จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 376 จักรพรรดิฉินหมิง
สีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปของหลี่มู่ทำให้พวกสวีเซิ่งชิวอิ่นต่างแปลกใจ
“น้องสาม เป็นอะไรไป…” ชิวอิ่นถามอย่างสงสัย
แต่ว่าเขายังพูดไม่ทันจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน
ความรู้สึกหวาดผวาอย่างหนึ่งถาโถมเข้ามา
พริบตานั้น คนสำนักขุนคีรีทั้งระดับบนและล่างต่างหวาดกลัวราวกับมีเทพมารลงมาเยือนอย่างพิโรธ
เห็นทางทิศตะวันตกฝั่งเมืองหลวงฉินของจักรวรรดิฉินตะวันตกมีแสงอรุโณทัยสายหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นจึงเป็นฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าไปครึ่งหนึ่ง กระตุ้นเมฆาอากาศ บดอัดทั้งผืนฟ้า เหมือนจะขยี้ฟ้าดินผืนนี้ให้แหลกลาญ กำลังครอบลงมายังสำนักขุนคีรีโดยตรง
ยอดเขาหลักสำนักขุนคีรีสูงสามพันจั้ง เมื่ออยู่ใต้ฝ่ามือที่ใหญ่จนเทียบไม่ติดข้างนี้ก็ประหนึ่งบเนินดินเล็กๆ
เมื่อพวกหลี่มู่เงยหน้าขึ้นไปต่างจิตใจสั่นสะท้าน มือข้างนี้ต่อให้เป็นเส้นลายมือบางๆ ก็ยังใหญ่ดุจทางช้างเผือก
“อะไร?”
“นี่คือ…เทพมารอย่างนั้นหรือ?”
“สวรรค์…”
ลูกศิษย์สำนักขุนคีรีนับไม่ถ้วนต่างเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ไปทันที
ฝ่ามือมหึมาข้างนั้นปกคลุมลงมาช้าๆ อากาศถูกบีบอัดจนระเบิด
ทุกคนต่างรู้สึกว่าหน้าอกถูกกดจนหัวใจแทบจะปลิ้นออกมา
ลูกศิษย์ที่พลังค่อนข้างต่ำเลือดพุ่งออกจากปากและจมูก เป็นลมหมดสติไปแล้ว
“เร็วเข้า รีบเปิด ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ” เจ้าสำนักสวีเยวี่ยตกใจหน้าซีด
ทุกคนต่างมองมือข้างนี้อย่างตื่นกลัว
บนฝ่ามือเต็มไปด้วยลวดลายดาราแน่นขนัด อักขระผสมปนเปกับลายเส้นเต๋า ละม้ายคล้ายโซ่แต่ละเส้นๆ กลิ่นอายเต๋าแผ่กระจาย ข้ามผ่านสายน้ำและขุนเขา ประหนึ่งว่ามาจากโลกอื่น
หลี่มู่รู้สึกเพียงว่าพลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้และจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกในกายเดือดพล่านอย่างรุนแรง มีความรู้สึกเหมือนจะพุ่งตัวออกมา ปานเจอกับศัตรูที่ไม่เจอกันนาน
แต่หลี่มู่ก็วิเคราะห์ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ต่อให้เป็น ‘ไฟจักรพรรดิ’ ซึ่งตนเองพัฒนามาจากพลังของสองจักรพรรดิที่เพิ่งบรรลุใหม่ล่าสุด ก็ยังห่างชั้นจากศัตรูเจ้าของฝ่ามือยักษ์สีทองข้างนี้อีกไกลนัก…
เป็นท่านเซียนที่ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงพูดถึงคนนั้นลงมือหรือ?
ในใจของหลี่มู่เกิดความรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยสู้ไม่ได้ขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้
ก่อนหน้านี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงยามที่ยังไม่บรรลุพลังจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกและยังฝึกฝนพลังตับในพลังธาตุทั้งห้าไม่สำเร็จ เขาก็ยังไม่รู้สึกไร้พลังเช่นนี้
ฝ่ามือข้างนี้หากซัดลงมา เกรงว่าทั้งยอดเขาหลักเขาขุนคีรีคงกลายเป็นเศษฝุ่น
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ จะต้านทานได้หรือไม่?
หลี่มู่ก็ไม่มั่นใจนัก
เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนจะช้า
แต่ทุกอย่างทั้งหมดนี้ อันที่จริงเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตา
ในตอนที่ฝ่ามือทองมหึมาข้างนั้นกำลังจะทับลงมายังยอดเขาหลัก ทันใดนั้นเหตุการณ์ประหลาดที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
หมาป่ายักษ์สีเงินตัวหนึ่งคำรามพลางกระโจนมาจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ รวดเร็วเป็นอย่างมาก องอาจงดงามราวหมาป่าสวรรค์ เหมือนฉีกทึ้งอากาศแล้วทะยานออกมาจากภายใน พุ่งมากัดฝ่ามือยักษ์สีทองข้างนั้นเอาไว้…
การเปลี่ยนแปลงอันปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้รวดเร็วนัก ต่างตั้งตัวกันไม่ติด รวมไปถึงหลี่มู่ด้วย
“กรรร!”
หมาป่ายักษ์สีเงินส่งเสียงคำราม
เขี้ยวคมประดุจเสาค้ำสวรรค์กัดฝ่ามือยักษ์เอาไว้แล้วกระชากเต็มกำลัง จากนั้นจึงเห็นว่าฝ่ามือยักษ์พลังมหาศาลที่กดอัดลงมาดั่งเทพมารในห้วงดาราสมุทร ลวดลายดาราต่างๆ ส่องกะพริบ สุดท้ายก็ต้านเขี้ยวของหมาป่าสวรรค์สีเงินเอาไว้ไม่อยู่ เสียงปะทุระเบิดดังขึ้นก่อนถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ โดยพลัน
ของเหลวสีทองคล้ายเลือดไหลรินลงมาจากฟ้า
“พี่ใหญ่มาแล้ว”
หลี่มู่ตั้งสติกลับมาแล้วก็พลันนึกอะไรได้
ในที่สุดพี่ใหญ่กัวอวี่ชิงก็มาถึงแล้ว
ชิวอิ่นก็ตั้งสติกลับมาได้เช่นกัน เอ่ยขึ้นอย่างลิงโลดว่า “ในที่สุดพี่ใหญ่ก็มาแล้ว”
ถึงแม้พวกสวีเซิ่ง สวีเยวี่ย และคนของสำนักขุนคีรีจะไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ที่หลี่มู่และชิวอิ่นกล่าวถึงเป็นเทพไท้องค์ใด แต่ดูจากสีหน้าเหมือนยกเขาออกจากอกของทั้งสองคน ใจก็โล่งไปเยอะทันที
“ใครขวางข้า?”
เสียงที่ทั้งทรงอำนาจและชวนให้คนสั่นสะท้านดังมาจากทิศตะวันตกดุจมังกรโจนทะยาน
ฝ่ามือยักษ์สีทองที่แหลกสลายแปรเปลี่ยนเป็นร่างเงาเลือนรางร่างหนึ่งสูงหลายร้อยจั้ง หัวจรดฟ้า ยืนตระหง่านกลางนภา ให้ความรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางจักรวาลเวิ้งว้างและกำลังก้มลงมองดาวดวงหนึ่ง ร่างเลือนรางนั้นสวมมงกุฎจักรพรรดิ อยู่ในชุดคลุมมังกร สวมรองเท้าจักรพรรดิ ข้างเอวมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ทำให้ผู้คนแค่มองก็เกิดความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากจะลงไปหมอบกราบอย่างอดไม่ได้
“เป็นจักรพรรดิฉิน”
สวีเซิ่งพลันร้องเสียงหลง
ในใจของทุกคนต่างสั่นสะท้าน
จักรพรรดิฉิน?
จักรพรรดิฉินหมิง จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของฉินตะวันตกน่ะรึ?
เล่ากันว่าจักรพรรดิฉินหมิงกักตนอยู่ในดินแดนแห่งบรรพชนราชวงศ์มิใช่หรือ?
ลือกันว่าเมื่อสี่สิบปีก่อน อายุขัยของจักรพรรดิฉินหมิงใกล้หมดลง จึงปิดด่านอยู่ในดินแดนแห่งบรรพชนเพื่อทะลวงขั้นเทวะ เอ่ยว่าหากไม่ก้าวสู่ขั้นเทวะจะไม่ออกมาเด็ดขาด ตราบจนวันนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าเขาออกมา ต่อให้เป็นก่อนหน้านี้ที่เจิ้นซีอ๋องก่อกบฏ ชายแดนฉินตะวันตกถูกยึด เขาก็ยังไม่ออกจากปิดด่านมาดูแลจัดการงานราชกิจ ดังนั้นจึงมีคนคาดเดาว่าจักรพรรดิฉินตะวันตกผู้นี้อาจจะทะลวงขั้นได้แต่ธาตุไฟเข้าแทรกตายไปแล้ว ทว่าตอนนี้…
จักรพรรดิฉินออกจากการปิดด่านแล้ว?
อีกทั้งดูจากอำนาจบารมี พลังแท้จริงของจักรพรรดิฉินหมิงช่างน่าเหลือเชื่อนัก อยู่เหนือกว่า ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงก่อนนี้ไปไกลเสียอีก
ต่อให้เป็นคนในเก้ายอดคนก็ได้เพียงเท่านั้นเองกระมัง
ในใจของหลี่มู่ก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
จักรพรรดิฉินน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ?
ตอนนี้ หมาป่ายักษ์สีเงินยวงที่อยู่ไกลออกไปตัวนั้นคำรามและยืนสองขา ประกายแสงสีเงินรวมตัวกัน สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างมนุษย์ใหญ่โต
เงาร่างนี้เดินมาทีละก้าวๆ แค่ไม่กี่ก้าวก็ข้ามขุนเขาและสายน้ำมาถึงหน้ายอดเขาหลักของสำนักขุนคีรี
เขาสวมชุดผ้า ไว้หนวดเครา ใบหน้าเหลี่ยม หน้าตาองอาจ ชุดที่สวมใส่เรียบง่ายธรรมดา ดูเหมือนนายพรานคนหนึ่ง ร่างไม่ได้บดบังฟ้าดินอย่างจักรพรรดิฉินหมิง แต่รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมาไม่ด้อยไปกว่ากันเลย อากาศและเส้นแสงข้างกายคล้ายจะรับพลังน่าครั่นคร้ามในกายของเขาไม่ไหว จึงบิดเบี้ยวราวคลื่นน้ำวน
หากไม่ใช่กัวอวี่ชิงนายของวิหารเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าคนปัจจุบันแล้วจะเป็นใคร?
“จักรพรรดิฉิน ร่างจริงท่านไม่ได้มา ท่านไม่ใช่คู่มือของข้า ถอยไปเสียเถิด” กัวอวี่ชิงเอ่ยปาก น้ำเสียงราบเรียบ
ร่างเงามหึมาของจักรพรรดิฉินหมิงก้มหน้ามอง ส่งเสียงแปลกใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว “เป็นเจ้านี่เอง…ลืมคำสาบานที่เจ้าเอ่ยเอาไว้ในปีนั้นเสียแล้วรึ?”
กัวอวี่ชิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลำบากพระองค์ต้องเป็นห่วงแล้ว แต่ว่าฝ่าบาทปิดด่านกักตนเมื่อสี่สิบปีก่อน แล้วรู้เรื่องในช่วงสี่สิบปีนี้ได้อย่างไร?” เรื่องที่เขาเอ่ยคำสาบานยังไม่ถึงสิบปีก่อนด้วยซ้ำ ว่ากันตามตรรกะทั่วไปแล้ว จักรพรรดิฉินที่ปิดด่านไม่น่าจะรู้เรื่องนี้
“ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้” เสียงของจักรพรรดิฉินแฝงด้วยอำนาจเด็ดขาดอย่างจักรพรรดิและความมั่นใจอย่างผู้แข็งแกร่ง ประดุจสามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เทพมารกรีดร้อง มีพลังกดดันไร้ใดเทียมบางอย่าง
“จักรพรรดิฉินอดทนอดกลั้นจริงๆ เสียด้วย เมื่อสี่สิบปีก่อนคนภายนอกรู้แค่ว่าท่านอยู่ขั้นเหนือมนุษย์ระดับสมบูรณ์ แต่แท้จริงก้าวสู่ครึ่งขั้นเทวะแล้ว” กัวอวี่ชิงพูดต่อ “แต่เวลาสี่สิบปีไม่มากพอที่จะทำให้ครึ่งขั้นเทวะคนหนึ่งไปถึงครึ่งขั้นทะลวงสวรรค์ได้”
“พลังลึกล้ำของข้าใช่สิ่งที่พวกคนเถื่อนแห่งทุ่งหญ้าคาดถึงได้เสียที่ไหน” น้ำเสียงของจักรพรรดิฉินหมิงหยิ่งยโส เพียงพูดฟ้าดินก็สั่นสะเทือน มวลเมฆลอยคล้อย สรรพชีวิตทั้งหลายตัวสั่นงันงก
ร่างของกัวอวี่ชิงยืนตระหง่านครึ่งฟ้า วงรัศมีสีเงินแต่ละชั้นแผ่ระลอกมาสลายพลังอำนาจของจักรพรรดิฉิน ปกป้องฟ้าดินด้านตะวันออกเฉียงเหนือรวมถึงยอดเขาหลักสำนักขุนคีรีเอาไว้ด้านใน เทียบกับรัศมีอำนาจของจักรพรรดิฉินหมิงแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ผู้แข็งแกร่งทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ เหมือนจะแบ่งโลกนี้ออกเป็นสองส่วน ต่างครอบครองพื้นที่คนละครึ่ง
นี่คือพลังที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งชั้นยอด เปรียบได้กับเทพเซียนมารปีศาจ
กัวอวี่ชิงตอบกลับ “ชาวหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้ารู้จักต่อต้านการรุกราน แต่เหตุใดจักรพรรดิฉินก้มหัวให้กับมารร้ายนอกพิภพ?”
พลังมาถึงระดับเขา ทำไมจะดูไม่ออกว่าในพลังมืดฟ้ามัวดินของจักรพรรดิฉินหมิงแฝงด้วยกลิ่นอายของเทพปีศาจนอกพิภพ เพียงแต่เขาแปรพลังปีศาจชนิดนี้มาเป็นพลังของตัวเองหมดแล้วเท่านั้น
จักรพรรดิฉินหมิงแค่นหัวเราะ จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆ ข้าปกครองใต้หล้า เหนือกว่าใครในปฐพี ไม่มีใครไม่ศิโรราบต่อข้า ไม่มีพลังใดที่ไม่ยอมให้ข้าใช้ มารร้ายนอกพิภพศิโรราบต่อข้าเอง จะบอกว่าข้าก้มหัวได้อย่างไร? นายแห่งวิหารเทพหมาป่า ร้างห่างไปห้าปี เจ้าไม่มีอำนาจเช่นในอดีตอีกแล้ว ไม่คู่ควรเป็นคู่มือของข้า”
กัวอวี่ชิงส่ายหน้า “หัวแข็งดื้อดึง เล่นกับไฟจะถูกไฟเผาเอา จักรพรรดิฉินรีบกลับตัวกลับใจเสียเถิด”
“ผู้มีสายตาคับแคบถึงจะกลับตัว เส้นทางของข้าคือมรรคาอันยิ่งใหญ่สู่สวรรค์” จักรพรรดิฉินหมิงกล่าวอย่างทั้งมั่นใจและเผด็จการ ร่างปกคลุมฟ้าดิน แผ่กระจายกลิ่นอายแข็งแกร่งไร้เทียมทานลงมา “วันนี้ข้าจะทำลายสำนักขุนคีรีให้สิ้นซาก เจ้าจะขวางข้าอย่างนั้นรึ?”
“จักรพรรดิฉินกลับไปเถิด” กัวอวี่ชิงไม่ถอยให้แม้ครึ่งก้าว
ร่างของเขาแผ่ประกายแสงสีเงินราวดวงอาทิตย์มหึมา รัศมีแผ่ระลอก กลิ่นอายพลังที่อ่อนละมุนแต่แข็งแกร่งกินพื้นที่ไปครึ่งหนึ่งของผืนฟ้าและผืนดิน ไม่ว่าจักรพรรดิฉินหมิงจะบีบคั้นเพียงใดก็ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้แม้แต่น้อย
“วิหารเทพหมาป่าแห่งที่ราบทุ่งหญ้า ดี ข้าจะจำไว้” สุดท้าย จักรพรรดิฉินก็จากไป
การต่อสู้ไม่ได้ปะทุขึ้น
เงาร่างจักรพรรดิสีทองที่ปกคลุมท้องฟ้าฝั่งหนึ่งของเขาสลายไปจากฟ้าดินช้าๆ คลับคล้ายแสงอาทิตย์อัสดง
แต่กลิ่นอายสยบฟ้าดินนั่นกลับคงอยู่นานไม่จางหาย ทำให้สรรพชีวิตในรัศมีพันลี้ต่างตัวสั่นงันงกราวกับเผชิญวันสิ้นโลก พื้นที่รอบนอกเทือกเขาขุนคีรี สัตว์ป่าและเหล่านกนับไม่ถ้วนล้มตายเพราะตกใจกลัว สิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่อาจรับพลังกดดันที่สยบใต้หล้าเช่นนี้ได้เลย
และนี่ก็เป็นแค่ภาพฉายจากจิตวิถียุทธ์ส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น ตัวจริงไม่ได้มาเยือน
ครึ่งขั้นทะลวงสวรรค์ประหนึ่งเทพไท้เซียนมาร
กัวอวี่ชิงมองไปทางเมืองฉิน สายตาเคร่งขรึม
จักรพรรดิฉินปิดด่านล้วนบอกว่าเพื่อทะลวงขั้นมหาเทวะ แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะเดินทางสายมารแล้ว
จักรพรรดิฉิงหมิงในยามนี้สำเร็จวิชามาร นอกจากคนจำนวนเพียงหยิบมือใต้ฟ้านี้แล้วยังจะมีใครต้านทานได้?
นี่คือจักรพรรดิที่บ้าอำนาจ และก็เป็นคนบ้าอำนาจที่มีความอดทน กัวอวี่ชิงรู้ว่าเมื่อครู่จักรพรรดิฉินหมิงล่าถอยไปไม่ใช่เพราะเกรงกลัวตน แต่เพราะเทียบกับการทำลายสำนักขุนคีรีแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าต้องไปจัดการ เรื่องราวต่างๆ มีหนักมีเบา เป็นจักรพรรดิจะลงมือตามแต่ใจชอบมิได้ การตัดสินใจใดๆ ก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือผลประโยชน์ เมื่อจัดการเรื่องที่สำคัญกว่าเรียบร้อยแล้ว จักรพรรดิฉินหมิงไม่ปล่อยสำนักขุนคีรีไว้บนโลกแน่
เชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกอดทนและน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิดไว้มาก
และทุ่งปิดภูผาที่ปกปักรักษาชะตาของจักรวรรดิฉินตะวันตกแตกกระสานซ่านเซ็นตามการแตกดับของ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ย ตอนนี้ผู้ใดจะควบคุมเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกได้?
กัวอวี่ชิงกระทั่งคาดเดาว่าการตายของ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยและปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยาง น่ากลัวว่าบางทีมือมืดที่แท้จริงคงไม่ใช่มารร้ายนอกพิภพ แต่เป็นราชนิกุลฉินตะวันตกนี่เอง
ตอนนี้เอง ประกายแสงเพียงกะพริบ
หลี่มู่กับชิวอิ่นก็มาถึงข้างกายกัวอวี่ชิง
……………………………………………………