานสูงสุด ส่วนที่เหลืออีกสองเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์ กลิ่นอายพลังแปลกตา ไม่เคยพบเจอมาก่อน
มีคนนอกเข้ามาเยือน
“เกิดอะไรขึ้น? ไปดูกัน”
สีหน้าของหลี่มู่เคร่งขรึมทันใด
……
หน้าประตูที่ว่าการใหม่
ศพสิบหกร่างวางเรียงรายเป็นระเบียบ
เลือดสดๆ ไหลมารวมเป็นแอ่ง และแข็งตัวเป็นน้ำแข็งจากอากาศอันหนาวเหน็บ
เสียงร่ำไห้เศร้าโศกจากญาติพี่น้องของผู้ตายลอยมาปริ่มจะขาดใจ ผู้ตายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ล้วนเป็นเสาหลักของบ้าน หญิงสาวที่สูญเสียสามีร้องไห้ตีอกชกหัวเหมือนฟ้าจะถล่มลงมา ส่วนผู้เฒ่าผมหงอกที่สูญเสียบุตรชาย เมื่อได้เห็นบุตรของตนที่ตายไปก็เป็นลมอยู่ตรงหน้าประตูที่ว่าการทันที
ในอากาศคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด
ภายในอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่มีเรื่องที่ทำให้คนโศกสลดแบบนี้มานานมากแล้ว
ครั้นเห็นหลี่มู่ปรากฏตัวขึ้น เหล่าประชาชนหมอบเคารพกับพื้น
“ใต้เท้าเจ้าเมืองมาแล้ว”
“ใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วย”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อตื่นสิ…ฮือๆ วันหลังสือโถวจะเชื่อฟัง ไม่แอบหนีไปเล่นน้ำอีกแล้ว” มีเสียงร้องไห้ของเด็กไร้เดียงสา
หลี่มู่มองไปยังพวกเฝิงหยวนซิง ถามเสียงต่ำว่า “เกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นฆาตกร?”
“เรื่องนี้…” เฝิงหยวนซิงพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เขาไม่ใช่คนโง่ ชายฉกรรจ์สิบหกคนที่ตายไปเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่โมโหและออกหน้าเพราะหวงเหวินหย่วนพูดจาแทะโลมฮวาเสี่ยงหรงเช้าวันนี้ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่แรงจูงใจชัดเจนมาก ฆาตกรจะเป็นใครไปได้ ต้องเป็นใต้เท้าขุนนางเมืองคนใหม่แน่นอน แต่ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเกี่ยวโยงกับหลายฝ่าย ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เขาน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก
หลี่มู่คำรามอย่างโมโห “บอกมา มันเป็นใคร? มีอะไรพูดให้ชัดต่อหน้าพ่อแม่พี่น้องทุกคน”
เขาโมโหมาก
โมโหมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นใคร วันนี้มันต้องจ่ายชดใช้จากการกระทำของมัน