จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 421 จิตมาร
ด่านเมืองมังกร ศูนย์กลางของสถานการณ์ความไม่สงบบนแผ่นดินใหญ่
ต้าเยวี่ยกำลังจัดการความพังพินาศของสิบเมืองเก้าพื้นที่ นอกจากด่านเมืองมังกรแล้ว สิบแปดเมืองที่เหลือถูกทัพฉินตะวันตกฆ่าล้างเมือง เมื่อเดินเข้าไปราวกับย่ำเข้าสู่นรกก็มิปาน คนที่มีสภาพจิตใจปกติมากมาย เมื่อได้เห็นภาพน่าสังเวชนี้ จิตใจล้วนพังทลายลงทั้งสิ้น
นี่ช่างเหมือนนรกโดยแท้
หลี่มู่เงียบงัน ติดตามกองทัพต้าเยวี่ยเข้าไปเก็บศพชาวเมืองแต่ละเมือง ทุกครั้งที่มาถึงจุดหนึ่ง ในใจของเขาก็เงียบงันลงระดับหนึ่ง
เขามองเห็นคนชราถูกแยกร่าง พ่อเฒ่าแม่เฒ่าถูกเผาตายในบ้าน เห็นมารดาอายุยังน้อยกอดลูกวัยไม่ถึงเดือนที่ถูกลูกธนูยิงตาย สีหน้าโศกเศร้าอาดูรท่อนล่างเปลือยเปล่า ทรวงอกมีรอยดาบหนึ่งแผล มองเห็นคนหนุ่มหลายสิบคนถูกแขวนคอบนต้นไม้ ชัดเจนว่าสตรีท่อนล่างเปลือยเปล่าที่ถูกสังหารอยู่ด้านล่างคือคนรักของพวกเขา…
ประตูเมืองของเมืองชายแดนมากมาย ภายในกรงเหล็กหนามแหลมมีร่างศพเนื้อเหวอหวะ…
แม่น้ำล้อมเมืองถูกย้อมด้วยเลือดจนแดงฉาน ศพกองทับเป็นภูเขา
หลายวันผ่านไป ศพมากมายเริ่มเน่าเฟะ ตัวอ่อนแมลงสีขาวชอนไชอยู่ในเนื้อเน่าของศพ อากาศคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า
สีหน้าของหลี่มู่ค่อนข้างชินชา
เขาคิดถึงสองย่าหลานไช่ไช่ที่อยู่ใต้สุสาน ไม่นานนักก็คงจะเป็นเช่นนี้…ชีวิตเป็นๆ ของคนเรา ตอนมีชีวิตล้วนมีความความมุ่งมั่น ความหวัง และความสุขของตนเอง แต่กลับถูกช่วงชิงไปในพริบตา
ยามหลับตาลง เขากระทั่งได้ยินถึงเสียงกรีดร้องแหลมก่อนตายของผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ ด้วยการต่อสู้ดิ้นรนที่สิ้นหวัง สามีทำเพื่อปกป้องลูกและภรรยา คนชราทำเพื่อปกป้องคู่ชีวิตตน มารดาทำเพื่อปกป้องลูกน้อย…เสียงแต่ละอย่างประหนึ่งข้ามกาลเวลามา วนเวียนอยู่ข้างหูของหลี่มู่
หลี่มู่เข้าใจดี นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขา
การตายของคนเหล่านี้ไม่ได้มีเหตุและผลอะไรกับตัวเขา
แต่เขาก็ยังรู้สึกว่างเปล่านัก
หลังจากที่มาถึงโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นคนตาย คนที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีจำนวนไม่น้อย…แต่ว่ายามเดินในสิบแปดเมืองชายแดนที่เขาไม่เคยเหยียบเข้ามานี้ ในใจเขามีความรู้สึกร้อนรุ่มสะอิดสะเอียน แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจอาเจียนออกมาได้
กระทั่งบาดแผลของร่างกายที่ได้มาจากการใช้วิชาหมัด ‘พันคลื่นวารี’ ในวันนั้น เขาก็ยังไม่ได้จัดการรักษา
เขาอยู่กับนายทหารทั่วไป คอยจัดการศพของผู้บริสุทธิ์ นี่เป็นเรื่องที่หลี่มู่ทำติดต่อกันมาหลายวัน
สิบเมืองเก้าพื้นที่เป็นเส้นเขตแดนของฉินตะวันตกกับซ่งเหนือ ทอดยาวไปเกือบพันลี้ ทหารและประชาชนที่ถูกจักรพรรดิฉินหมิงสั่งเข่นฆ่ารวมกันแล้วไม่ต่ำกว่าสามล้านคน การสังหารที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมนี้ ทำให้กองทหารต้าเยวี่ยที่เหลือไม่ถึงหมื่นขุดหลุมฝังศพกันจนแทบไม่ได้พัก สามวันผ่านไปก็ยังเก็บกวาดไม่ได้ทั้งหมด
หนังสือโบราณเคยกล่าวไว้ เทวะมีชีวิตอยู่ด้วยการกุมดวงชะตาฟ้าดิน เข้าใจพลังแห่งฟ้าดิน ดังนั้นจิตใจของเทวะ จึงส่งผลกระทบต่อวิถีฟ้าได้
หลายวันนี้ หลี่มู่ใจสับสนกระสับกระส่าย รู้สึกหดหู่ ท้องฟ้าของสิบเมืองเก้าพื้นที่ขมุกขมัวไปหมด มีฝนตกเป็นบางครั้ง ช่วงเวลาเข้าสู่ปลายสารทฤดูแล้ว อากาศหนาวขึ้นทุกวัน ทำให้หลีกเลี่ยงการเกิดโรคระบาดไปได้
ท้ายที่สุด ภายใต้การจัดการของจางซานและชิงมู่ขุนนางใหญ่แห่งต้าเยวี่ย เหล่าจอมยุทธ์จอมเวทธาตุไฟในกองทัพก็เริ่มเผาศพ ส่วนจอมยุทธ์ธาตุดินรับผิดชอบการฝังศพ…
หลี่มู่ติดตามอยู่ตลอด
ใจของเขาอัดอั้นเกือบถึงขีดสุดแล้ว ขุดหลุม ฝังศพ ขุดหลุม ฝังศพไม่หยุดหย่อนอย่างด้านชา…
จนกระทั่งจางซานเดินเข้ามารายงาน “ใต้เท้า หลี่อวี้ซูเจ้าหอจาก ‘หอสรรพสิ่งคืนสูญ’ สำนักระดับหนึ่งของซ่งเหนือมาขอพบใต้เท้าขอรับ”
หลี่มู่ในตอนนี้น่าจะถือได้ว่าเป็นเสาหลักของต้าเยวี่ย แต่จะอยู่ในตำแหน่งอะไรนั้น ต้าเยวี่ยที่ย่อยยับแล้วย่อมไม่อาจอธิบายได้ ทหารต้าเยวี่ยทั้งหมดจึงเรียกหลี่มู่ว่า ‘ใต้เท้า’
“ไม่พบ” หลี่มู่กำลังใช้สองมือขุดหลุมฝังศพ เอ่ยขึ้นโดยไม่หันหน้ามอง น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
จางซานพยักหน้า หันหลังเดินออกไป
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
ขณะหลี่มู่กำลังเก็บกวาดศพคนที่ถูกสังหารในด่านพยัคฆ์หมอบ จางซานเข้ามาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ “ใต้เท้า บุตรผู้สืบทอดจากตระกูลจูตระกูลพันปีมาขอเข้าพบใต้เท้า”
“ไม่พบ” คำตอบของหลี่มู่ยังเหมือนเดิม
จางซานอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินจากไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็เข้ามาอีกครั้ง
“ฉีหวายบัณฑิตอาวุโสแห่งสำนักบัณฑิตถามเต๋าคนปัจจุบันมาขอพบใต้เท้าขอรับ” เว้นช่วงอยู่ครู่หนึ่ง จางซานก็เสริมขึ้นอีกประโยค “บัณฑิตอาวุโสฉีมาขอคำชี้แนะด้านการยุทธ์กับใต้เท้า ได้รับการยืนยันแล้ว ตอนนี้เขาเป็นยอดฝีมืออันดับที่สองของบัณฑิตถามเต๋าสำนักเทพจากฉู่ใต้ เป็นผู้อาวุโสที่เข้าขั้นเทวะเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน”
ฉีหวายจากสำนักบัณฑิตถามเต๋าเคยเป็นบุคคลมีความสามารถที่มีชื่อเสียง เป็นผู้ถูกเลือกเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว เคยเป็นที่ฮือฮาอยู่ระยะหนึ่ง
“ไม่พบ” คำตอบของหลี่มู่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังมุดเขาวัวอยู่ (คิดในสิ่งที่ไม่มีทางออก)
เหมือนก๊วยเจ๋งในมังกรหยก สับสน ไม่อยากจะประลองยุทธ์กับใคร และกำลังคิดว่าหนทางที่แท้จริงอยู่ทางไหน ความหมายของการฝึกยุทธ์อยู่ที่ใดกันแน่
ผู้มีปัญญามากมายก้าวผ่านหมื่นพันอันตรายดุจเหยียบพื้นเรียบ แต่เมื่อพบเรื่องเล็กๆ บางเรื่องกลับคิดไม่ตก ไม่ยอมที่จะปล่อยวาง
หลี่มู่ถึงขั้นรู้ว่าตนเองเป็นแบบนี้ไม่ถูก
แต่ว่าเขาก็ปล่อยวางไม่ลง
สีหน้าจางซานลังเล สุดท้ายก็ยังคงไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไป
……
“อะไรนะ? ไม่พบ?”
ใบหน้าฉีหวายเผยแววอำมหิตแวบหนึ่ง
ฉู่ใต้เป็นเมืองน้ำ มีภูเขาแม่น้ำมากมาย อากาศพิษแมลงพิษก็มากเช่นกัน สถานที่เป็นเช่นไรก็เลี้ยงคนเช่นนั้นออกมา คนฉู่ใต้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนดื้อด้านหัวแข็ง และส่วนมากจะโหดร้าย ฉีหวายนับเป็นตัวอย่างที่ดีของนิสัยคนฉู่ใต้
เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เข้าขั้นเทวะเมื่อร้อยปีก่อน ปัจจุบันนี้อายุร่วมหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว จอมยุทธ์ปกติอายุเท่านี้ถือเป็นวัยใกล้ชรา แต่สำหรับขั้นเทวะ อายุเท่านี้ก็คล้ายช่วงอาทิตย์กำลังขึ้น เป็นช่วงที่กำลังองอาจเกรียงไกร สำนักบัณฑิตถามเต๋าเป็นสำนักเทพพิทักษ์ดินแดนของฉู่ใต้ และเขาที่เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับที่สองของสำนัก หรือก็คือผู้แข็งแกร่งอันดับสองในฉู่ใต้ ฐานะยิ่งสูงส่งอย่างมาก
หลังจากเข้าขั้นเทวะ ฝึกบำเพ็ญอย่างหนักหนึ่งร้อยปี พลังฝึกบรรลุขั้น ออกจากปิดด่านครั้งนี้เดิมก็เพื่อมาท้าดวลกับเหล่าวีรบุรุษในแผ่นดิน ครั้งนี้ขึ้นเหนือ มายังอาณาเขตของต้าเยวี่ย บอกว่าจะมาขอคำชี้แนะจากหลี่มู่ แต่ความจริงก็คือท้าประลองผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่เพิ่งจะนั่งตำแหน่งมาดๆ คนนี้นั่นเอง
ใครจะไปคิดว่าจะถูกปฏิเสธตรงๆ
“ใต้เท้าของพวกเจ้า คงไม่ใช่ว่ายังไม่ได้รักษาตัวกระมัง?” ฉีหวายมองจางซาน ถามด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
จางซานตอบ “ใต้เท้าสบายดี เพียงแค่ช่วงนี้ไม่อยากลงมือกับใคร”
ฉีหวายหัวเราะเรียบๆ “ข้าได้ยินมาว่าหลี่มู่แห่งฉินตะวันตกคือผู้ที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดที่สุด คมดาบหันไปทางไหน บุกไปไม่มีถอยกลับ ไม่คิดว่าหลังจากขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในแผ่นดินกลับเริ่มยึดติดกับชื่อเสียง คิดนั่นคิดนี่?”
เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ คนทั้งตำหนักใหญ่จวนเจ้าเมืองในด่านมังกรเดือดดาลขึ้นโดยพลัน
เหล่าทหารของต้าเยวี่ยมองหลี่มู่ประดุจเทพ จะยอมให้คนอื่นมาหมิ่นหยามเช่นนี้ได้หรือ?
มู่ชิงชายชราตาบอดราวกับตาเฒ่าโมโห ไม้เท้าเหล็กในมือกระทุ้งลงบนพื้นหนักๆ กล่าวขึ้นว่า “บัณฑิตอาวุโสฉี ในเมื่อเป็นผู้ที่ไม่ยึดติดกับชื่อเสียง เหตุใดจึงต้องเลือกมาท้าประลองกับใต้เท้าพวกเราที่ด่านเมืองมังกรในเวลานี้?”
ด้านนอกเล่าลือกันว่าหลี่มู่บาดเจ็บหนักหลังจากสู้กับจักรพรรดิฉินหมิง
ข่าวนี้แพร่มาถึงหูทหารต้าเยวี่ยนานแล้ว เหล่าคนต้าเยวี่ยเดิมพยายามทำให้เรื่องเงียบ เพียงไม่นานก็กลืนหายไปกับเสียงลมฝนต่างๆ ทว่าช่วงไม่กี่วันนี้ กลับมีพวกคนชั่วช้าไม่น้อยปรากฏตัวที่ด่านเมืองมังกรทั้งแบบเปิดเผยและแอบซ่อน ทั้งแอบยั่วยุ ท้าดวลซึ่งหน้า สิบเมืองเก้าพื้นที่รวมถึงด่านเมืองมังกรเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมากมาย
ฉีหวายที่เป็นยอดยุทธ์อันดับสองแห่งฉู่ใต้เดินทางไกลมาท้าประลองในเวลานี้ เป้าหมายของเขาคืออะไร แม้แต่คนโง่ก็ยังมองออก ถ้าไม่ใช่การฉวยโอกาสซ้ำตอนคนอื่นล้มแล้วจะเป็นอะไรได้?
ฉีหวายมองมู่ชิงด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ยิ้มเรียบๆ สองมือไพล่หลังเดินไปนอกตำหนัก ก่อนส่ายหน้ากล่าว “คนตาบอด จะไปรู้เรื่องชื่อเสียงกับผลประโยชน์อะไร?”
เขาเดินถึงประตูใหญ่แล้วหันกลับมากะทันหัน ในดวงตาดำทั้งคู่ปรากฏลายรางๆ โดยเฉพาะตาซ้าย ราวกับมีงูทองตัวเล็กตัวหนึ่งเคลื่อนไหว แสงสีทองเปล่งประกายเล็กน้อยจากในดวงตา
พลังที่ไร้รูปร่างปะทุขึ้นมา
มู่ชิงรู้สึกเพียงว่าพลังประหลาดขุมหนึ่งพุ่งเข้ามา เขาใช้ไม้เท้าสกัดกั้นได้ทันกาล เสียงตูมดังสนั่น ไม้เท้าระเบิดแตกออก ส่วนตัวเขาลอยคว้างออกไปกระแทกผนังหินตำหนักทางด้านหลังอย่างจัง เลือดสดทะลักออกจากปาก
“เจ้า…” จางซานกำมีดหูวัวในมือแน่น
ฉีหวายยิ้มเล็กน้อย “ต้าเยวี่ยยังเหลือทหารปลายแถวอยู่ไม่เท่าไร อย่าทำเรื่องเกินตัวเลย มิเช่นนั้นจะตายทีละคน ลดลงทีละคน”
พูดจบ ก็เดินวางก้ามออกไป
จางซานมีสีหน้าโกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ทหารต้าเยวี่ยที่หลงเหลือผ่านความทุกข์ทรมานนี้มา และตายไปทีละนิดจริง การพลีชีพใดๆ ล้วนมีสิ่งที่ต้องแลก พลังของฉีหวายแข็งแกร่งเกินไป ปะทะตรงๆ ก็เหมือนวิ่งเข้าหาความตาย ไร้ซึ่งความแน่นอน เขาไม่อาจสู้ศึกที่ไม่มีวันชนะได้
ถึงอย่างไรมู่ชิงก็เป็นครึ่งขั้นเทวะ เพียงปรับลมหายใจเสียหน่อยก็ตั้งสติกลับมาได้
“สถานการณ์ของใต้เท้าไม่ค่อยปกตินัก” จางซานกล่าวอย่างกังวล ช่วงนี้เขาเห็นสภาพของหลี่มู่ เหมือนกับมีมารเข้าแทรกอย่างไรอย่างนั้น
มู่ชิงพยักหน้า เขาตาบอดแต่ใจกระจ่างชัด “ใต้เท้ามีปัญญาเป็นหนึ่ง เพียงแต่ฝึกฝนรวดเร็วเกินไป พลังการสู้รบแข็งแกร่ง แต่อย่างไรอายุก็ยังน้อยเกิน พลังเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป จิตใจจึงยากที่จะปรับตัวให้เข้ากัน หากผู้ฝึกตนไม่ฝึกจิตใจ จะถูกมารเข้าแทรกโดยง่ายที่สุด และไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรกอย่างที่จอมยุทธ์ทั่วไปพูดกัน แต่นี่คือจิตมาร”
จางซานเอ่ย “เช่นนั้นก็ไม่ดีเสียแล้ว จิตมารนี้ หากผ่านมันไปไม่ได้จะเป็นเช่นไร?”
มู่ชิงตอบ “หากผ่านจิตมารไปไม่ได้ก็ไม่ส่งผลต่อพลังฝึก ไม่ถูกบั่นทอน แต่จะกลายเป็นเหมือนศพที่เดินได้”
“ใต้เท้าจะผ่านมันได้หรือไม่?” จางซานขมวดคิ้ว
มู่ชิงตอบกลับ “น่าจะได้กระมัง”
น้ำเสียงของเขาไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ต้องใช้เวลาสักเท่าใดกัน” จางซานถามอีกอย่างนิ่งไว้ไม่อยู่
มู่ชิงเช็ดเลือดที่มุมปาก ตอบกลับว่า “เรื่องนี้ก็พูดยาก ต้องดูว่าใต้เท้าเองจะคิดตกหรือไม่ อาจเข้าใจได้ในพริบตา หรืออาจจะใช้เวลาสิบๆ ปี การเข้าใจจิตมารนั้นขึ้นอยู่กับตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน”
จางซานถอนหายใจ
ต้าเยวี่ยทำไมจึงมีทุกข์มีเคราะห์มากมายเช่นนี้
“เรื่องการท้าดวลจากทั่วสารทิศ ยังไม่ต้องบอกกับใต้เท้าก็แล้วกัน” จางซานบอก
มู่ชิงพยักหน้าและตอบว่า “ใช่แล้ว เรื่องบางเรื่องเจ้ากับข้าต้องแบกไว้บ้าง ต่อให้จะยากสักหน่อยก็ตาม”
“คนจากสำนักใหญ่และตระกูลขุนนางต่างๆ ในเมืองก็เพิ่มมากขึ้นทุกวัน” จางซานเอ่ยต่อ “ต้องหาสักวิธี มิเช่นนั้นคนเหล่านี้จะเริ่มหยั่งเชิง ยิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นทุกที”
“ยากอยู่” มู่ชิงถอนหายใจกล่าว
และเวลานี้ ห่างจากด่านเมืองมังกรออกไปสามร้อยลี้ ในซอยเล็กซอยหนึ่งที่เมืองพยัคฆ์หมอบ เสียงร้องไห้จ้าอันอ่อนแรงของทารกดังออกมาจากใต้แผ่นหินของหอที่พังถล่มลงมา ดึงดูดความสนใจจากหลี่มู่ที่กำลังเก็บศพอยู่
เขายกแผ่นหินขึ้นมา มองเห็นข้างใต้ ในอ้อมอกสตรีที่ตายแล้วมีทารกหญิงซึ่งอ่อนแอจนถึงที่สุดคนหนึ่งกำลังใช้แรงเฮือกสุดท้ายของชีวิตส่งเสียงร้องไห้ พยายามดูดน้ำนมจากอกมารดาที่ตัวแข็งไปแล้วสุดชีวิต ทว่าสิ่งที่ดูดมาได้คือเลือด…
ทั้งตัวของหลี่มู่ราวกับถูกฟ้าผ่าในฉับพลัน
เขาอุ้มทารกหญิงขึ้นมา กอดเอาไว้ในอกทันที