จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 384 จิตแพทย์
มาถึงโลกใบนี้นานขนาดนี้แล้ว เขาได้เห็นอะไรมาเยอะ เจออะไรมาก็มาก นับตั้งแต่โมโหแล้วขุดรากถอนโคนพรรคเสินหนงตอนนั้น หลี่มู่ก็ไม่ได้ต่อต้านการฆ่าล้างบางอะไรเป็นพิเศษ
ในนั้นยังมีเหตุผลสำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ ในโลกที่เป็นไปตามกฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ไร้กฎระเบียบต่างจากดาวโลกที่มีอารยธรรม โดยพื้นฐานแล้วมีเพียงดาบในมือเท่านั้นถึงจะผดุงความยุติธรรมได้
ดังนั้นเมื่อได้ยินแผนชั่วของนักพรตพวกนี้ ได้ยินคำพูดไร้ยางอายของทหารนอกหุบผามรกตพวกนั้น หลี่มู่จึงตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว
คนพวกนี้อยู่บนโลกก็เป็นอสุรกาย เป็นต้นเหตุแห่งหายนะ
พวกเขาวรยุทธ์สูงส่ง ฐานะไม่ธรรมดา แต่ใจกลับไม่มีความเมตตาแม้แต่นิด
คนแบบนี้ ไม่สิ เรียกคนไม่ได้แล้ว
ปล่อยให้ตัวพวกนี้อยู่บนโลกไปจะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อผู้มีจิตใจดี ก็เหมือนกับวัชพืชที่เจริญเติบโตในทุ่งนา ในเมื่อหลี่มู่มีพลังถอนหญ้าพวกนี้ทิ้ง แล้วไยจะไม่ลงมือเล่า?
“โฮ่ง ข้าก็จะไปดูหน่อย” เจ้าฮัสกี้เห็นหยวนโห่วจากไปก็อดรนทนไม่ไหว ไล่ตามไปเช่นกัน
ดูเรื่องสนุกๆ อย่างนี้มันเชี่ยวชาญที่สุด และก็ชอบที่สุดด้วย
ไม่นาน นอกหมู่บ้านก็มีเสียงน่าสังเวชดังระงม
เหล่าประชาชนในหุบผามรกตล้วนหวาดหวั่น ตัวสั่นงันงก
พวกเต้าเจินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมาคารวะขอบคุณหลี่มู่โดยมีเต้าเจินนำ
“ขอบคุณนักพรตจางมาก” เต้าเจินประสานมือคารวะ “เพียงแต่บางคนด้านนอกอาจจะมีผู้บริสุทธิ์ด้วย ข้าขอบังอาจ ท่านสังหารคนชั่ว ปล่อยคนที่ถูกข่มขู่บังคับได้หรือไม่…”
หลี่มู่มองเขา ประเมินอย่างละเอียดครู่หนึ่ง มองจนกระทั่งเต้าเจินทำตัวไม่ค่อยถูก จึงค่อยถามว่า “ตอนอาจารย์เจ้ามีชีวิตอยู่คงไม่ดีกับเจ้าเท่าไหร่สินะ”
เต้าเจินอึ้งไป รีบเอ่ยว่า “นักพรตจางไยจึงพูดเช่นนี้? ไม่เลย ยามอาจารย์มีชีวิตก็ปฏิบัติกับข้าราวบุตรในไส้ ตัวข้าต่อให้ร่างแหลกละเอียด ก็ไม่อาจทดแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาแม้แต่หนึ่งในหมื่น”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็นก่อนกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงดูดายปล่อยให้เขาเมืองมรกตตกอยู่ในมือคนชั่วได้?”
“นี่…” เต้าเจินไม่คิดว่าคนแปลกหน้าคนหนึ่งอย่างหลี่มู่ พออ้าปากก็จะตำหนิตนเช่นนี้
ไม่รู้ทำไม แต่พริบตานี้เขาพลันเกิดความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาผ่านไป ผู้ที่ตนเผชิญหน้าอยู่คืออาจารย์ที่สิ้นไปแล้ว ในร่างของเด็กหนุ่มชื่อจางซานเฟิงมีรัศมีอำนาจและความน่าเกรงขามที่มีเพียงอาจารย์เท่านั้นจึงจะมีได้
เขาเอ่ยตะกุกตะกัก “ข้า…ไม่อยากให้เขาเมืองมรกตแตกหักรบรากันเพราะข้า ข้า…”
“โง่เง่า” หลี่มู่เอ่ย “เจ้าคิดว่าศึกของสำนักเทพเหมือนเล่นพ่อแม่ลูกกันหรือ หา? เจ้าถอยออกมา เขาเมืองมรกตก็ไม่แตกหักกันแล้ว? เจ้ามองซากศพพวกนี้ข้างกายเจ้า คิดถึงศิษย์ที่ตายเพื่อปกป้องเจ้า แล้วดูสหายที่บาดแผลเต็มร่างข้างๆ เจ้าเหล่านี้…เจ้าถอยมาแล้ว แต่เจ้าว่าเขาเมืองมรกตตอนนี้แตกแยกหรือไม่? เขาเมืองมรกตตกอยู่ในมือใครกัน?”
เต้าเจินมองไปยังสหายทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่เขามองเห็นคือเลือด กระดูกขาว และสายตาโกรธแค้นต่อศัตรู
ความรู้สึกละอายใจถาโถมเข้ามาในใจประดุจคลื่น
นับจากที่อาจารย์แตกดับเขาก็มึนงงหลงทาง คนข้างกายต่างพยายามปกป้องเขาสุดแรง แต่เพราะฐานะของเขาสูงส่ง จะมีใครกล้าใช้คำพูดเข้มงวดรุนแรงเช่นนี้กับเขาบ้าง? ตอนนี้หลี่มู่ตำหนิเขา จึงคล้ายค้อนหนักๆ ทุบเข้าที่หัวใจอย่างรุนแรง ทำให้เขาใจเต้นตัวสั่น
“แต่ว่า…แต่ว่าข้าไม่ใช่เจ้าสำนักที่ดีพอ ข้า…” เต้าเจินอึกๆ อักๆ สีหน้าค่อนข้างสับสน
หลี่มู่ยิ่งแค่นหัวเราะเอ่ย “มีใครเกิดมาแล้วก็เหมาะจะเป็นเจ้าสำนักเลยบ้าง? อาจารย์ของเจ้าหลายปีมานี้อบรมเลี้ยงดูเจ้ามา ไม่ได้สั่งสอนว่าจะเป็นเจ้าสำนักที่ดีได้ยังไงอยู่หรอกรึ? หลายปีมานี้เขาลำบากลำบนสอนสั่ง ต่อให้เป็นสุนัขก็เบิกปัญญาได้แล้ว เจ้ากลับพูดง่ายๆ ประโยคเดียวเช่นนี้ก็ปัดความรับผิดชอบที่เจ้าควรจะเป็นคนแบกรับจนพ้นตัว? ถ้าทำไม่เป็น ไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะทำให้เป็นหรือ?”
เต้าเจินหน้าแดงก่ำทันที ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร
เหล่าสหายข้างกายเขาที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลก็มองเต้าเจินด้วยสีหน้าซับซ้อนเช่นกัน
ช่วงที่ผ่านมานี้ ทำไมพวกเขาจะไม่เศร้าใจกับชะตาของเต้าเจิน ไม่โมโหที่เขาไม่เอาไหน?
แต่เดิมหากเต้าเจินตัดสินใจสู้สุดชีวิตกับพวกเต้าหลิงละก็ ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ ควบคุมเขาเมืองมรกตไว้ในมือตนได้ เต้าเจินเรียนรู้วิชาและเป็นผู้สืบทอดของเจ้าสำนักเฒ่าเต้าฉงหยาง แต่กลับไม่เรียนรู้เล่ห์กลและนิสัยใจคอเจ้าสำนักมา เขาที่เหมือนต้นกล้าดอกไม้ในเรือนกระจกจึงแทบจะเสียสติภายใต้แรงกดดัน นักพรตที่จงรักภักดี เคารพการตัดสินใจของเจ้าสำนักเฒ่า และสนับสนุนเต้าเจินให้เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงทั้งหลาย พวกที่ตายก็ตายไป พวกที่กระจัดกระจายก็กระจัดกระจายกันไป แต่ละคนล้วนท้อแท้สิ้นหวัง
หลี่มู่จ้องเต้าเจิน เอ่ยปากขึ้นอีก “อยากแก้แค้นให้อาจารย์ของเจ้าหรือไม่?”
“เอ๋?” เต้าเจินอึ้ง
“ข้าถามว่าเจ้าอยากแก้แค้นให้เต้าฉงหยางหรือไม่?” หลี่มู่เอ่ย
เต้าเจินตอบไปอย่างไม่รู้ตัว “แก้แค้น? เรื่องนี้…แต่ว่าอาจารย์สู้กับ ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยเสมอกันและบาดเจ็บสาหัส ตายเพราะถูกปีศาจร้ายนอกพิภพลอบโจมตี ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ ปรมาจารย์แห่งยุคใจกว้างตรงไปตรงมา ก่อนตายก็ได้ร่วมมือกับอาจารย์ ข้าจะไปแก้แค้นกับผู้สืบทอดของเขาไม่ได้ ปีศาจร้ายนอกพิภพนั่นก็ถูกสังหารที่นั่นไปแล้ว ข้า…ข้าจะแก้แค้นอย่างไร? นี่…”
หลี่มู่ตัดบทเขาทันที “โง่เง่า สมองหมู”
เต้าเจินหน้าเจื่อน แต่เขานิสัยอ่อนน้อมจึงไม่โกรธ กลับทำความเคารพหลี่มู่อย่างนอบน้อม กล่าวว่า “ผู้น้อยโง่เขลา ขอนักพรตจางโปรดชี้แจ้งแถลงไขด้วย”
หลี่มู่คิดในใจ คนคนนี้ก็ใช่ว่าจะไร้ความสามารถ เพียงแต่นิสัย…ใจอ่อนเกินไป
หลี่มู่พูดอย่างไม่ปรานี “เจ้าก็ไม่คิดดูเล่า หลี่พั่วเยี่ยกับเต้าฉงหยางเป็นบุคคลระดับไหน ทำไมอยู่อย่างสงบมาเป็นพันปีกลับมาท้ารบกันตอนนี้ หรือทั้งสองคนมีชีวิตจนเบื่อแล้ว? เจ้าลองคิดดูอีก ใครกันที่มีพลังและความสามารถ ลงมือในขณะที่ผู้แข็งแกร่งระดับเก้ายอดคนทั้งสองประลองกันได้ นอกจากปีศาจร้ายนอกพิภพแล้ว สำนักตระกูลและยอดฝีมือไร้สังกัดที่ลอบลงมือด้วยพวกนั้น หากไม่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลังจะพร้อมใจกันขนาดนั้นได้อย่างไร? แล้วลองคิดดูอีก เหล่าผู้ผดุงความยุติธรรมที่ร่วมมือกันสังหารปีศาจร้ายนอกพิภพและคนลอบโจมตี ไม่ได้ลงมือเพื่อความถูกต้องแต่หมายฆ่าคนปิดปากใช่หรือไม่…เจ้าตรองเรื่องทั้งหลายในนั้นให้ดี ก็จะพอมองออกว่าความตายของอาจารย์เจ้ารวมถึงหลี่พั่วเยวี่ยเป็นกลอุบาย ไม่ใช่การท้าประลองที่ยุติธรรมอะไรเลย พวกเขาถูกคนเล่นเล่ห์ มิฉะนั้นหลังจากที่พวกเขาตาย เหตุใดไม่ว่าทุ่งปิดภูผาหรือเขาเมืองมรกตถึงได้เกิดการทรยศหักหลังขึ้น? หืม?
“นี่…” เต้าเจินหน้าเปลี่ยนสี
เขาใจหล่นวูบ ถอยหลังไปสามก้าว มองหลี่มู่ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “ท่าน…ความหมายของท่าน…หมายถึงว่า…หมายถึงว่า…” ร่างของเขาสั่นเทา
หากเป็นจริงอย่างที่หลี่มู่ว่า เช่นนั้นทั้งหมดนี้…จะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง
หลี่มู่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “คิดให้ลึกลงไปอีกหน่อย หรือไม่ใช่ว่าในเขาเมืองมรกตมีคนหักหลังเต้าฉงหยางก่อนแล้ว ดังนั้นพวกลอบโจมตีถึงได้ทำลายวรยุทธ์เขาและลอบโจมตีได้สำเร็จง่ายดายปานนั้น? หืม? อาจารย์ของเจ้าก็นับว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุค ทำไมถึงได้มาอบรมสั่งสอนคนโง่เช่นเจ้ากัน”
“ข้า…ขะ..ขะ..ข้า…” สีหน้าท่าทางของเต้าเจินแข็งทื่อ สั่นระริกไปทั้งตัว
ในความคิดเขาพลันมีแสงสว่างฉายวาบ ขับไล่เมฆดำออกไปหมด มองเห็นรายละเอียดบางอย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
จากนั้นสีหน้าของเต้าเจินค่อยๆ เหี้ยมเกรียมขึ้นมา
กลิ่นอายและอารมณ์ความเคียดแค้นแผ่ออกมาจากร่างเขา
หมัดของเขากำแน่น สีแดงจางๆ ก่อตัวในดวงตาอย่างเงียบงัน กลิ่นอายขี้ขลาดอ่อนแอแต่เดิมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นดั่งเหล็กกล้า
แทบจะในเสี้ยวขณะเดียว ดูจากแค่รูปลักษณ์และกลิ่นอายภายนอก เต้าเจินทำให้คนรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขา ยังเป็นเขา
แต่เขา ไม่ใช่เขาอีกแล้ว
สหายคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างกายมองเต้าเจิน เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนกัน
ในดวงตาของพวกเขาต่างฉายแววตื่นเต้นยินดี เพราะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขายินดีอยากจะเห็น แต่ในช่วงเวลานานที่ผ่านมากลับไม่อาจทำได้ แต่ตอนนี้กลับเป็นจริงได้แล้วเพราะคำพูดของเด็กหนุ่มชื่อจางซานเฟิง
หลี่มู่มองไป เห็นว่าโดยพื้นฐานคนพวกนี้ใกล้ถึงจุดเดือด
กระตุ้นได้พอประมาณแล้ว
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าหลี่มู่เยี่ยมยอดขนาดนั้นจริงๆ
นอกจากคำพูดพวกนี้ของหลี่มู่แล้ว ความคิด ความอึดอัด ความสับสน และความเจ็บปวดที่เต้าเจินเผชิญในช่วงที่ผ่านมานี้ก็สะสมจนถึงจุดวิกฤตแล้วเช่นกัน เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ คำพูดเหล่านี้ของหลี่มู่ก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐล้ม ทำให้เต้าเจิน…ระเบิดในที่สุด
“ขอบคุณนักพรตจาง” เต้าเจินเหยียดกายตรง ก้าวเข้ามาคารวะ “ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ ผู้น้อยทราบว่าควรจะทำเช่นไรแล้ว”
“อืม แพะหายซ่อมคอกก็ยังไม่สาย” หลี่มู่พยักหน้า “ชั่วชีวิตนี้ของอาจารย์เจ้า สิ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดมีแค่สองอย่าง หนึ่งคือเขาเมืองมรกต สองก็คือเจ้า เต้าเจิน เดินทางผิดมานาน แต่ก็ถือว่ากลับตัวได้แล้ว…เจ้าไปเถอะ”
หลี่มู่ก็กำลังคิดว่างานจิตแพทย์ชั่วคราวของตนเสร็จสิ้นลงแล้ว ควรจะเดินทางต่อเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าเต้าเจินจะกลับไปเขาเมืองมรกต สยบพวกทรยศ ทำให้สำนักเต๋าอันดับหนึ่งนี้กลับมาเข้าที่เข้าทางได้หรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่หลี่มู่จะควบคุมได้แล้ว
แต่ละคนต่างมีชะตากรรมของตัวเอง
หากในระหว่างการโจมตีกลับเขามรกต เต้าเจินสู้เต้าหลิงไม่ได้แล้วตายไป เช่นนั้นก็โทษได้แค่ว่าเขาไม่มีความสามารถ วันนี้หลี่มู่ไม่ช่วยเขา เขาก็ตายไปแล้ว จะตายช้าหรือเร็วเท่านั้น ตายอย่างรู้เรื่องรู้ราวและองอาจผ่าเผย ดีกว่าตายโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
และคำพูดที่หลี่มู่กล่าวกับเต้าเจินเมื่อครู่ ก็ไม่ใช่ว่าเที่ยวพูดมั่วซี้ซั้ว
นี่เป็นข้อสรุปบางอย่างที่หลี่มู่ได้จากการไตร่ตรอง
การตายของเต้าฉงหยางและหลี่พั่วเยวี่ย ความวุ่นวายของทุ่งปิดภูผาและเขาเมืองมรกต การผงาดขึ้นมาของจักรพรรดิฉินหมิง ความวุ่นวายของสามจักรวรรดิ…หากบอกว่าเบื้องหลังไม่มีขั้วอำนาจที่คนไม่รู้หรือกลอุบายอะไรละก็ ใครจะไปเชื่อลง
“ไม่ทราบว่าท่านบอกชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงกับข้าได้หรือไม่?” เต้าเจินทำความเคารพชุดใหญ่ตามแบบลัทธิเต๋า สีหน้าค่อยๆ กลับเป็นปกติ แต่แววตาใสกระจ่างและแน่วแน่เป็นที่สุด “วันหน้า ไม่ว่าข้าจะไปถึงจุดสูงสุดที่อาจารย์คาดหวังเมื่อครั้งยังมีชีวิตได้หรือไม่ แต่คำสั่งสอนของท่านในวันนี้จะจารึกไว้ในใจของข้า มิกล้าลืมเลือน วันหน้าหากได้พบท่านอีกจะตอบแทนบุญคุณครั้งใหญ่ของท่านอย่างแน่นอน”
……………………………………………