จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 393 จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน
“โฮ่ง! คนสวย ข้าให้ท่านเรียบเรียงคำพูดใหม่ อะไรอ้วนขึ้นกัน นี่เรียกแข็งแรงคล่องแคล่วว่องไวไม่ใช่หรือ” สุนัขฮัสกี้ไม่พอใจอย่างมาก
คำว่าอ้วนคำนี้ ปกติแล้วเอาไว้ใช้บรรยายหมูนี่
“อ๋า? กล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับพี่สาวด้วย คิกๆ นายพล หลังจากพูดได้แกดูตัวพองขึ้นนะ” หวางซืออวี่วิ่งเข้าไปหา คว้าหลังคอของเจ้าฮัสกี้ไว้ทันใด ก่อนลูบเข้าไปด้านในคอของสุนัขตัวอ้วน
ตอนที่อยู่บนดาวโลกเมื่อก่อน เธอก็เย้าแหย่มันแบบนี้ รู้ดีถึงจุดอ่อนของมัน
หวางซืออวี่ลูบไปพลาง ตาก็หรี่ลงเป็นจันทร์เสี้ยวไปพลาง กล่าวยิ้มๆ อย่างพอใจว่า “อา นุ่มจัง ลื่นด้วย…อา น่ารักจริงๆ เลย เล่นกับสุนัขทำให้จิตใจมีความสุขจริงๆ ถอนตัวออกมาไม่ได้เลย”
“อ๊ะ โฮ่ง รีบปล่อยเลย…ข้าเป็นจักรพรรดิหมาป่าขาวแห่งที่ราบทุ่งหญ้า ข้าก็มีเกียรติของข้านะ” เจ้าฮัสกี้ลนลานดิ้นรน แต่ก็ไม่ดิ้นจนหลุด เพราะในใจยังรู้สึกละอายอยู่ ไม่กล้าต่อต้านรุนแรง ท้ายสุดจึงทำได้เพียงอดทนกับการ ‘หยามหมิ่น’ ของสตรีที่ไม่มีพลังอะไรเลยคนนี้ไปอย่างเงียบๆ น่าเวทนาเสียเหลือเกิน
หลี่มู่หัวเราะร่าอยู่อีกด้าน
พริบตานี้ นอกจากที่ว่าเจ้าสุนัขโง่ตัวนี้อ้าปากพูดจาพิลึกไปหน่อย ภาพฉากก็ราวกับกลับไปถึงดาวโลกแล้ว หลังเลิกเรียน แสงแดดสาดส่องทั่วโรงเรียน หวางซืออวี่จะหัวเราะร่าหยอกสุนัขฮัสกี้เล่นเช่นนี้ ส่วนตัวเองนั่งยิ้มมองอยู่อีกด้าน…เวลาผ่านไปไม่หวนกลับจริงๆ
ภายใต้เสียงหัวเราะยินดีเช่นนี้ ทุกคนเข้ามาถึงเขตที่พักด้านในวัดซ่อนมรรคาแล้ว
สิ่งปลูกสร้างรอบด้านล้วนทำจากอิฐแดงกระเบื้องเขียว มีประวัติศาสตร์กว่าพันปี ให้ความรู้สึกงามแบบโบราณ
วิหารหลักของวัดซ่อนมรรคาชื่อว่าวิหารหมื่นปี สร้างโดยราชวงศ์ซ่งเหนือ ดูจากชื่อแล้วก็เข้าใจถึงความหมายแฝงได้ ครั้งแรกที่สร้างเมื่อพันปีก่อนค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร ตัววิหารสูงลิ่ว โครงสร้างประกอบจากไม้ไม่ใช้ตะปู รูปร่างสวยวิจิตร ผ่านแดดลมฝนมาพันปีกว่าแต่ก็ยังคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ด้านในบูชาเทพเต๋าหลายองค์ และมีป้ายวิญญาณจักรพรรดิในอดีตของจักรวรรดิซ่งเหนือ
จักรพรรดิของซ่งเหนือแตกต่างจากจักรวรรดิอื่น ไม่ว่าจะมีพลังฝึกสูงหรือต่ำ อายุยืนหรือสั้น ระยะเวลาการครองราชย์ล้วนไม่เกินหนึ่งร้อยปี เมื่อมีผู้ที่ครองราชย์ถึงร้อยปี ต่อให้ยังคงอายุยืนยาวก็เลือกที่จะมอบบัลลังก์ให้รุ่นต่อไป จากนั้นจึงออกบวช นำป้ายของตนเองมาตั้งสักการะไว้ที่อารามเต๋าแห่งนี้
เพียงแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราชวงศ์ซ่งเหนือย้ายเมืองหลวงลงไปทางใต้ ฐานะของวัดซ่อนมรรคาจึงค่อยๆเสื่อมถอย วิหารหมื่นปีนี้ก็ไม่ได้กลับมารุ่งเรืองเช่นวันวาน การดูแลรักษาน้อยลงไปมาก ดังนั้นจึงมีตะไคร่น้ำขึ้นเป็นชั้นๆ ระหว่างกระเบื้องเขียว เนื้อไม้เป็นสีเทาและสีดำจากการผุพังบางส่วน เต็มไปด้วยความรู้สึกของประวัติศาสตร์และยุคสมัย
ภายใต้การนำของเจ้าอารามฉินแห่งวัดซ่อนมรรคา พวกของหลี่มู่เดินผ่านด้านข้างวิหารหมื่นปีมาจนถึงเขตที่พักด้านหลัง
เขตที่พักด้านหลังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิต
นักพรตเต๋าทั้งวัดซ่อนมรรคาแทบจะใช้ชีวิตกันอยู่ที่บริเวณนี้ มีเสียงไก่และสุนัขให้ได้ยิน ไก่ตัวผู้ตัวเมียที่เอ้อระเหยหลายตัว ทั้งยังมีสุนัขสีน้ำตาลไล่ตาม มีแปลงผักหลายแปลงเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละคันดินปลูกผักใบเขียวผลไม้แตกต่างกัน ไกลออกไป นักพรตน้อยหลายคนถกขากางเกงขึ้น กำลังย่ำกังหันน้ำข้างสระน้ำ ทดน้ำเข้าไปรดแปลงผัก
เรือนหลังคากระเบื้องหลังเตี้ยตั้งเรียงรายแนวยาวอยู่ใต้หน้าผาหิน
ระหว่างเรือนหลังคากระเบื้องมีเขตอาศรมแห่งหนึ่ง ดูแลรักษาได้ดียิ่ง ต้นสนตรงประตูใหญ่ถูกตัดแต่งอย่างดี ประตูใหญ่เป็นสีแดง รอบด้านถูกปัดกวาดจนสะอาดเอี่ยม ที่นี่เป็นสถานไว้รับรองแขกจากราชวงศ์ในเวลาปกติ ต่อให้หลายปีนี้แขกจากราชวงศ์จะน้อยลงไปมาก ทว่าสิ่งที่สืบทอดมานี้ก็ยังถูกรักษาไว้อย่างดี
พวกหลี่มู่ถูกจัดให้พักอยู่ในเขตอาศรมแห่งนี้
ปาเซียนอ๋องถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว พลังฝึกไม่สูงมาก หลายวันมานี้ถูกความหวาดกลัวกังวลรุมเร้าตลอด ซ้ำยังมาถูกวางยาอีกหนึ่งครั้ง ด้วยเหตุนี้สนทนากับหลี่มู่เพียงไม่นานก็อ่อนล้า หลับลึกไปด้วยการปรนนิบัติของสาวใช้
คนอื่นก็ล้วนไปพักผ่อนกันชั่วคราว
หลี่มู่ถูกจัดให้พักในเรือนที่งามประณีตยิ่งหลังหนึ่ง
เขาหลับตาพักผ่อนในห้อง ทำความเข้าใจจิตดาบ
วันนี้ในค่ายใหญ่กองกำลังสำแดงเดช เขาใช้จิตดาบพลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้ เป็นแบบร่างขั้นต้นลางๆ แล้ว เหมือนจะเข้าใจแล้วบางส่วน เวลานี้กำลังอนุมานดูอย่างตั้งใจ ความจริงในใจหลี่มู่มีแนวคิดคร่าวๆ อยู่บ้าง จึงอยากจะอนุมานวิธีการใช้ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ เมื่อขยับความคิด จิตดาบเกิดขึ้น จิตดาบไร้รูปร่างสังหารศัตรูได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นการสำเร็จจิตดาบในขั้นต้น
แต่จิตดาบที่เขาใช้ตอนนี้ ความคิดยังไม่ชัดเจนนัก ใช้ต่อกรจอมยุทธ์ทั่วไปแล้วเห็นผลเป็นอย่างดี เช่นวันนี้ที่บุกสังหารกองกำลังสำแดงเดช เพียงคิดในใจ ทหารเกราะชั้นเยี่ยมเหล่านั้นก็ลุกไหม้กลายเป็นฝุ่นปลิดปลิว แต่เมื่อใช้กับ ‘หอกเหล็กทวนแม่น้ำ’ ตู้ลวี่จี่ รวมถึงตอนที่สังหารจิ้นอ๋องจ้าวเฉินภายหลัง ยังจำเป็นต้องปะทะกันก่อนจึงจะเห็นผล
นี่คือส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์
หลี่มู่กำลังปรับปรุงวิธีใช้ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ ในจินตนาการของตนเอง
เขารวบรวมสมาธิ อนุมานอย่างตั้งใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมา จู่ๆ ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ขัดจังหวะการฝึกฝนปรับปรุงของเขา
“ไปกัน จะพานายไปดูสถานที่หนึ่ง” หวางซืออวี่ที่ขี่สุนัขฮัสกี้อยู่ปรากฏตัว เคาะประตูกะทันหัน เอ่ยขึ้นอย่างมีลับลมคมใน
หางของเจ้าฮัสกี้สะบัดราวกับพัดลม แลบลิ้นยาวออกมา ไม่รู้ว่าเหนื่อยหรือร้อนกันแน่ แต่ทำหน้าดีใจ ยิ้มจนดวงตาแทบเบียดเข้าหากันแล้ว และไม่รู้ว่าถูกหวางซืออวี่หลอกมาอย่างไร ถึงอยู่ในสภาพที่ยอมให้ขึ้นขี่ได้ ทำเอาหลี่มู่รู้สึกเกินคาดอย่างยิ่ง
“ที่ไหนหรือ?” หลี่มู่ทำหน้าฉงน
หวางซืออวี่จงใจแสร้งให้อยากรู้ เอ่ยว่า “รีบไปกัน ไปแล้วก็รู้เอง”
ครู่เดียว เธอพาหลี่มู่ออกมาตรงเรือนหลังสุดท้ายใต้หินผา เดินไปบนถนนเล็กๆ สายหนึ่ง หลังจากเลี้ยวหลายครั้ง หวางซืออวี่ชี้ไปยังด้านหน้า “ถึงแล้ว”
หลี่มู่มองเห็นว่าตำแหน่งหัวโค้งของผาหินมีต้นหลิวระย้าดอกไม้บานสะพรั่ง ด้านหลังเผยให้เห็นที่ราบผืนหนึ่งขนาดราวหนึ่งหมู่ วิหารหินขนาดเล็กหลังหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ด้านในต้นสนโบราณสูงเทียมฟ้า หากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่พบเลย
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ
หลี่มู่เห็นว่า ตรงทางเข้าวิหารหิน บนหลังรูปสลักวัวดำที่นอนหมอบบนพื้นตัวหนึ่งมีป้ายหินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งตรงอยู่
บนป้ายหินมีอักษรโบราณหยางจ้วนตัวใหญ่สี่ตัวแบบบนดาวโลก…
มรรควิถีแห่งธรรมชาติ[1]
คิ้วหลี่มู่กระตุกเล็กน้อย
เมื่อมองวัวดำที่หมอบบนพื้นอีกครั้ง ใจของเขาตระหนักถึงอะไรได้ลางๆ
เขาเดินเข้าไปอีก
ทุกส่วนของวิหารหินนี้ถูกแกะสลักจากหินทั้งก้อน ครบถ้วนสมบูรณ์มาก สูงหนึ่งจั้ง ยาวราวสิบฉื่อ ความลึกก็เหมือนจะสิบฉื่อเช่นกัน เมื่อเหยียบบันไดหินเก้าชั้นขึ้นไป มาถึงประตูวิหารหินแล้วเงยหน้าขึ้นมอง จะเห็นป้ายหินแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ด้านบน อักษรหยางจ้วนตัวใหญ่สามตัวเขียนว่า…
‘วิหารเต้าเต๋อ’
หลี่มู่มองไปยังหวางซืออวี่
หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้าฉันเคยมาที่นี่แล้ว พอเห็นของพวกนี้ก็อดคิดไปถึงเหล่าจื่อปราชญ์เมธีโบราณบนดาวโลกไม่ได้ แต่พูดตามจริง ฉันไม่ได้คิดเชื่อมโยงถึงขนาดนั้น คิดว่าน่าจะเป็นความประจวบเหมาะที่ประหลาดดีมากกว่า แต่หลังจากฟังนายพูดเรื่องปรัชญาเมธีโบราณจากดาวโลกเปิดเส้นทางเซียน เดินทางออกจากโลก เหยียบเข้าสู่ทางช้างเผือก ฉันว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ ดังนั้นเลยคิดว่าควรจะพานายมาดูที่นี่หน่อย”
เหล่าจื่อออกจากด่านไปทางตะวันตก ขี่วัวดำ เหยียบเมฆาม่วงจากไป และทิ้งราชาแห่งคัมภีร์ ‘เต๋าเต๋อจิง’ เล่มหนึ่งไว้บนดาวโลก เต้าเต๋อจิงมีเนื้อหาเรื่องวิถีการฝึกตน การบริหารบ้านเมือง การทหาร และการดูแลสุขภาพ เน้นหนักที่ ‘อริยะภายในราชธรรมภายนอก’[2] แนวคิดหลักก็คือ ‘มรรควิถีแห่งธรรมชาติ’ หรือก็คือตัวอักษรที่เขียนอยู่บนป้ายหินบนหลังรูปปั้นวัวดำหน้าวิหารหินนั่นเอง
ทั้งหมดตรงหน้านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
หลี่มู่ตระหนักได้ว่าวัดซ่อนมรรคาแห่งนี้เกี่ยวข้องกับตัวเหล่าจื่อ
แต่ที่นี่เป็นอารามเต๋าของราชวงศ์ซ่งเหนือ หรือว่าราชวงศ์ซ่งเหนือในตอนนั้นจะเกี่ยวข้องกับเหล่าจื่อกันแน่?
ทว่านี่ไม่ถูกต้อง
รัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงเคยพูดไว้ ราชวงศ์ต้าเยวี่ยในอดีตต่างหากจึงจะเป็นจักรวรรดิที่สร้างขึ้นโดยปรัชญาเมธีจากดาวโลก ต่อมาสามจักรวรรดิถึงถูกสถาปนาขึ้นโดยพวกกบฏซึ่งแบ่งแยกล้มล้างราชวงศ์ต้าเยวี่ย หรือก็คือฉินตะวันตก ซ่งเหนือ และฉู่ใต้สามจักรวรรดิใหญ่ มีความสัมพันธ์เป็นศัตรูกันกับต้าเยวี่ยหรือปรัชญาเมธีจากดาวโลก หากพูดจากมุมมองนี้ ราชวงศ์ซ่งเหนือกับเหล่าจื่อก็เป็นศัตรูกัน
เช่นนั้นทำไมในอารามเต๋าของราชวงศ์ซ่งเหนือถึงมีวิหารเต้าเต๋อได้?
หลี่มู่คิดทบทวนก็ยังไม่เข้าใจ
เขาเดินเข้าไปด้านในวิหารใหญ่ และเห็นว่าตำแหน่งตรงกลางที่ควรจะเป็นจุดกราบไหว้บูชาเทพเจ้ากลับว่างเปล่า บนแท่นหินมีฐานดอกบัว แต่ไม่มีรูปสลัก รอบฐานมีรอยดาบรูธนูบางส่วน รอยผ่าของขวาน และยังมีร่องรอยไฟไหม้…ไม่เหมือนรอยที่มีอยู่แต่เดิม แต่เหมือนถูกคนจงใจทำลาย
ในวิหารใหญ่ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก ทั้งวิหารหินกว้างโล่งมาก
แต่หลี่มู่มองออกว่าวิหารแต่เดิมไม่ควรเป็นเช่นนี้ สิ่งของด้านในถูกทำลายและขนย้ายออกไปแล้ว
“พ่อบุญธรรมบอกว่า เมื่อก่อนวิหารเต้าเต๋อมีวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่มาก เดิมทีมีราชวงศ์ซ่งเหนือบูชาและเฝ้ารักษา ต่อมาย้ายเมืองหลวงไปทางใต้ ฐานะของวัดซ่อนมรรคาจึงเสื่อมถอยลง วัตถุมากมายในนี้ล้วนถูกนำออกไป ย้ายไปที่วังประสานฟ้าเมืองหลินอัน แต่ว่าวังประสานฟ้านั่นมีการคุ้มกันเข้มงวด นอกจากพระราชโองการจากจักรพรรดิแล้ว ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้าไป ฉันก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไปเลย ไม่รู้ว่าด้านในมีสภาพยังไง” หวางซืออวี่กล่าวขึ้นจากอีกด้าน
หลี่มู่พยักหน้า
แต่หากบอกว่าราชวงศ์ซ่งเหนือ ‘ย้าย’ ของที่นี่ออกไป หลี่มู่ทำไมรู้สึกว่าเรื่องไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น ดูจากร่องรอยในสถานที่นี้ เหมือนเป็นการปล้นชิงไปมากกว่า
หลังเดินเตร่อยู่ในวิหารหินอีกหนึ่งรอบ เมื่อไม่พบอะไรเพิ่มเติม พวกหลี่มู่สองคนจึงทำได้เพียงออกมา
ทว่า ขณะที่เดินมาถึงหน้าป้ายหินบนหลังวัวดำหมอบ หลี่มู่หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง
เพราะยามนี้เขาพบว่าด้านหลังแผ่นศิลามีตัวอักษรสลักไว้เช่นกัน…
“เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าแท้ นามที่เรียกขานได้มิใช่นามแท้ ความไม่มีคือบ่อเกิดแห่งฟ้าดิน ความมีคือมารดาแห่งสรรพสิ่ง ยามไม่มีจึงพินิจถึงความลึกล้ำแยบคาย ยามมีจึงพิจารณาจุดเริ่มต้นสิ้นสุด ความมีและความไร้มีบ่อเกิดเดียวกัน นามต่างกัน กล่าวได้ว่าล้ำลึกสุดแสน ความลึกล้ำสุดแสนคือประตูสู่ความรู้แจ้งของสรรพชีวิต!”
ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ
ประโยคเหล่านี้เป็นเนื้อหาบทที่หนึ่งในราชาแห่งคัมภีร์ ‘เต้าเต๋อจิง’ ที่เหล่าจื่อประพันธ์ขึ้น
และเป็นบทนำที่จับจุดสาระสำคัญของเต้าเต๋อจิง
เมื่อก่อนตอนที่อยู่บนโลก หลี่มู่เคยอ่าน ‘เต้าเต๋อจิง’ มาแล้ว
ครั้งนั้น ภายใต้การบีบบังคับด้วยกำลังของซินแสเฒ่า หลี่มู่อ่านคัมภีร์ร้อยสำนักจนคุ้นเคย เพียงท่องจำได้แต่ไม่เข้าใจ ซินแสเฒ่าก็ไม่ได้อธิบายความหมายด้านใน ทว่าในเวลาว่าง ซินแสเฒ่าจะประเมินค่า ‘เต้าเต๋อจิง’ ไว้สูงมาก เข้าใจว่ามันคือ ‘ต้นกำเนิดแห่งมรรคอันยิ่งใหญ่’ หลายครั้งซินแสเฒ่าอ่านเนื้อหาของ ‘เต้าเต๋อจิง’ เสียงดังอยู่ข้างหูหลี่มู่ แต่ตอนนั้นไม่รู้ทำไมหลี่มู่ไม่ตระหนักเข้าใจอะไรเลย ทำให้ซินแสเฒ่าโมโหจนดุด่าเขาเสียงดังว่าสมองทึบ
ยามนี้ไม่เพราะเหตุใด เมื่อเห็นบรรทัดตัวอักษรบนป้ายหิน จู่ๆ หลี่มู่ก็เหม่อลอย
เขานวดตาตัวเอง และตกใจเมื่อเห็นว่าตัวอักษรบรรทัดนี้เหมือนมีชีวิต ขยับไปมาอยู่บนป้ายหิน จากนั้นจิตใจของเขาถูกดึงเข้าไปในตัวอักษรที่ขยับอยู่นี้ในพริบตา ตัดขาดจากรอบข้างไปทั้งหมด
……………………………………….
[1] มรรควิถีแห่งธรรมชาติ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงของเล่าจื๊อ (เหล่าจื่อ) เป็นหลักที่เน้นการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่ฝืนกฎธรรมชาติ ด้วยเชื่อว่ามนุษย์และธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกัน
[2] อริยะภายในราชธรรมภายนอก เป็นแนวคิดทางเต๋า สอนให้ใจคนมีจริยธรรมคุณธรรม ทั้งยังสามารถแผ่ความเป็นอริยะในจิตใจออกไป ประพฤติปฏิบัติตามหลักราชธรรมได้