จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 394 มรรควิถีแห่งธรรมชาติ
หลี่มู่รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างไร้ความรู้สึก พลังจิตวิญญาณกระจัดกระจายราวขี่ม้าไม่รู้ทิศทาง เขามาถึงด้านในอาณาเขตไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง บนล่างซ้ายขวาไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีความรู้สึกของเวลา กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยากที่จะรวบรวมความคิดได้
ความรู้สึกเช่นนี้ประหลาดจนถึงที่สุด ภายในหัวรู้สึกถึงแต่ความสุขสมที่ยากจะอธิบาย เหมือนกับในเรื่องไซอิ๋วที่ซุนหงอคงฟังพระอาจารย์โพธิพร่ำสอน ฟังจนเข้าใจลึกซึ้ง แล้วรู้สึกเพียงยินดีจนยิ้มแย้มเบิกบานคล้ายตนเองยังรับไม่ค่อยไหว ทว่าหากให้บอกว่ายินดีที่จุดไหน กลับพูดออกมาไม่ได้เช่นกัน
ความลึกล้ำสุดแสน คือประตูเปิดสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพสิ่ง
นี่คือความรู้สึกลึกล้ำอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
พริบตาต่อมา…
“นาย นาย…”
ข้างหูพลันมีเสียงที่คุ้นเคยยิ่งแว่วมาจากไกลๆ
หลี่มู่สะดุ้งตกใจ ได้สติกลับมาโดยพลัน
เป็นหวางซืออวี่ที่กำลังจ้องเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างๆ
“โฮ่ง คนเลี้ยง เจ้าโดนผีสิงหรือไงกัน?” เจ้าฮัสกี้นายพลมองหลี่มู่ด้วยสีหน้าดูถูก เอ่ยว่า “ขนาดรูปสลักวัวดำยังนั่งมองอยู่ได้ตั้งครึ่งชั่วยาม บ๊องไปแล้วหรือ”
หลี่มู่ประหลาดใจ “นี่ฉันนั่งดูไปหนึ่งชั่วยาม?”
หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “ใช่ เมื่อกี้นายจ้องป้ายหินนี่ เหมือนวิญญาณหลุดออกไปนอกโลกแล้ว ยังกับถอดวิญญาณ เดี๋ยวก็ยิ้มแย้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า อีกเดี๋ยวร้องไห้ออกมา อีกเดี๋ยวก็โมโห ครึ่งชั่วยามเต็มๆ ตอนแรกฉันคิดว่านายกำลังทำความเข้าใจเต๋าเลยไม่กล้ากวน แต่ดูสีหน้านายแล้วไม่ค่อยเข้าทีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็เลย…”
พูดถึงจุดนี้ หวางซืออวี่กล่าวด้วยสีหน้ากังวลและเสียใจ “เพื่อนยาก ฉันไม่ได้ทำลายโอกาสของนายไปใช่ไหม?”
เธอก็เคยอ่านนิยายกำลังภายในมาบ้าง อีกทั้งเมื่อมาถึงที่นี่ยังได้ยินบรรดาองครักษ์จวนอ๋องพูดถึงเรื่องวรยุทธ์ เคยได้ยินเรื่องการเข้าฌานเอย การรู้แจ้งเอยมาเช่นกัน
หลี่มู่ส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่ถึงเวลาแล้ว ฉันเลยถอยออกมาได้” ไม่เช่นนั้น เสียงของหวางซืออวี่ที่ไม่มีพลังยุทธ์เลยจะปลุกเขาจากสภาวะประหลาดซึ่งลึกล้ำสุดแสนในความมืดได้อย่างไร
เพียงแต่ ในสัมผัสทั้งห้าของตนเองเมื่อครู่รู้สึกเพียงแค่พริบตาชัดๆ ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม
หวางซืออวี่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมา ยิ้มบอกว่า “แบบนั้นก็ดี…จริงด้วย บนป้ายหินนี้มีอะไรกันแน่”
เธอสนอกสนใจมาก และอิจฉามากด้วย
วัวดำแบกศิลาเหมือนกัน ตัวอักษรด้านบนเหมือนกัน ทุกครั้งที่เธอตามบิดาบุญธรรมมาจุดธูปไหว้พระที่วัดซ่อนมรรคาก็มักจะเห็นอยู่เสมอ แต่ว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ส่วนหลี่มู่เพียงแค่มาเห็นครั้งแรก ก็เข้าสู่สภาวะรู้แจ้งแล้ว…น่าโมโหจริงๆ
หลี่มู่เล่าเรื่องเมื่อสักครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง “ป้ายหินวัวดำนี้แปลกมาก โดยเฉพาะตัวอักษรบรรทัดนี้ สามารถเหนี่ยวนำจิตใจฉันได้” พลังจิตวิญญาณของเขากว้างใหญ่ราวทะเล ได้ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ มา ยิ่งเหนือกว่าขั้นเทวะทั่วไป แต่เพียงมองแวบเดียวก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในสภาวะลึกล้ำสุดแสนเช่นนั้น ป้ายหินวัวดำนี้น่ากลัวนัก
ทว่า ตอนที่เขากลับไปดูอักษรประโยคนี้อีกครั้ง กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้น
ด้านหลังของแผ่นหิน ตัวอักษรบทที่หนึ่งของเต้าเต๋อจิงนั้นหายไปหมดแล้ว พื้นผิวราบเรียบ ลายหินกลมกลืนกัน เต็มไปด้วยร่องรอยลมฝนซัดสาด ประหนึ่งตัวอักษรเหล่านั้นเมื่อครู่เป็นแค่ภาพจินตนาการ
หวางซืออวี่ก็คิดว่าไม่ปกติ “เอ๋? ตัวอักษรหายไปแล้ว”
เธอวิ่งเข้าไป ใช้มือลูบผิวด้านหลังของป้ายหิน พูดขึ้นอย่างตกใจว่า “เหมือนไม่เคยมีตัวอักษรบรรทัดนั้นเลย ผิวหินหยาบๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หลี่มู่ นายรีบสัมผัสดูหน่อย ที่เข้าฌานเมื่อกี้ได้อะไรมาบ้างไหม”
“เหมือนจะไม่มีอะไรนะ…” หลี่มู่พูดออกมาจากจิตใต้สำนึก ใช้พลังจิตวิญญาณมองไปด้านใน จู่ๆ ก็เผยสีหน้าประหลาดออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” หวางซืออวี่ถามเขา
หลี่มู่ไม่พูดอะไร แต่ยกมือขึ้นมา
ห่างออกไปราวสามจั้ง ต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าขนาดห้าหกคนโอบขาดออกเป็นยี่สิบสามสิบท่อนอย่างไร้สุ้มเสียง รอยตัดเรียบดุจผิวกระจก จากนั้นเมื่อถูกลมพัด เปลวเพลิงลุกพรึ่บขึ้นมา เปล่งแสงวูบวาบเล็กน้อย ก่อนหายวับไปในอากาศ
“โฮ่ง?!” เจ้าฮัสกี้นายพลกระโดดเหยง
“ว้าว ร้ายกาจขนาดนี้เลย?” หวางซืออวี่ก็ตกใจด้วย
สองคนหนึ่งสุนัขมาถึงจุดที่ต้นไม้โบราณสูงเทียมฟ้าตั้งอยู่
เห็นเพียงว่าพื้นดินเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง เมื่อก้มลงดู กระทั่งรากต้นไม้ก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นธุลีลอยไปหมดแล้ว ตำแหน่งเดิมของรากกลายเป็นรูเล็กๆ ใหญ่ๆ หลายสาย คดเคี้ยวไปมาเหมือนกับรังมดยักษ์ ต่อให้เป็นรูของรากที่เล็กเรียวปานเส้นผมก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
ไอร้อนพุ่งออกมาจากรูด้านล่างนี้
หวางซืออวี่และเจ้าฮัสกี้หนึ่งคนหนึ่งสุนัขมองมาทางหลี่มู่
หลี่มู่เองก็ตกตะลึง
นี่คือพลังสังหารขั้นที่หนึ่งของ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ ที่เขาตั้งใจอนุมานก่อนหน้า
เมื่อครู่ที่ยกมือฟันดาบ ปล่อยจิตดาบออกไป โดยพื้นฐานถือว่าอยู่ในสภาวะไร้รูปไร้กลิ่นแล้ว
สำเร็จจิตดาบขั้นต้น!
หลี่มู่ยินดีในใจ ไม่คิดว่าการกระทำโดยไม่ไตร่ตรองจะได้รับสิ่งที่น่าตกใจเช่นนี้มา
นี่ต้องเกี่ยวข้องกับตัวอักษรบทที่หนึ่งของเต้าเต๋อจิงบนป้ายหินวัวดำแน่นอน
หลี่มู่ตั้งสติและทำความเข้าใจ
จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทานหลายสายฟันผ่าอากาศภายใต้การควบคุมของเขา การใช้งานค่อยๆ คุ้นเคยมากขึ้น เพียงแค่นึกก็แบ่งจิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทานออกมาได้ถึงหกสาย เปลี่ยนแปลงสภาพระหว่างจริงและปลอม ฟาดฟันได้น่าตกใจ ซ้ำยังผสานวิชาดาบ ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่หลี่มู่คิดค้นเข้าไป จากนั้นใช้จิตดาบสำแดงวิชาดาบออกมา
“ร้ายกาจจริงๆ”
ใบหน้าของเขาเผยความตกใจระคนยินดี
ปรัชญาเมธีบนดาวโลกยอมแล้วรับว่า ‘เต้าเต๋อจิง’ เป็นราชาแห่งหมื่นคัมภีร์ ตำราคัมภีร์มากมายของคนรุ่นหลัง วิวัฒน์มาจากรากฐานของ ‘เต้าเต๋อจิง’ ทั้งสิ้น นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทที่หนึ่งเท่านั้น แค่พริบตาก็ทำให้เขาสำเร็จจิตดาบขั้นแรกได้แล้ว
หลี่มู่พลันรู้สึกสนใจสิ่งของอื่นๆ ที่เก็บซ่อนไว้ใน ‘วิหารเต้าเต๋อ’ นี้เสียแล้ว
หวางซืออวี่บอกว่าแต่ก่อนที่นี่เคยเก็บซ่อนเครื่องบรรณาการและวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ไว้มากมาย ถ้าหลี่มู่เดาไม่ผิด น่าจะเป็นสิ่งของบางส่วนที่ปรัชญาเมธีเหล่าจื่อทิ้งเอาไว้ตอนนั้น หากได้สิ่งเหล่านี้มา ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะบรรลุขั้นสมบูรณ์ของ ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ ก็เป็นได้
ถึงแม้บอกว่า ‘จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทาน’ เป็นวิชาโจมตีสังหารศัตรู ไม่เกี่ยวข้องกับขั้นพลัง แต่มีวิชาป้องกันตัวเองเพิ่มมาสักหนึ่งวิชาก็เก็บไว้เป็นไพ่ลับได้ หลี่มู่ตอนนี้มี ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ อยู่ในมือ และยังมี ‘วิชาก่อนกำเนิด’ การเลื่อนขั้นพลังนั้นไม่ยาก แต่ที่ยากคือการหาวิชาต่อสู้ของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าจื่อทิ้ง ‘เต้าเต๋อจิง’ บทที่หนึ่งเอาไว้บนป้ายหินวัวดำนี้ เช่นนั้นเต้าเต๋อจิงบทอื่นๆ ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ที่โบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านั้น นั่นเป็นถึง ‘เต้าเต๋อจิง’ ที่เหล่าจื่อทิ้งไว้เอง ไม่เหมือนคัมภีร์คัดลอกทั่วไปของคนรุ่นหลังบนดาวโลกแน่นอน อาจจะมีประโยชน์ต่อพลังฝึกของหลี่มู่มาก
พริบตานี้ หลี่มู่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปดูที่หลินอันเมืองหลวงของซ่งเหนือเสียหน่อย
เพราะจากคำพูดของหวางซืออวี่ วังประสานฟ้าที่เก็บซ่อนวัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ไว้อยู่ในเมืองหลินอัน
เขาตรวจค้นทั่วทั้งวิหารเต้าเต๋ออีกครั้ง กระทั่งใช้เนตรสวรรค์ตรวจสอบ แต่ไม่มีอะไรอยู่อีก ดูท่าทางสิ่งของในนี้คงถูกย้ายออกไปหมดแล้ว
หลี่มู่โค้งคำนับที่ด้านหน้าวิหาร จากนั้นจึงออกมา
ยามกลับมาถึงอาศรมด้านหน้า ปาเสียนอ๋องที่พักผ่อนจนเพียงพอแล้วกำลังดื่มชาสนทนากับจ้าวจี้
เมื่อเห็นพวกหลี่มู่สองคนเดินเข้ามา ปาเสียนอ๋องเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับมาแล้ว ฮ่าๆ ไปที่วิหารเต้าเต๋อมาแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่อวี่เอ๋อร์มาวัดซ่อนมรรคา จะต้องแวะไปนั่งดูที่วิหารเต้าเต๋อ บอกว่าที่นั่นมีร่องรอยของบ้านเกิดนาง แต่พอถามว่าบ้านเกิดนางอยู่ที่ไหนกลับไม่ยอมบอก ท่านเทวะหลี่กับอวี่เอ๋อร์เป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าไม่ต้องเดาก็รู้ว่าท่านต้องสนใจวิหารเต้าเต๋อแน่นอน”
หลี่มู่ตอบกลับยิ้มๆ “ถูกต้อง เมื่อเห็นก็คิดถึงขึ้นมาเลย รู้สึกสนใจจริงๆ ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องวางแผนจะทำอย่างไรต่อ?”
ปาเสียนอ๋องบอก “ข้าจะรีบกลับไปเมืองหลินอันโดยเร็ว จิ้นอ๋องตายแล้ว สถานการณ์ต้องวุ่นวาย พวกกบฏทั้งเจ็ดที่เหลือจะต้องแย่งชิงอำนาจของจิ้นอ๋องเป็นแน่ ข้าหวังว่าจะช่วยองค์จักรพรรดิโจมตี แย่งพื้นที่ศักดินาของจิ้นอ๋องคืนมาได้ก่อน จากนั้นค่อยโจมตีกบฏทั้งเจ็ดให้แตกพ่าย ให้ต้าซ่งจบความวุ่นวายนี้ลงเสียที ชาวประชาจะได้มีวันคืนสงบสุขอีกครั้ง”
เมื่อพูดถึงการตายของจิ้นอ๋อง ปาเสียนอ๋องปลงอนิจจังยิ่งนัก
กบฏล้มล้างจักรพรรดิที่แข็งแกร่งจนราชวงศ์ซ่งเหนือต้องปวดหัวอย่างยิ่งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าขั้นเทวะก็ไม่ต่างจากมดปลวก ถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย นี่คือพลานุภาพของยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง เพราะอะไรก่อนนี้เก้ายอดคนจึงควบคุมดวงชะตาของอาณาจักรใหญ่เอาไว้ได้…นี่ก็คือสาเหตุ
หากหลี่มู่สามารถอยู่ซ่งเหนือต่อและรับใช้ราชสำนักได้ละก็ ในช่วงหลายวันนั้นน่าจะทำให้การก่อกบฏนี้สงบลงได้กระมัง
ในใจปาเสียนอ๋องคาดหวังเช่นนี้อยู่
แต่เวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจ ฐานะขั้นเทวะนั้นน่าเคารพเหลือประมาณ จะถูกชักจูงมาง่ายๆ ได้อย่างไร?
เขามองไปทางธิดาบุญธรรมแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับหลี่มู่ ถ้าหากออกความเห็นจากด้านนี้ จะดึงหลี่มู่ไว้ที่ซ่งเหนือได้หรือไม่กัน?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ให้ข้าส่งท่านอ๋องกลับไปดีกว่า พอดีเลย ข้าก็อยากไปเมืองหลินอันเช่นกัน ไปดูความเจริญของเมืองหลวงซ่งเสียหน่อย” หลี่มู่กล่าว
ปาเสียนอ๋องยินดีอย่างมาก เอ่ยว่า “ฮ่าๆ ดีจริงๆ ลำบากเทวะหลี่แล้ว”
นี่เหมือนมีคนมาส่งหมอนให้ตอนจะเข้านอนชัดๆ ขอแค่หลี่มู่ยอมไปเมืองหลินอัน ก็มีโอกาสที่จะดึงเขามาเป็นพวกแล้ว
หวางซืออวี่ยิ้มร่ามองหลี่มู่อยู่อีกด้าน เธอรู้การตัดสินใจคร่าวๆ ในใจหลี่มู่ ทว่าไม่ได้ทักอะไรออกมา
หลี่มู่สั่งหยวนโห่วให้ไปตามกระเรียนขาว
เพียงครู่เดียว ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของพวกปาเสียนอ๋อง กระเรียนยักษ์สีขาวก็ร่อนลงมาจากฟ้า
หลังจากจัดแจงเสร็จสิ้น หลี่มู่พาพวกปาเสียนอ๋อง จ้าวจี้ และหวางซืออวี่สิบกว่าคนเดินทางออกจากวัดซ่อนมรรคา ส่วนองครักษ์ติดตามของปาเสียนอ๋องคนอื่นๆ กลับไปกันเอง
นักพรตเต้าฉินเจ้าอารามแห่งวัดซ่อนมรรคามองส่งทุกคนจากไปอยู่ที่หน้าประตูใหญ่
วัดซ่อนมรรคาที่เดิมทีคึกคักกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
“ท่านเจ้าอาราม ตัวอักษรบนป้ายหินวัวดำหายไปแล้วขอรับ” นักพรตน้อยหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางอายุไม่เกินสิบปี น้ำเสียงเด็กน้อยกระซิบเตือน
นักพรตเต้าฉินพยักหน้า “จริงด้วย หายไปจนได้…วันนี้ ในที่สุดก็มาถึงเสียที”
“ท่านเจ้าอาราม แล้วพวกเราต้องทำยังไงต่อไป” นักพรตน้อยดวงตาดำเป็นประกาย รูปโฉมงดงาม สีหน้าเยือกเย็นกว่าคนทั่วไป
นักพรตเต้าฉินตอบว่า “ให้พวกศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าศักดิ์แซ่เฉิง[1]ลงเขาไปให้หมด ตอนนี้ใต้ฟ้าวุ่นวายนัก ศิษย์สำนักเต๋าของข้าควรจะปฏิบัติตามคำสอนบรรพจารย์ ลงเขาไปช่วยเหลือคน”
“ศิษย์รับทราบขอรับ” นักพรตน้อยหันกายเดินออกไป
นักพรตเต้าฉินยืนอยู่ที่ประตูใหญ่วัดซ่อนมรรคา มองไปยังคลื่นสีเขียวไร้ขอบเขตดุจทะเลเบื้องล่างเขาหัวโค ตอนนี้ค่อยๆ เข้าสู่ช่วงปลายสารทฤดูแล้ว อีกไม่นานจะกลายเป็นสายลมปลายสารทต้นเหมันต์ ทะเลเขียวมรกตเปี่ยมด้วยชีวิตผืนนี้ก็จะกลายเป็นที่ที่ใบไม้เหลืองปลิวร่วงโรย
สำนักเต๋า เมื่อรุ่งโรจน์ปลีกตัวในเขาลึก เมื่อเกิดความวุ่นวายลงเขาไปช่วยเหลือผู้คน
นี่คือจุดมุ่งหมายสำคัญ
ไม่นานนัก บรรดานักพรตเต๋าที่เก็บข้าวของเรียบร้อยก็เดินทางออกจากอารามไป
มีทั้งคนชราที่ผมขาวโพลน มีทั้งวัยรุ่นใบหน้าอ่อนเยาว์ น่าจะไม่เกินสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ในนั้นยังรวมถึงคนรุ่นเยาว์ที่ยืนเหยียบกังหันทดน้ำข้างสระซึ่งหลี่มู่พบเจอก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าก็มีวัยรุ่นกำลังวังชาเต็มเปี่ยมอีกร้อยกว่าคน สวมใส่ชุดนักพรตมีรอยปะชุนที่ซักมาสะอาดสะอ้าน
ทั้งตัวพวกเขา สัมภาระทั้งหมดมีเพียงกระเป๋าใบเล็กที่ใส่เสบียงแห้ง น้ำสะอาด และเสื้อผ้า รวมทั้งกระบองไม้หรือกระบองเหล็กอันหนึ่งไว้ใช้สำหรับป้องกัน
นักพรตเต๋าแห่งวัดซ่อนมรรคาล้วนเป็นยอดฝีมือสายยุทธ์เช่นกัน
เหล่านักพรตเดินเข้ามา ดวงตาแดงเรื่อ ฝืนกลั้นน้ำตาไว้พลางคารวะนักพรตเต้าฉิน จากนั้นหมุนตัวกลับอย่างเงียบงัน เดินสู่ทางลงเขา กระจายไปในทิศที่แตกต่างกัน ระหว่างทางพวกเขาทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนจะแยกย้ายหายไปในขุนเขาแม่น้ำช่วงปลายสารทฤดู
นักพรตเต้าฉินรับการคารวะทีละคน
การเดินทางครั้งนี้ เขาสูงเส้นทางไกล โลกมนุษย์กว้างใหญ่ ก็เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ
แม้จะมีพลังแข็งแกร่งติดตัว ทว่าภัยพิบัติในโลกมนุษย์ครั้งนี้น่ากลัวนัก ศิษย์ที่ลงเขาไปในวันนี้ สุดท้ายแล้วจะกลับมาได้สักกี่คน?
นักพรตน้อยวัยเยาว์หน้าตาหล่อเหลาที่พูดก่อนหน้านี้อยู่ท้ายสุดของกลุ่ม สะพายกระเป๋าเดินออกมา ดวงตาแดงก่ำมีประกายน้ำตาระยิบระยับ คารวะเบื้องหน้านักพรตเต้าฉินและเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเจ้าอาราม ศิษย์ไปแล้ว ท่านดูแลตนเองด้วยขอรับ”
นักพรตเต้าฉินถอนหายใจ “เสวียนจีจื่อ เจ้าคอยอยู่ที่วัดซ่อนมรรคานี้เถิด”
“เอ๋? ศิษย์พี่ไปกันหมด ข้าเองก็อยู่ต่ำกว่าศักดิ์แซ่เฉิง ข้า… ” นักพรตน้อยรู้สึกเกินคาดอย่างเห็นได้ชัด
นักพรตเต้าฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยู่ที่วัดซ่อนมรรคา ถ้าแผ่นดินสงบแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้ากลับมา จะไม่มีใครคอยเปิดประตูต้อนรับพวกเขาหรือ?”
นักพรตน้อยพลันตระหนักถึงอะไรได้ เอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าอาราม ท่านกับพวกอาจารย์อา…ก็จะออกไปด้วยหรือ”
นักพรตเต้าฉินพยักหน้า “พวกเราก็จำเป็นต้องทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเช่นกัน ขณะที่เต๋ากำลังพบกับภัยพิบัติ พวกเราจะหลบซ่อนใช้ชีวิตไปวันๆ ได้อย่างไร”
“แต่ว่า…” ในใจนักพรตน้อยเสวียนจีจื่อหวาดกลัวเจ็บปวดถึงขีดสุด กล่าวว่า “แต่ว่าถ้าเป็นเช่นนี้ วัดซ่อนมรรคาของพวกเราจะไม่…ว่างเปล่าหรือ”
นักพรตเต้าฉินยิ้มตอบ “ไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าอยู่หรือ?”
เสวียนจีจื่อน้ำตาไหลพรากทันที
เจ้าอารามเปลี่ยนความคิดกะทันหัน ให้เขารั้งอยู่ที่นี่ อีกทั้งพูดมาเช่นนี้ เห็นชัดว่าสังหรณ์ถึงอันตรายในเรื่องที่กำลังจะไปทำ ดังนั้นจึงไม่มั่นใจว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ ทว่าใต้ฟ้านี้ หากเจ้าสำนักคิดจะหนี ยังมีใครคนไหนสามารถขวางเขาและพวกอาจารย์อาได้อีก? เจ้าอารามได้กอดปณิธานที่จะตายเอาไว้แล้ว!
“ท่านเจ้าอาราม ข้า…” เสวียนจีจื่อยังอยากพูดอะไรอีก
เต้าฉินลูบศีรษะของเขาเบาๆ กล่าวว่า “เด็กโง่ สายสำนักเต๋าบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว ไม่แน่ว่าอาจต้องอาศัยเจ้าเผยแพร่ต่อไป จำไว้ว่าหลังจากปิดภูเขา ให้พากเพียรฝึกฝนวิชาเต๋า อย่าเล่นให้มากนัก เจ้าสติปัญญาหลักแหลม มีวาสนากับสำนักเต๋า…”
พูดจบ ร่างของเขากลายเป็นลำแสงหายวับไป
เวลาเดียวกัน ในวัดซ่อนมรรคามีลำแสงอีกนับสิบสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า พริบตาเดียวก็หายไปจากเส้นขอบฟ้าไกล
“เจ้าอาราม อาจารย์อา…ฮือๆ” เสวียนจื่อจีน้ำตาไหลปานสายฝนอยู่หน้าประตู
วัดซ่อนมรรคาที่ใหญ่เช่นนี้ หลังจากนี้ไปเหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว
เขายืนอยู่ที่ประตูอย่างโดดเดี่ยว นิ่งงันอยู่นาน ในที่สุดจึงค่อยๆ หันหลังกลับ เดินเข้าไปด้านในประตูวัด
“ข้าจะปกป้องวัดนี้ไว้ให้ดี ศิษย์พี่น้องทั้งหลาย พวกเขาต้องกลับมาแน่ ขอแค่เสียงระฆังที่ประตูดังขึ้น ข้าจะตรงมาเปิดทันที…และท่านเจ้าอาราม เหล่าอาจารย์อา พวกเขาก็ต้องกลับมาแน่นอน”
เสวียนจีจื่อเช็ดน้ำตา พูดกับตัวเองเสียงดัง
ปึง!
ประตูใหญ่วัดซ่อนมรรคาปิดลง
ระลอกคลื่นไร้รูปร่างกระเพื่อมออกมาเป็นชั้นๆ ค่ายกลพันปีเริ่มทำงาน อิฐครามกระเบื้องเขียว สิ่งปลูกสร้างอิฐและไม้ล้วนค่อยๆ เลือนรางหายไป วัดโบราณพันปีแห่งนี้ถูกปิดผนึก เหลือไว้เพียงระฆังใหญ่ขึ้นสนิมใบหนึ่งแขวนไว้ใต้ต้นสนโบราณ
บนระฆังมีอักษรอยู่ว่า…
มรรควิถีแห่งธรรมชาติ
……………………………………….
[1] ศักดิ์แซ่ หรือชื่อรุ่น เป็นการใช้ตัวอักษรเดียวกันตั้งชื่อเพื่อสื่อถึงความเป็นรุ่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หยางหมิงกวงเป็นพี่ชาย น้องหรือคนอื่นในรุ่นเดียวกันก็จะใช้ชื่อขึ้นต้นว่าหยางหมิงด้วย ซึ่งหยางคือสกุล หมิงคือศักดิ์แซ่ที่บังคับใช้ในรุ่น ในที่นี้ศักดิ์แซ่เฉิงเปรียบได้กับรุ่นของศิษย์ในสำนัก