จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 388 เขามาแล้ว
กองกำลังสำแดงเดชสองแสนนายล้วนแต่เป็นนายทหารชุดเกราะชั้นหัวกะทิพร้อมอุปกรณ์ค่ายกลดาราครบชุด
จิ้นอ๋องเป็นหนึ่งในผู้ที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในแปดอ๋องแห่งซ่งเหนือได้ ก็เพราะกองกำลังสำแดงเดชสองแสนนายนี้
ครั้งนี้เขาคิดใช้โอกาสแต่งงานทางการเมืองสำแดงพลังของตนให้คนอื่นได้รู้ ดังนั้นนอกจากที่ตั้งค่ายลับบางส่วนแล้ว ก็เผยพลังของกองกำลังสำแดงเดชให้เป็นที่ประจักษ์ต่อแขกทั้งหลายโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย อาวุธส่องประกายวาววับ เกราะเหล็กแน่นขนัดดุจคลื่น มองไม่เห็นสุดปลาย หากอยู่ในนั้นก็เหมือนยืนอยู่กลางทะเลศาสตราวุธ ความเย็นยะเยือกเสียดกระดูกทำให้ขนหลังลุกชัน
หลังจากวันนี้ ไฟสงครามจะลุกท่วมไปทั่วเมฆลมจะเปลี่ยนทิศ
จิ้นอ๋องตัดสินใจก่อกบฏ วันพรุ่งจะออกทัพโจมตีเมืองหลวงหลินอัน ทำลายราชวงศ์ จับโอรสสวรรค์และขุนนางบรรดาศักดิ์ทั้งหลายก่อน จากนั้นดึงอ๋องทั้งเจ็ดที่เหลือมาเป็นพวกไม่ก็กำจัดทิ้งไป ก่อนรวบรวมดินแดนซ่งเหนือให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ
ตอนนี้โลกเผชิญกับกลียุค สมดุลการปกครองของแผ่นดินใหญ่เสินโจวเริ่มพังทลาย ก่อนที่สังคมโลกจะพินาศโดยสมบูรณ์ เขาต้องครอบครองดินแดนฝั่งหนึ่งเอาไว้ก่อน
นี่คือแผนของเขา
ในแผนของเขา งานแต่งงานที่เป็นที่สนใจของคนระดับบนและล่างในจักรวรรดิครั้งนี้มีความหมายสำคัญมาก
ก่อนหน้านี้ซ่งเหนือเกิดศึกภายใน แปดอ๋องเคลื่อนพล อ้างเหตุผลว่า ‘กวาดล้างคนชั่ว สังหารขุนนางเลว’ ส่วนที่ว่าใครเป็นขุนนางชั่วกันแน่ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย นี่เป็นแค่เหตุผลในการกบฏก็เท่านั้น จะเป็นคนข้างกายจักรพรรดิซ่งคนใดก็ได้ และระหว่างอ๋องทั้งแปด นอกจากบุคคลยิ่งใหญ่ที่อารมณ์ฉุนเฉียวและหยิ่งทะนงคิดว่าตนเป็นใหญ่คนสองคนแล้ว คนอื่นที่เหลือก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กัน กระทั่งว่าแอบร่วมมือกันด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียหากอ๋องแห่งดินแดนหนึ่งต่อกรกับทั้งแผ่นดินต้าซ่ง ในใจของพวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจอะไรนัก
ตอนนี้ยังจำต้องพึ่งพากันไว้ ภายหลังจะเป็นเช่นไร แต่ละคนก็ต้องอาศัยฝีมือของตนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ในกองกำลังสำแดงเดชจึงมีทูตที่พวกกบฏล้มจักรพรรดิเช่นหนิงอ๋อง อี้อ๋อง อิงอ๋องส่งมาปรากฏอยู่ด้วย ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตจากฝั่งต่างๆ
ทั้งค่ายกองกำลังสำแดงเดชแขวนผ้าแดงจุดโคมไฟ ชื่นมื่นรื่นเริง คึกคักเป็นที่สุด
หลังจากเสร็จพิธีจุกจิกทั้งหลาย จิ้นอ๋องจ้าวเฉินที่สวมเกราะสีแดงบุคลิกไม่ธรรมดาก็มาปรากฏตัวบนแท่นพิธี เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วทิศ ทหารเกราะของกองกำลังสำแดงเดชชูอาวุธในมือขึ้นสูง ประกายวาววับที่สะท้อนแสงแดดเย็นดุจทะเล แน่นขนัดสุดลูกหูลูกตา
จิ้นอ๋องกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
นี่คือต้นทุนที่เขาทุ่มเทกายใจฝึกฝนดูแลมายี่สิบปี และจะใช้บุกฝ่าไปทั้งใต้ฟ้านี้เลยทีเดียว
ขุนพลสองร้อยนายนั่งอยู่บนหลังม้า ดูประหนึ่งเทพมังกร สวมหน้ากากใส่เกราะเงิน ยืนอยู่สองข้างทางของพิธีการ ลมแรงพัดต้องเสาหวาเปี่ยว[1] ธงปลิวสะบัดดุจหงส์เทพสยายปีกบิน ส่วนธงเต่าดำแต่ละผืนที่อยู่ไกลๆ ก็คล้ายมังกร แยกเขี้ยวตวัดกรงเล็บบินอยู่บนท้องฟ้า
แขกเหรื่อจากที่ต่างๆ พากันหยุดมอง
บนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติที่อยู่ใกล้แท่นพิธีหลักที่สุด นักพรตหนุ่มเสวียนเฉิงจื่อแห่งเขาเมืองมรกตดึงดูดสายตาคนจำนวนมาก
นี่ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นตัวแทนเขาเมืองมรกตสำนักเทพอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี แต่มากกว่านั้นเป็นเพราะเสวียนเฉิงจื่อคือศิษย์สายตรงของเซียนเต้าหลิง ขั้นเทวะซึ่งกุมอำนาจเขาลอยฟ้าเมืองมรกต ตำแหน่งฐานะสูงส่ง
ส่วนข้างกายของเสวียนเฉิงจื่อคือ ‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงรองหัวหน้า ‘สามสิบหกค่ายวารีเชื่อมฟ้า’ ของซ่งเหนือ รวมถึงหัวหน้าค่ายวารีอีกสามสิบห้าคน ก็เป็นบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งทั้งสิ้น
‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงเป็นบุคคลเยี่ยมยอดที่อยู่ในห้าอันดับแรกบนลำดับสวรรค์ของซ่งเหนือมาโดยตลอด มีพลังฝึกครึ่งขั้นเทวะนานแล้ว ชื่อเสียงก้องไปทั่วจักรวรรดิ
ส่วนหัวหน้าค่ายทั้งสามสิบห้าคนนั้นก็ต่างมีวิชาติดกาย ล้วนเป็นลูกพี่ใหญ่ในแถบหนึ่ง
พวกเขาพี่น้องสามสิบหกคนยึดครองทะเลสาบ แม่น้ำ และทางน้ำในดินแดนซ่งเหนือกว่าครึ่ง มีพลังอำนาจต่อกรกับขุนนางมณฑลหนึ่งได้ เข้าเป็นกำลังใต้บังคับบัญชาของจิ้นอ๋องนานแล้วเช่นกัน ได้รับความสำคัญจากจิ้นอ๋องเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าสำนัก ผู้อาวุโส และผู้คุมกฎจากสำนักน้อยใหญ่ระดับสามขึ้นไปอื่นๆ อีกสามสิบสี่สำนัก อย่างเช่น ‘สำนักหอกเหล็ก’ ‘พรรคภูผาแม่น้ำ’ ‘หอชั้นหนึ่ง’ ‘หอวายุอัสนี’ ‘เรือนจิตสวรรค์’ ก็เดินทางมามอบของขวัญแสดงความยินดีด้วย
จิ้นอ๋องวางแผนบริหารมาหลายปี นอกเหนือจากอำนาจในราชสำนักและกองทัพ สำนักในยุทธจักรเขาก็ไม่เคยดูแคลน ตลอดมาใช้กลอุบายต่างๆ ดึงมาเป็นพวกและเลี้ยงดูปูเสื่อ เว้นแต่พรรคกระยาจกพรรคอันดับหนึ่งของซ่งเหนือที่ไม่เคยร่วมมือกับทางการหรือผู้มีบรรดาศักดิ์คนใด สำนักที่อยู่ในร้อยอันดับแรกของจักรวรรดิ อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งติดต่อกับจิ้นอ๋องทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
และครั้งนี้ จิ้นอ๋องแค่ออกคำสั่ง สำนักพวกนี้ก็เดินทางมาอวยพรมอบของขวัญให้ทันที
ภาพเช่นนี้ พูดได้ว่ากองทัพเกรียงไกรราวคลื่น ยอดฝีมือมากมาย ชวนให้คนตะลึงนัก
ทูตของกบฏล้มล้างจักรพรรดิที่หนิงอ๋องอี้อ๋องส่งมา เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าท่าทางขมขื่น ไม่นึกว่าขณะที่ไม่รู้ตัวเนื้อรู้ตัว พลังของจิ้นอ๋องจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขั้วอำนาจสายยุทธ์มากมายที่แต่เดิมคิดว่าตัดขาดจากโลกกลับเป็นพวกของจิ้นอ๋องไปแล้ว?
ส่วนสมาชิกเชื้อพระวงศ์ ขุนนางท้องถิ่น และขุนศึกเล็กๆ บางส่วนที่เดิมทียังลังเล ในใจต่างเย็นยะเยือก เริ่มขบคิดว่าจะต้องเข้าเป็นพวกกับจิ้นอ๋องจริงๆ แล้วใช่หรือไม่ ดูจากกำลังอำนาจเช่นนี้ เกรงว่าจิ้นอ๋องก่อกบฏสำเร็จ รวบรวมซ่งเหนือให้เป็นหนึ่ง ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว
ในตอนที่สมาชิกแต่ละฝ่ายหวาดผวา เสียงกลองดังขึ้นมา
ภายใต้การรายล้อมจากนักกระบี่หญิงองครักษ์ส่วนตัวของจิ้นอ๋อง ท่านหญิงหวนจูหวางซืออวี่ที่แต่งตัวเต็มยศเดินมาตามทางพิธีอย่างช้าเนิบ
ชุดแต่งงานงามล้ำสีแดงสด มงกุฎหงส์ระยิบระยับ มองจากไกลๆ ประหนึ่งเปลวไฟแห่งเทพที่กำลังลุกไหม้
ท่านหญิงหวนจูมีชื่อเสียงมากในดินแดนซ่งเหนือ ไม่ใช่แค่เพราะบุคลิกและคำพูดจาอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยิ่งเป็นเพราะใบหน้านางงามเฉิดฉันไม่มีผู้ใดเทียม โฉมสะคราญแตกต่างจากสตรีผู้อื่น เคยมีผู้หวังดีจัดอันดับสาวงามในเมืองหลวงหลินอัน ท่านหญิงหวนจูครองอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของซ่งเหนือ ในแผ่นดินซ่งมีผู้ชมชอบไม่รู้เท่าไหร่
เคยมีคนหนุ่มองอาจมากความสามารถนับไม่ถ้วนหมายตาสาวงามแห่งราชวงศ์คนนี้
และก็เคยมีพวกขี้แพ้ที่ตามเกี้ยวพานึกเสียดายและทอดถอนใจอย่างสะเทือนอารมณ์ หากวันหนึ่งหญิงงามอันดับหนึ่งของซ่งเหนือผู้นี้สวมชุดแต่งงานสีแดงสด ไม่รู้ว่าจะงามพิลาสถึงเพียงใด
ในวันนี้ ในที่สุดภาพนั้นก็ปรากฏต่อหน้าทุกคนแล้ว
ภายใต้การขับเน้นจากชุดสีแดงสดและมงกุฎหงส์พราวระยับ ใบหน้าของท่านหญิงหวนจูขาวเนียนดุจหยกที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ผิวพรรณเนียนละเอียด ดวงตาดุจประกายดาว เครื่องหน้าทั้งห้าไร้ที่ติ ถึงแม้จะไร้อารมณ์ แต่กลับมีความงดงามเย็นชาคล้ายเซียนแห่งวังจันทรา ยิ่งทำให้คนใจสั่นได้มากขึ้นกว่าเดิม ชุดมงคลตัวกว้างก็ยากจะปกปิดส่วนโค้งเว้าของเรือนร่างสูงเพรียวงดงามได้ ยามอยู่ท่ามกลางนักกระบี่หญิงเกราะแดงช่างเหมือนจิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์เดินอยู่ในโลกมนุษย์จริงๆ
ชั่วขณะนั้น คนไม่รู้ต่อเท่าไหร่เห็นภาพนี้แล้วล้วนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
งดงามเหลือเกิน
พริ้มเพราจนทำให้คนหายใจติดขัด
หลายคนรู้ว่าท่านหญิงหวนจูแต่งงานครั้งนี้เพราะถูกจิ้นอ๋องบีบบังคับ เวลานี้ในใจของบางคนกระทั่งเกิดความคิดวู่วาม อยากจะพุ่งไปช่วยหญิงงามอันดับหนึ่งที่ชะตาชีวิตน่าเศร้าสลดคนนี้ ต่อให้ได้เพียงรอยยิ้มเดียวของสาวงามมา แม้นต้องตายก็ยินดี
ทว่า แสงวาววับจากหอกดาบของกองกำลังสำแดงเดชที่สะท้อนใต้แสงอาทิตย์ทำให้พวกเขาได้สติ
เมื่อมองสตรีประดุจเทพธิดาที่สวมชุดแต่งงานอีกครั้ง นอกจากเห็นอกเห็นใจแล้ว ก็เหมือนจะเหลือเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น
ในพริบตานี้ ดวงตาคนในยุทธจักรบางคนก็ฉายแววตะลึงในความงามเช่นกัน
แม้แต่เหล่าหัวหน้าสามสิบหกค่ายวารีเชื่อมฟ้า นอกจาก ‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงที่ลืมตาขึ้นเล็กน้อยแล้ว ใบหน้าของหัวหน้าค่ายทั้งสามสิบห้าคนต่างตะลึงจ้องตาเป็นมัน ขนาดเสวียนเฉิงจื่อที่ฝึกฝนคัมภีร์เต๋าซึ่งให้ความสำคัญกับการรักษาจิตใจก็ยังอ้าปากโดยไม่รู้ตัว หัวใจเต้นอย่างรุนแรง
บนแท่นพิธี เสี้ยวขณะที่เห็นหวางซืออวี่ปรากฏกาย สีหน้าของจิ้นอ๋องเองก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย
เขาเป็นผู้มีจิตใจทะเยอทะยาน ใจมีแต่แผ่นดิน จิตวิญญาณคอยแต่จะช่วงชิงความเป็นใหญ่ สำหรับผู้หญิงก็มองว่าเป็นแค่ของไม่จำเป็น ไม่เคยมีหญิงคนไหนทำให้เขาห่วงหาอาทรได้ แต่ไม่รู้ทำไม พริบตาที่เขาเห็นหญิงซึ่งตนนำมาใช้เป็นเครื่องมือ สวมชุดแต่งงานอยู่ท่ามกลางนักกระบี่หญิง ปรากฏกายบนทางเดินพิธีและเดินตรงมายังตน ลมพัดชุดแต่งงานแดงดุจเปลวเพลิงสะบัดพลิ้ว พัดผมยาวดำขลับของนาง ชั่วขณะนั้นเขาพลันอยากจะดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ดี
เขาจำต้องยอมรับว่าตัวเองหวั่นไหวแล้ว
ที่แท้ในโลกมีสตรีที่งดงามปานเซียนเช่นนี้จริงๆ
งามล้ำเป็นที่หนึ่ง
ฉับพลันนั้น ในหัวของจิ้นอ๋องก็มีคำที่ฟังแล้วค่อนข้างเฉิ่มเชยผุดขึ้นมา
เขาพลันหัวเราะอย่างได้ใจ
สาวงามอันดับหนึ่งของซ่งเหนือคนนี้จะกลายเป็นผู้หญิงคนตนแล้ว
เขากางแขนทั้งสองออกช้าๆ
ท่านหญิงหวนจูถูกส่งขึ้นมาบนแท่นพิธี
นักกระบี่หญิงเกราะแดงถอยออกไป
จิ้นอ๋องเดินมาข้างกายหวางซืออวี่ มองนางพลางยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยินดีจะแต่งให้ข้า แต่ว่าโลกนี้ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ ผู้หญิงต้องพึ่งพาผู้ชาย ความกล้าหาญของเจ้าทำให้ข้าตกใจทีเดียว แต่ในเมื่อเจ้าเลือกแล้ว เช่นนั้นก็ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ”
หวางซืออวี่ไม่พูดอะไร
สีหน้าท่าทางของนางไม่หวาดกลัว และก็ไม่โศกเศร้า
สงบเป็นอย่างมาก
สงบจนทำให้คนประหลาดใจ
จิ้นอ๋องยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “ข้ายังรู้อีกว่าเจ้ารอคนมาช่วย แต่ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว คนที่ชื่นชอบเจ้าเกี้ยวพาเจ้าเหล่านั้น จะมีจริงๆ สักกี่คนกันที่กล้าฝ่ากองกำลังสำแดงเดชมาช่วยเจ้า อีกทั้งต่อให้มีก็ถูกยอดฝีมือที่ข้าวางไว้ซุ่มโจมตีนอกค่ายสังหารจนไม่เหลือซากแล้ว เจ้าไม่แม้แต่จะได้เห็นเขาหรอก…”
หวางซืออวี่ก็ยังคงไม่พูดอะไร
สายตาของนางมองข้ามจิ้นอ๋องไปยังที่ไกลโพ้น มองไปนอกค่าย เหมือนว่ากำลังรออะไร
ผู้ทำพิธีขึ้นไปบนเวที
พิธีเริ่มขึ้น
กลองดนตรีประสานเสียง
จิ้นอ๋องยื่นมือไปดึงมือของหวางซืออวี่
หวางซืออวี่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ข้างล่างแท่นพิธีฮือฮากันทั่ว
ดวงตาของจิ้นอ๋องฉายแววโมโหวาบผ่าน
หวางซืออวี่พลันอ้าปากหัวเราะ ทันใดนั้นฟ้าดินหมองหม่น ใบหน้างดงามสะท้านจิตใจผู้คน นางกล่าวขึ้นอย่างเนิบช้าว่า “ชายในดวงใจของข้าเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค วันหนึ่งเขาจะสวมชุดเกราะทองอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เหยียบเมฆมงคลเจ็ดสีมาสู่ขอข้า…”
พูดถึงตรงนี้นางก็มองยังจิ้นอ๋อง ถามว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่?”
จิ้นอ๋องตอบ “คนคนนั้นก็คือข้า ซ่งเหนือเป็นของข้า เจ้าก็เป็นของข้าเช่นกัน”
หวางซืออวี่หัวเราะกล่าว “ผิดแล้ว เจ้าเป็นไม่ได้แม้กระทั่งหมีดำด้วยซ้ำ…ยอดวีรบุรุษแห่งยุคที่แท้จริง เขามาแล้ว” ขณะพูด ดวงตาคู่งามของนางก็มองไปทางทิศตะวันออกด้านนอกค่าย ความรู้สึกประหลาดบางอย่างเอ่อล้นในจิตใจนาง ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกนี้บอกนางว่ายอดวีรบุรุษของตัวเองมาแล้วจริงๆ
จิ้นอ๋องมองไปนอกค่ายตามสัญชาตญาณทันที
แต่ว่านอกจากคนของตัวเองแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
“ปั้นน้ำเป็นตัว” จิ้นอ๋องโมโห “ท่านหญิงหวนจู ข้าทนเจ้ามามากแล้ว เจ้าอย่าได้…”
เสียงยังไม่ทันจบ
“รายงาน…” ยอดฝีมือกองกำลังสำแดงเดชคนหนึ่งพุ่งมาจากด้านนอก เอ่ยด้วยสีหน้าแตกตื่น “ท่านอ๋อง มีคนบุกโจมตีค่าย สกัดไว้ไม่อยู่แล้ว…” เขาเพิ่งพูดจบสีหน้าก็แข็งค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นไฟกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากปากและจมูก แล้วเผาตัวเขาพร้อมทั้งเสื้อเกราะและอาวุธในมือจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกัน แม้แต่เสียงร้องโหยหวนก็ยังไม่ได้ร้องออกมา
เสียงฮือฮาดังระงม
ยอดฝีมือแต่ละฝ่ายตบโต๊ะยืนขึ้นทันใด
จิ้นอ๋องสีหน้าโมโหเดือดดาล
สายตานับไม่ถ้วนล้วนมองไปยังนอกค่ายทหาร
……………………………………………………
[1] เสาหวาเปี่ยว สิ่งก่อสร้างของจีนยุคโบราณ เป็นเสาหินประดับที่เป็นส่วนหนึ่งของวังหรือสุสานยุคโบราณ