จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 385 จิตดาบ
หลี่มู่ได้ยินก็หัวเราะทันที
ไม่นึกว่าจะมองออกด้วยว่าตนเองใช้ชื่อปลอม?
เต้าเจินผู้นี้แท้จริงเป็นพวกคมในฝัก ความคิดเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปมาก
หนึ่งปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นข้อบกพร่องของนิสัยเขาชัดเจนขึ้น ตกสู่วังวนอุปสรรค ยึดติดมากจนเกินไป ทำให้เดินผิดพลาด มิเช่นนั้นคงไม่มีสภาพเช่นวันนี้ หากพูดจากด้านนี้ เต้าฉงหยางที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งใต้หล้าในตอนแรกเลือกเต้าเจินมาเป็นผู้สืบทอด ก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเรื่องผิดพลาด
ตอนนี้หลี่มู่พลันรู้สึกว่าหากภายหลังเต้าเจินสามารถควบคุมเขาเมืองมรกตได้จริง เช่นนั้นสำนักเต๋าแห่งนี้อยู่ในมือของหยกที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างยากลำบากอย่างเขา อาจจะกลายเป็นว่าศิษย์เหนือกว่าอาจารย์ก็เป็นได้
“ต่อไปเรายังมีโอกาสพบกันอีก หากตอนนั้นเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจะบอกที่มาที่แท้จริงของข้ากับเจ้า” หลี่มู่หัวเราะร่า
ใต้เท้าเขาปรากฏละอองเมฆ พลังขุมหนึ่งทะลักออกมา พาจ้าวจี้กับเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงสองคนบินขึ้นท้องฟ้าเหมือนกับขี่เมฆ กลับไปรวมกลุ่มกับหยวนโห่วและเจ้าฮัสกี้ที่ด้านนอกหุบผามรกต ก่อนจะหายไปบนฟ้าไกล ประดุจเทพเซียนจากนอกโลก สง่างามและวางท่าเป็นที่สุด
“นักพรตจางคนนี้ หรือจะเป็นเก้ายอดคนกัน?” บริกรที่ถูกกระบี่ฟันที่ท้องน้อยหนึ่งแผลอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “กระทำการดุจมังกรเทพเห็นหัวแต่ไม่เห็นหาง ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ”
คนทั้งกลุ่มทยอยกันพยักหน้า
ราศีของนักพรตจางซานเฟิงคนนี้เหมือนกับผู้สูงส่งจากนอกพิภพจริงๆ
“เจ้าสำนัก แล้วพวกเราไปไหนกันต่อดี?” นักพรตคนหนึ่งถามขึ้น
ทุกคนมองไปยังเต้าเจิน
เต้าเจินตอบอย่างไม่ต้องคิด “กลับเขาเมืองมรกต”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่น สีหน้าท่าทางมีความมุ่งมั่นต่อสู้
……
เมื่อออกจากหุบผามรกต หากระเรียนขาวพบ หลี่มู่พาชิงเฟิงและจ้าวจี้กลับขึ้นไปบนหลังกระเรียนขาว รวมกลุ่มกับหยวนโห่วและนายพลฮัสกี้
จากนั้นเริ่มออกเดินทางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าอีกครั้ง
หลี่มู่นั่งนิ่งแล้ว สายตาจับจ้องไปยังไซบีเรียนฮัสกี้ บนปากของเจ้านี่ไม่มีเลือดสด แต่สายตากลับล่อกแล่กชอบกล ถ้าไม่ได้ไปกัดคนแล้วมันออกไปทำอะไร? หรือว่าจะไปช่วยเหลือ?
“มองอะไร” นายพลฮัสกี้พูดเสียงแข็ง
หลี่มู่หันหน้าไปหาหยวนโห่ว
หยวนโห่วอ้าปากกำลังจะเอ่ย เจ้านายพลฮัสกี้ก็รีบแย่งพูดด้วยความโมโห “เจ้าลิง ข้าเตือนเจ้าไว้แล้วนะ ถ้าเจ้ากล้าบอกคนเลี้ยงเรื่องที่ข้ากลืนสมบัติกับอาวุธของนักพรตบ้าพวกนั้นละก็ ข้าจะกัดขาเจ้าให้ขาดเลย”
หยวนโห่ว “…”
หลี่มู่ “…”
เจ้าฮัสกี้พูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เหมือนกับ…ถูกเปิดโปงอะไรไป?
หลี่มู่มองมัน กลืนสมบัติกับอาวุธเข้าไป?
ฟันแข็งแรงปานนั้นเลยหรือ?
คิดไปคิดมา หลี่มู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ตอนอยู่ที่เมืองขาวพิสุทธิ์ อาวุธหลายชิ้นในคลังหายไปอย่างไร้สาเหตุ ตอนนั้นหลี่มู่ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคิดว่าตนเองจำผิดไปด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรส่วนสำคัญของคลังอาวุธก็มีผนึกอยู่มากมาย ไม่มีใครเข้าไปได้ แต่ว่าตอนนี้…คงไม่ใช่เจ้าสุนัขตัวนี้ทำหรอกนะ?
หลี่มู่รู้ว่าตั้งแต่ที่เจ้าฮัสกี้ถูกซินแสเฒ่าส่งมาโลกนี้โดยไม่ตั้งใจก็เริ่มมีความสามารถประหลาด เช่นเคลื่อนย้ายในพริบตาโดยมองข้ามผนึก ค่ายกล ช่องว่าง และระยะห่างได้ ก่อนหน้านี้หลี่มู่ก็เคยถาม คำตอบที่ได้รับคือเจ้านี่ก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังของตนอย่างไร บางครั้งได้บางครั้งไม่ได้ แต่รู้อยู่เพียงเรื่องเดียวคือพอมันอยากทำมากเป็นพิเศษ พลังเช่นนั้นจะสามารถใช้ได้
คิดๆ แล้ว หลี่มู่จึงตัดสินใจทดสอบดู
เขาลองทิ้งกระบี่ยาวอาวุธระดับต่ำเล่มหนึ่งออกไป เป็นสิ่งที่ยึดมาได้จากภาชนะมิติเก็บของของหวงเซิ่งอี้
“โฮ่ง” ปฏิกิริยาของมันรวดเร็วมาก กระโดดออกไปราวสายฟ้าแลบ งับไว้ได้ในทีเดียว ตัวกระบี่ที่ตีขึ้นจากเหล็กเย็นเยือกสีดำ ตอนอยู่ในปากของมันเหมือนขนมปังถูกอบจนกรอบ เคี้ยวดังกรอบแกรบไม่กี่คำก็กลืนลงไป
กลืนหมดแล้วมันกระดิกหางระริกระรี้มาทางหลี่มู่ ทำสีหน้าสื่อว่าเอามาอีก
หลี่มู่คิดเล็กน้อย จากนั้นจึงโยนกระบี่เหล็กชั้นดีไร้อันดับเล่มหนึ่งไปอีก
เจ้านายพลกระโดดขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก งับกระบี่เล่มนี้แล้วเคี้ยวกรอบแกรบไปหลายคำจนแตกละเอียด ก่อนจะถุยพรวดออกมา เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “ถุยๆๆ เจ้าคนเลี้ยง นี่หมายความว่าอะไร? เล่นตลกกับข้าเหรอโฮ่ง? ขยะอย่างนี้กินได้ที่ไหน?”
หลี่มู่มองฟันของเจ้าสุนัขโง่ ผงกศีรษะอย่างเงียบงันในใจ
เทพเทวาแม่เจ้าเอ๊ย
ต่อไปต้องระวังสุนัขโง่ตัวนี้เสียหน่อยแล้ว ฟันนั่นทำไมถึงน่ากลัวเพียงนี้ ต่อให้เป็นอาวุธเต๋าก็คงจะทานฟันเหล่านี้ได้ยากกระมัง ถ้าวันไหนไม่ระวัง ดาบวัฏจักรได้ถูกสุนัขโง่นี่กินลงไปแน่
พอมาคิดอีกที เจอกับฟันสุนัขเช่นนี้ ถึงจะเป็นเลือดเนื้อกระดูกของขั้นเทวะก็น่าจะเอาไม่อยู่?
ถ้าถูกเจ้าสุนัขโง่นี่กัดเข้า ขั้นมหาเทวะต้องถูกกัดเนื้อขาดเป็นแน่
มิน่าหยวนโห่วถึงได้ถูกเจ้านี่ขู่เอา
จ้าวจี้ที่มองอยู่อีกด้านก็มีเหงื่อเย็นผุดซึม
เขาคิดไปถึงว่าตนเองเคยรู้สึกว่าเจ้าสุนัขตาสองสีตัวนี้น่ารักมาก ยังอยากจะเข้าไปลูบขนปุกปุยของมัน ตอนนี้พอคิดอีกที ตนเองเป็นพวกที่ไม่รู้ประสาจนไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ ความคิดนั้นอันตรายมาก เอาชีวิตตัวเองไปล้อเล่นชัดๆ
ว่าแล้ว จิตใต้สำนึกก็สั่งให้เขาค่อยๆ เขยิบตัวออกห่างจากนายพลฮัสกี้
หลี่มู่เห็นฉากนี้ก็ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังกระเรียนขาว เริ่มหลับตาปรับลมหายใจ ฝึกบำเพ็ญต่อ
ก่อนหน้าที่เขาปิดด่านฝึกฝนอยู่ที่เมืองขาวพิสุทธิ์ เริ่มหลอมดาบใหม่ ต้องการจะหลอมหินดาราธาตุไม้จำนวนมากเข้าไปในดาบวัฏจักร นี่เป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อนเลยทีเดียว กำลังภายในของหลี่มู่ยังฝึกมาได้ไม่พอ เขาจำต้องกระตุ้นค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ กระตุ้นพลังของค่ายกล เปิดเตาหลอมขึ้นที่ตาค่ายกลเพื่อหลอมดาบ แต่เนื่องจากก่อนที่หลี่มู่จะออกมาดาบวัฏจักรยังไม่เสร็จสิ้นการหลอม จึงต้องทิ้งมันไว้ในห้องหลอมก่อนเพื่อไม่ให้ขั้นตอนขาดห้วงลง ออกมาครั้งนี้หลี่มู่จึงไม่ได้พกดาบวัฏจักรมาไว้ข้างกายด้วย
แต่เรื่องนี้ความจริงก็เป็นความตั้งใจของหลี่มู่
อาวุธดีแค่ไหนก็ยังเป็นของนอกกาย
การใช้พลังของตนเองจึงจะยั่งยืน
ต้องออกห่างจากดาบวัฏจักร เริ่มฝึกวิชาดาบ ถึงจะบรรลุผลสำเร็จครั้งใหญ่
คำพูดที่ว่า ‘ไร้ดาบในมือ มีดาบในใจ’ แม้จะดูอุดมคติไปหน่อย แต่การจะเข้าใจจิตสูงสุดแห่งดาบที่แท้จริงกลับจำเป็นต้องผ่านช่วง ‘วางดาบลง ออกห่างจากดาบ’
เมื่อครู่ที่เขาลงมือไป ก็คือวิชาต่อสู้ที่เพิ่งได้มาจากการปิดด่านครั้งนี้ ใช้พลังจิตวิญาณกระตุ้นปราณจักรพรรดิเพลิงแดนใต้ ออกวิชาดาบ และสร้างปราณดาบขึ้นมา
จากการที่หลี่มู่ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีวิถียุทธ์ของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ หรืออาวุธชนิดอื่น ขอแค่ฝึกสำเร็จปราณของอาวุธนั้น ปล่อยออกมาสังหารศัตรู ก็นับว่าเข้าขั้นแล้ว พอเข้าขั้น พลานุภาพจะเพิ่มขึ้น ในบรรดานั้นปราณมีรูปร่างเป็นขั้นแรกสุด ถัดมาคือปราณไร้รูปร่าง ถัดมาอีกจะเป็นจิตที่อยู่บนปราณ เช่นจิตดาบจิตกระบี่เป็นต้น
ปราณดาบที่หลี่มู่ใช้ก่อนหน้านี้อยู่ระหว่างมีรูปร่างและไร้รูปร่าง ยังต่างจากจิตดาบอยู่ระดับหนึ่ง
แต่ระยะความต่างนี้ไม่มากมายนัก
หลี่มู่เข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ ฝึกฝน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ ตอนนี้ฝึกสำเร็จปราณจักรพรรดิเพลิงและปราณจักรพรรดิเขียวแล้ว หากคิดจะฝึกฝนจิตดาบออกมาต้องเกี่ยวข้องกับพลังภายในของตนเองแน่ หรือก็คือเกี่ยวข้องกับพลังปราณธาตุไฟและพลังปราณธาตุไม้ ปราณดาบไร้รูปร่างของเขาที่สังหารพรรคพวกเต้าฉงก่อนนี้มีปราณดาบมีรูปร่างครึ่งหนึ่งฟันออกไป หลังจากอีกฝ่ายโดนดาบเข้า ร่างกายจะแข็งค้าง จากนั้นสลายกลายเป็นฝุ่น นี่หมายถึงว่าในปราณดาบมีพลังแห่งจิตดาบขั้นแรกแล้ว
แต่ว่ายังไม่ใช่จิตดาบที่สมบูรณ์
ถ้าหากเป็นจิตดาบที่สมบูรณ์ เพียงฟันออกไปจะเป็นเปลวไฟร้อนแรงดุจตะวัน ทำลายศัตรูด้วยจิต ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดหนีก็หนีไม่ได้ ไม่ใช่ถูกดาบคร่าชีวิตแล้วถึงค่อยสลายกลายเป็นฝุ่น
การต่อสู้กับพวกเต้าฉงครั้งนี้แค่ถือโอกาสลงมือเท่านั้น แต่หลี่มู่ก็ได้รับอะไรใหม่ๆ มาบางส่วน
เขาหลับตาขบคิดพิจารณา ทำความเข้าใจจิตดาบ
จิตดาบไม่ใช่สิ่งที่ขัดเกลามาได้ในกระบวนเดียว และไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้ระหว่างการต่อสู้เดิมพันชีวิต แต่จำต้องไตร่ตรองทบทวนพลังจิตวิญญาณ พิจารณาส่วนที่ยอดเยี่ยมของวิถีดาบและจิตต่อสู้ไม่หยุด ทำความเข้าใจปราณแท้ในร่างกายตนเองอย่างต่อเนื่อง นับเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาการฝึกฝนจิตเพื่อให้ได้มา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสี่วัน
พวกของหลี่มู่เดินทางตลอดกลางวันและกลางคืน
นอกจากยามที่กระเรียนขาวเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว ถึงจะร่อนลงมาพักผ่อนราวครึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นหลี่มู่จะไม่หยุดพักเลยตลอดทาง
เขาก็กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น
ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้ หวางซืออวี่เพื่อนร่วมโต๊ะดาวโรงเรียนในอดีตก็ถือเป็นคนสนิทคนหนึ่งของหลี่มู่
ช่วงกลางวันของวันนี้ สายลมโชยอ่อนแสงแดดสว่างจ้า อากาศในสารทฤดูเย็นสบาย
“มาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองหลินอันแล้ว” จ้าวจี้พลันเอ่ยขึ้น
หลี่มู่ลืมตา มองลงไปเบื้องล่าง
เมืองใหญ่ที่โอ่อ่างดงามเมืองหนึ่งปรากฏขึ้นด้านล่างชั้นเมฆ กินพื้นที่หลายร้อยลี้ หอสูงตั้งตระหง่าน แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านกลาง ราวกับเส้นสายเชื่อมโยงสีเขียวหลายเส้น แบ่งเมืองใหญ่เมืองนี้ออกเป็นเขตต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน ประกอบกับทะเลสาบกว้างใหญ่อีกนับสิบที่แต่งแต้มกระจัดกระจายอยู่ตรงกลางเหมือนดวงดาว ดุจหยกสีเขียวไร้ตำหนิ ยิ่งขับความงดงามของเมืองหลินอันให้มากขึ้น
นี่คือเมืองสวยงามที่เจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมเมืองหนึ่ง
หลี่มู่ไม่เคยไปเมืองหลวงฉินแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก แต่พอคิดดูแล้ว ทัศนียภาพของเมืองฉินคงแตกต่างจากหลินอันอย่างสิ้นเชิง
กระเรียนขาวบินต่ออีกราวหนึ่งถ้วยชาจึงบินข้ามเมืองหลินอันไป
“ตรงไปอีกด้านหน้า ไม่นานก็ถึงเขาหัวโคแล้ว” ใจของจ้าวจี้เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
นับจากตอนที่เขาไปขอความช่วยเหลือที่ฉินตะวันตกก็ผ่านไปกว่ายี่สิบวันแล้ว หวังว่าทุกเรื่องจะยังทันกาล
……
เวลาเดียวกัน วัดซ่อนมรรคาบนเขาหัวโค
“ท่านหญิง ท่านตัดสินใจว่าจะออกเรือนกับจิ้นอ๋องแล้วจริงหรือเจ้าคะ?” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยมีสีหน้าโศกเศร้า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
บนกำแพงในห้องอันเงียบสงบ มีกระจกทองแดงแกะสลักงดงามแขวนอยู่บานหนึ่ง
ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งใต้กระจก เด็กสาวอายุราวสิบสี่ห้าคนหนึ่งกำลังนั่งแต่งตัวอย่างเชื่องช้า นางสวมชุดกระโปรงยาวรัดรูปแบบชาววัง ผมยาวราวเมฆดำปล่อยสยายอยู่ด้านหลังและข้างไหล่ โครงเส้นกลางหลังสวยงามและประณีต
บนกระจกเป็นใบหน้ารูปหัวใจที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ผิวดั่งหยก ไร้รอยตำหนิ ขาวนวลอย่างมีสุขภาพดี สันจมูกตรงและงดงาม ริมฝีปากเล็กอวบอิ่ม เครื่องหน้าทั้งห้าสอดรับกัน งามวิจิตรจนถึงที่สุด โดยเฉพาะดวงตาสีดำกลมโตภายใต้การปกป้องของแพขนตายาว ยิ่งราวกับพูดได้อย่างไรอย่างนั้น ทั้งใบหน้ามีรัศมีน่าดึงดูดใจบางอย่าง
………………………..………….……….