จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 414 จริยะวีรบุรุษ
“ฝ่าบาท ไม่ได้ ให้ข้าเหล่าจางไปเถิด”
“เราสองคนจะออกไปต้านทหารที่ไล่ตาม ถึงตายก็ไม่เสียดาย ฝ่าบาท พระองค์ต้องพาเชื้อเพลิงแห่งต้าเยวี่ยไป จะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้”
จางซานและมู่ชิงทั้งสองคนร้อนใจ
เวลานี้ ถ้าอยู่ต่อเพื่อต้านรับจักรพรรดิฉินหมิงก็คือการเดินไปหาความตาย
อวี๋ฮว่าหลงเอ่ย “หากพวกเจ้าอยู่ จะสกัดเอาไว้ได้หรือ?”
ทั้งสองคนนิ่งอึ้งไป
นั่นสิ ถ้าพวกเขาอยู่ ก็ต้านไว้ไม่ได้แน่นอน
ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งเทวะ ในอดีตสามารถใช้อำนาจได้ทั่วแผ่นดิน ทว่าเมื่อเจอผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งเช่นจักรพรรดิฉินหมิง ความตายก็แค่ชั่วพริบที่ดีดนิ้ว เป็นการป้อนเหยื่อเข้าปากเท่านั้น
“ข้ามีวิธีขวางเขาแล้ว” อวี๋ฮว่าหลงชูกระบี่ในมือ ใบหน้าปรากฏราศีที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาหัวเราะอย่างฮึกเหิม “ข้ามีกวี ‘จริยะวีรบุรุษ’ อยู่บทหนึ่ง ครั้งนั้นหลี่มู่พูดมาแค่สามประโยคหน้า วันนี้ข้าจะเติมมันให้สมบูรณ์ ฮ่าๆ จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ จักต้องปกป้องบ้านเมืองเพื่อชาวประชา เพื่อปกป้องเส้นทางนี้ ต่อให้ตัวข้าต้องตายหลายครั้งก็ไม่เสียดาย ผู้อาวุโสทั้งสอง พวกท่านเร่งนำคนไปยังทางที่นัดแนะกันไว้และมุ่งหน้าสู่สำนักขุนคีรี จะได้รับการช่วยเหลือแน่”
เมื่อจางซานและมู่ชิงได้ยิน ก็รู้ว่ารัชทายาทเตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว
พวกเขาจะพูดอะไรต่อ อวี๋ฮว่าหลงก็พูดเสียงเฉียบขาด “ยังไม่ไปอีก หรือต้องให้ข้าอ้อนวอนพวกท่าน? จำเอาไว้ จงพาเหล่าพี่น้องให้มีชีวิตรอดต่อไป คงมีสักวันที่หลี่มู่จะแก้แค้นให้กับข้า เชื้อเพลิงแห่งต้าเยวี่ยจะคงอยู่ต่อไป”
ทั้งสองสั่นสะท้านไปทั้งกาย ทว่าท้ายสุดก็ไม่อาจพูดอะไรได้ โค้งคารวะให้อวี๋ฮว่าหลง จากนั้นจึงหันกายจากไป
หวังว่าเมื่อหลี่มู่ทราบข่าวทางนี้ จะรีบมาโดยเร็วที่สุด
ทหารที่บาดเจ็บห้อตะบึงปานสายฟ้า ทะยานตรงไปยังภูเขาใหญ่
อวี๋ฮว่าหลงยิ้มบางๆ ราวกับปลดภาระหนักอึ้งบนบ่าออกไปแล้ว เบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึก
นับตั้งแต่ตื่นขึ้นมา บนบ่าก็แบกภาระหนักพันชั่งเอาไว้ ตลอดมาต้องใช้ชีวิตอยู่กับแรงกดดัน ต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ใช้ดุลยพินิจให้มาก แต่ตอนนี้ ในที่สุดก็ไม่ต้องคิดมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว
เพียงต้องกุมกระบี่ให้มั่นแล้วสู้รบเท่านั้น
เขาก็เคยเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่เรืองอำนาจไปทั่วต้าถัง
กระบี่ของเขาเคยทำให้ยอดฝีมือในต้าถังมากมายชื่นชมอิจฉามาแล้ว
หลังจากติดตามอาจารย์เข้าสู่เส้นทางเซียน ก็นานมากแล้วที่ไม่ได้ต่อสู้จริงจัง
วันนี้มาถึงเสียที อาละวาดให้เต็มที่ไปเลยแล้วกัน
เขาจับกระบี่มือเดียว มือซ้ายทำปางมือกระบี่
นี่เป็นท่าเริ่มต้นที่ใช้ในศึกดวลกระบี่เป็นตายของจอมยุทธ์ต้าถัง ชื่อว่า ‘ก้าวย่างเป็นตาย’ ก้าวออกจากความเป็นและความตาย ใจหมายฝ่าวงล้อมศัตรู ขุนศึกพลีชีพไม่มีหวั่น
ด้านหน้า เสาเมฆค้ำฟ้าสีดำสิบต้นดั่งมังกรร้ายกำลังก่อกวนผืนฟ้า พุ่งดิ่งลงมาเหมือนจะฉีกฟ้าและดินออกจากกัน ภายใต้พลังระดับนี้ ฟ้าดินจึงเกิดการสั่นสะเทือน
อวี๋ฮว่าหลงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ผมสีดำของเขาปลิวสะบัด บนใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มบาง
คิดจะทำลายเชื้อเพลิงแห่งต้าเยวี่ย ถามกระบี่ในมือข้าเสียก่อนว่ายินยอมหรือไม่
กระบี่ยาวในมือเขาสั่นไหวเล็กน้อย ปราณกระบี่สีเขียวเป็นชั้นๆ กระจายออกจากตัวกระบี่ แผ่ออกมาซ้อนทับกันสี่ด้านแปดทิศ ราวกับใบบัวสีเขียวหลายใบค่อยๆ เบ่งบานออกอย่างงดงาม
หลี่ไป๋มีฉายาว่าอุบาสกชิงเหลียน ทั้งกวีกระบี่ล้วนเยี่ยมยอด เป็นถึงเทพกระบี่ในหมู่ขุนนางใหญ่ต้าถัง สิ่งที่ทำให้จอมยุทธ์กระบี่จำนวนมากอิจฉาเป็นอย่างยิ่งก็คือ วิชากระบี่ที่สูงส่ง ‘เพลงกระบี่บัวเขียว’
อวี๋ฮว่าหลงเป็นศิษย์ของหลี่ไป๋ แน่นอนว่าต้องได้รับถ่ายทอดมา
มังกรร้ายสีดำบนฟากฟ้าพุ่งลงมาแล้ว ประหนึ่งจะทำลายล้ายแผ่นดินผืนนี้ให้สิ้นซาก
“วันนี้ เพลงกระบี่บัวเขียวจะกู่ก้องบนแผ่นดินนี้อีกครั้ง”
อวี๋ฮว่าหลงหัวเราะ ใบบัวสีเขียวแผ่ออกรอบตัว ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ
กระบี่ยาวของเขาชี้ขึ้นฟ้า ก่อนพุ่งทะยานออกไป
ลำแสงสีเขียววูบหนึ่งส่องสว่างบาดตา ต้อนรับการมาเยือนของเสาเมฆมังกรดำชั่วร้ายอันใหญ่ยักษ์สิบต้นนั้น
“บุก!”
มังกรร้ายสีดำตัวหนึ่งเปล่งเสียงปานเหล็กสนิมเสียดสีกันออกมาพลางพุ่งเข้าไปประหัตประหารอวี๋ฮว่าหลง ก่อกวนเมฆเต็มท้องฟ้าให้ปั่นป่วน พลังขั้นมหาเทวะระเบิดออกมาทันใด
“ฮ่าๆ วันนี้จงดูจริยะวีรบุรุษเช่นข้า…ผู้กล้าแคว้นจ้าวสวมหมวกประดับพู่ ถือกระบี่ล้ำค่าวาววับดุจหิมะน้ำค้างแข็ง![1]”
อวี๋ฮว่าหลงหัวเราะเสียงดัง ขณะวาดกระบี่ บทกวี ‘จริยะวีรบุรุษ’ ของหลี่ไป๋นักกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งต้าถังถูกขับขานออกมา แสงกระบี่สีเขียวพลันระเบิดแสงสว่างดุจอาทิตย์จ้า ราวกับได้รับการเสริมพลังจากประโยคนี้
แสงเขียวกับมังกรร้ายสีดำตัดผ่านกัน
แสงสีเขียวสว่างโชติช่วง
ส่วนมังกรร้ายสีน้ำหมึกกลับดุจหิมะกลิ้งหลุนๆ เพียงสัมผัสก็พังทลาย สลายไปกลางอากาศในชั่วพริบตา เศษชิ้นส่วนสีดำนับพันกระจัดกระจาย มหาเทวะคนหนึ่งถูกสังหาร ดับสูญไปทันที
“หือ?” จักรพรรดิฉินหมิงบนเรือวาฬทะยานฟ้าเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
“อานเงินแพรวพราวบนหลังม้าขาว ห้อตะบึงตรงไปดุจดาวตก”
เสียงขับกวีของอวี๋ฮว่าหลงดังขึ้นอีก ฟ้าดินสะท้อนก้องเสียงครวญของกระบี่บัวเขียว เนิ่นนานไม่จางหาย
แสงกระบี่บัวเขียวอีกสายวาบผ่าน
มังกรร้ายสีดำอีกตัวพังทลายลงท่ามกลางแสงกระบี่ แตกสลาย ดับดิ้นไป!
เกราะเหล็กที่แตกสลายร่วงดิ่งสู่พื้นดินเหมือนความชั่วร้ายถูกฟาดฟันทำลาย
เสียงคำรามโกรธแค้นดังขึ้นในฟ้าดิน
มังกรร้ายสีดำแปดตัวที่พุ่งไปยังกองทหารผู้รอดชีวิตของต้าเยวี่ยหันทิศทางกลับ ฉีกแยกท้องฟ้าอากาศด้วยความเร็วดุจฟ้าแลบ บิดม้วนพลังฟ้าดินพุ่งตรงมายังอวี๋ฮว่าหลง
“ฮ่าๆๆ ดีจริง ดีจริงๆ”
เขายืนตะหง่านกลางอากาศ แสงดาบสีเขียวแผ่ออกมาเป็นวงแหวน ราวกับใบบัวเบ่งบานเป็นชั้นๆ ผมสีดำปลิวสไว ใบหน้ามีรอยยิ้มฮึกเหิมของจอมยุทธ์พเนจรแห่งต้าถัง ทั่วทั้งร่างเหมือนจำแลงกลายเป็นเทพกระบี่
“สิบก้าวสังหารหนึ่ง ท่องทะยานพันลี้ จบเรื่องสะบัดชายเสื้อ หลีกเร้นกายาปิดชื่อซ่อนนาม”
เสียงเพลงยาวดังก้อง เสมือนกระตุ้นพลังลึกลับบางอย่างในฟ้าดิน
อวี๋ฮว่าหลงออกกระบี่อีกครั้ง
ดอกบัวเขียวเบ่งบาน แสงกระบี่ข้ามผ่านอดีตและปัจจุบัน เพียงพริบตาก็มีมังกรร้ายสีหมึกอีกสี่ตัวถูกสังหาร แสงกระบี่สีเขียวราวกับน้ำร้อนสาดลงหิมะ ฟันมังกรร้ายขาดจากกึ่งกลาง เศษเกราะเหล็กนับไม่ถ้วนร่วงลงพื้นอีกครั้ง
“แวะร่ำสุรากับซิ่นหลิง ปลดกระบี่ขวางพาดเข่า มิดูแคลนแบ่งเนื้อให้จูไฮ่ ยกจอกเมรัยแก่โหวอิ๋ง[2]”
เพลงยาวร่ายขึ้นอีกครั้ง สอดคล้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ประดุจกำลังสะสมอะไรบางอย่าง
พลังลึกลับอย่างหนึ่งในฟ้าและดินเหมือนข้ามกาลเวลานับพันหมื่นปีมารวมกันที่อวี๋ฮว่าหลงไม่ขาดสาย ทำให้แสงสีเขียวรอบตัวเขายิ่งสว่างขึ้นไปอีก
หากตอนแรกเป็นเพียงแสงเขียวกลุ่มหนึ่ง ถึงตอนหลังก็กลายเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่สีเขียวไปแล้ว
แสงกระบี่ระยิบระยับ
มังกรร้ายสีหมึกดำที่เหลืออีกสี่ตัว แม้จะเดือดดาลหรือคลุ้มคลั่งอีกเท่าใดก็ยังยากจะต่อกรด้วย ถูกฟันกลายเป็นเศษในพริบตา สลายหายไประหว่างฟ้ากับดิน
บนเรือวาฬทะยานฟ้า เหล่าขุนนางฉินตะวันตกต่างอดหน้าถอดสีกันไม่ได้
พวกขุนพลผู้แข็งแกร่งเช่น ‘ทวนปราบปีศาจ’ หลี่หยวนป้า ก่อนหน้านี้ยามองครักษ์มารเกราะดำสิบคนที่จักรพรรดิฉินหมิงส่งออกไประเบิดกลิ่นอายมหาศาลของขั้นมหาเทวะออกมา พวกเขาก็ตกตะลึงอย่างที่สุดมาแล้ว ทว่าตอนนี้ รัชทายาทต้าเยวี่ยกลับใช้กระบี่ไม่กี่กระบวนสังหารองครักษ์มารเกราะดำขั้นมหาเทวะถึงสิบคน?
โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อก่อน พวกหลี่หยวนป้าและหลี่กังอยู่ระดับสูงสุดของขั้นเหนือมนุษย์ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสี่ยอดตำนาน จอมยุทธ์มากมายใต้หล้าเชิดชูเป็นแบบอย่างที่น่าเคารพศรัทธา ทว่าในตอนนี้ เพียงองครักษ์เกราะดำข้างกายจักรพรรดิฉินหมิงคนเดียวก็มีพลังที่จะสังหารสี่ยอดตำนานอย่างพวกเขาได้ในพริบตาแล้ว
และถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ องครักษ์เกราะดำก็ยังตายเร็วยิ่งกว่าต้นหญ้าข้างทางเสียอีก...
พวกหลี่หยวนป้ารู้สึกถึงความโศกเศร้าที่อธิบายไม่ถูก
ยุคสมัยอันยิ่งใหญ่มาถึง พวกเขากลับค่อยๆ ล้าหลังอย่างนั้นหรือ?
สุ่มเลือกองครักษ์ขั้นมหาเทวะสิบคนจากข้างกายจักรพรรดิฉินหมิงมาได้ง่ายๆ ใครจะไปรู้ว่าองครักษ์เช่นนี้ยังมีอีกเท่าไร? พลังที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมาโดยตลอดน่ากลัวขนาดไหนกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่หยวนป้ายังมองเห็นเบาะแสอื่นบางส่วนได้รางๆ
ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิฉินหมิงที่ออกจากปิดด่านมาก็แข็งแกร่งไร้เทียมทาน พลังที่สำแดงออกมาไม่ใช่ ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ แห่งราชวงศ์ต้าฉินในวันวานแล้ว แต่เป็นพลังปีศาจบ้าอำนาจประเภทอื่น องครักษ์เกราะดำเหล่านี้ก็ไม่เหมือนคนที่มีชีวิต แต่เหมือนเป็นหุ่นเชิดบางอย่าง…หุ่นเชิดซึ่งมีกลิ่นอายอันชั่วร้ายยิ่ง
ราชวงศ์ฉินตะวันตกเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่?
หลี่หยวนป้าไม่กล้าจะคิด
เทพนักรบแห่งจักรวรรดิที่ไต่เต้าจนมีชื่อเสียงคนนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ในใจค่อยๆ เกิดความคิดอยากถอยหนี ยุคสมัยยิ่งใหญ่ถาโถมเข้ามา เขาเริ่มรู้สึกว่ามีกำลังไม่มากเท่าความคิดเสียแล้ว
สายตาร้อนแผดเผาของจักรพรรดิฉินหมิงมองยังอวี๋ฮว่าหลงที่อยู่ห่างออกไป
“น่าสนใจอยู่บ้าง นี่สิถึงจะเป็นท่วงท่าของพวกคนบาปวิถีเซียน วิชากระบี่ของเทพกระบี่คนนั้นเมื่อกาลก่อนเป็นวิชาที่ใช้ชีวิตกระตุ้น ถึงจะได้แค่หนึ่งในสิบของคนผู้นั้น แต่หากสามารถได้รับวิชากระบี่ ‘จริยะวีรบุรุษ’ ชุดนี้มา…”
มุมปากของเขาโค้งยิ้มเหี้ยมเกรียม
“สามจอกคือคำสัญญา หนักแน่นกว่าห้าขุนเขา เมื่อหมู่เราเมามาย จิตใจฮึกเหิมเฉิดฉายดั่งสายรุ้ง…”
เพลงกวีของอวี๋ฮว่าหลงดังสะท้อนในฟ้าดิน
“แกว่งค้อนทองกู้แคว้นจ้าว ชาวหานตัน[3]สั่นสะท้าน แม้นพันเหมันต์พ้นผ่าน สองผู้กล้ายังลือนามในต้าเหลียง[4]!”
เพลงกวีกระตุ้นพลังลึกลับจากความว่างเปล่าไม่หยุด สูงสุดขอบฟ้า จักรวาลดาวพราวพร่าง คล้ายถูกดึงดูดเข้ามาและซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง พลังของอวี๋ฮว่าหลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวพายุโหม
จริยะวีรบุรุษบทนี้ บนดาวโลกขับขานกันมาแต่โบราณ ทว่าเมื่ออวี๋ฮว่าหลงร้องกลับแฝงไปด้วยอภินิหารและอานุภาพยิ่งใหญ่ เหนี่ยวนำพลังมหาศาลระหว่างฟ้าดิน
หลังแต่ละประโยคที่เขาขับออกมา กระบี่บัวเขียวปานผืนน้ำกว้างใหญ่ พลังกระบี่แกร่งขึ้นเรื่อยๆ แกร่งมากขึ้นทุกที!
อวี๋ฮว่าหลงประดุจจะกลายเป็นเทพเซียน กายเนื้อละลาย กลายเป็นร่างบัวเขียวระยิบระยับ ร่างกายเริ่มโปร่งใส กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังหมุนวนออกมา
“สังหาร!”
แสงกระบี่สายหนึ่งทะลุผ่านฟ้า ตรงไปหาจักรพรรดิฉินหมิง
สีหน้าจักรพรรดิฉินหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลิกมือชักกระบี่โอรสสวรรค์ที่แขวนอยู่ข้างเอวมา มังกรดำหมุนอยู่กลางฝ่ามือก่อนแผ่ลามไปยังตัวกระบี่ จากนั้นจึงฟาดฟันออกไปแหวกผ่าฟ้าและดิน
แสงกระบี่ดำและแสงกระบี่เขียวปะทะกันกลางอากาศ
ปะทะกันดุจคมเข็มกับปลายข้าวสาลี
ศูนย์กลางของปลายกระบี่มีวงแหวนสาดออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า
แสงเขียวทำลายแสงดำจนแหลก พลังที่เหลือพุ่งตรงไปโจมตีจักรพรรดิฉินหมิง
“ฮึ” จักรพรรดิฉินหมิงแค่นเสียง ฟันอีกหนึ่งกระบี่จนแสงเขียวสลายไป
ทว่าตอนนี้เอง…
“ฮ่าๆๆ ยอดยุทธ์แม้ตายก็ยังอาจอง ไม่เสียทีที่เป็นวีรบุรุษ”
อวี๋ฮว่าหลงเผยสีหน้าปลงอนิจจัง สองมือกุมกระบี่ รวมเป็นหนึ่งกับกระบี่เทพ จากนั้นกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งตรงไปสังหารจักรพรรดิฉินหมิง กระบี่นี้แฝงไว้ด้วยท่ากระบี่ทั้งหมดของ ‘จริยะวีรบุรุษ’ เพียงพริบตาก็เข้าไปถึงตรงหน้า แสงกระบี่ยังไม่ทันไปถึง ก็ทำให้เรือวาฬทะยานฟ้าใต้เท้าจักรพรรดิฉินหมิงมิอาจทานรับปราณกระบี่ได้ ปริแตกแยกออกทันที…
……………………………………….
[1]ผู้กล้าแคว้นจ้าวสวมหมวกประดับพู่ ถือกระบี่ล้ำค่าวาววับดุจหิมะน้ำค้างแข็ง อยู่ในกวีจริยะวีรบุรุษของนักกวีเอกหลี่ไป๋
[2] จูไฮ่และโหวอิ๋ง คือสองผู้กล้าที่เรืองนามของแคว้นเว่ย
[3] หานตัน ชื่อเมืองหลวงของแคว้นจ้าวในสมัยจ้านกั๋ว
[4] ต้าเหลียง ชื่อเมืองหลวงของแคว้นเว่ยในสมัยจ้านกั๋ว